"แฝด"
หนังหักมุมได้รสชาติ ที่เกินจะคาดถึง
ถือได้ว่าเป็นหนังที่ทุกคนต่างให้ความสนใจและอยากที่จะเข้าไปดูกันมากเรื่องหนึ่ง สำหรับภาพยนตร์ไทย "แฝด" ซึ่งเป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" ที่สร้างความประทับใจ ตื่นเต้น สยองขวัญ ให้กับผู้ชมมาแล้ว จนขึ้นเป็นหนังทำเงินไปและยังได้นำไปฉายในหลากหลายประเทศ ทำให้หลายคนต่างคาดหวังและอยากที่จะชมผลงานสยองขวัญเรื่องล่าสุดอย่าง "แฝด"
"แฝด" เป็นเรื่องราวของฝาแฝดพี่น้องตัวติดกัน "พิม-พลอย" นำแสดงโดย (มาช่า วัฒนพานิช) ที่ได้มีการผ่าตัดแยกช่องท้องและกระเพาะอาหารออกจากกันตอนอายุ 15 ปี ได้สำเร็จ เป็นคู่แรกของประเทศไทย แต่ผลปรากฎว่าตัว “พิม”พี่สาวนั้น พ้นขีดอันตราย ส่วน”พลอย” ฝ่ายน้องสาวกลับเสียชีวิต และหลังจากที่พลอยตายพิมก็ได้ละทิ้งความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดทั้งหมดไว้เบื้องหลัง เพื่อไปตั้งต้นชีวิตใหมที่เกาหลีกับ "วี" (นำแสดงโดย อั๋น-วิทยา วสุไกรไพรศาล) หนุ่มที่รักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล
หลังจากนั้นไม่นานนัก ข่าวจากประเทศไทยก็แจ้งกลับมาว่าแม่ของพิม (รัชนู บุญชูดวง ) ประสบอุบัติเหตุ พิมจึงรีบเดินทางกลับเมืองไทยทันที แต่พอเธอย่างก้าวเข้าสู่บ้านหลังเก่าที่เคยอาศัยมาตั้งแต่เด็ก ความทรงจำในอดีตก็ย้อนกลับเข้ามาในสมอง ของทุกอย่างของ พิมและพลอยยังคงวางอยู่ที่เดิม รองเท้าสองคู่ ตุ๊กตาสองตัว เสื้อผ้าเหมือนกัน ทำให้เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเก่าๆ ที่เธอคุ้นเคย
ความรู้สึกคล้ายว่ามีอดีตหนึ่งชีวิตที่เคยอยู่เคียงข้าง กลับมาอยู่รอบตัวเธอตลอดเวลา...ทุกลมหายใจ
จะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ก็ยังมีจุดดีตรงที่ว่าได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง "มาช่า วัฒนพานิช"มาแสดง การที่ได้มาช่ามารับบทนำในหนังเรื่องนี้นั้นสร้างความแข็งแรงให้แก่หนังเป็นอย่างมากและทำให้หนังมีพลังมากขึ้น เมื่อเธอปรากฎตัวอยู่บนจอภาพยนตร์ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอได้หายหน้าหายตาไปจากจอภาพยนตร์กว่า 10 ปีเลยทีเดียวแถมเราก็ไม่ได้มีโอกาสได้เห็นมาช่าแสดงบทแบบนี้สักเท่าไหร่ด้วย เรียกได้เพียงแค่ได้เห็นมาช่าสวมบทพิม เคลื่อนไหวในเรื่องด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและเครียดเค้นเท่านี้ก็คุ้มแล้ว
นอกจากนี้ยังได้พระเอกอย่าง "อั๋น-วิทยา" ที่แสดงได้ดีและสมบทบาทมากเกินกว่าการเป็นหน้าใหม่สำหรับวงการภาพยนตร์ เพราะด้วยอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากรัก เกลียด ดีใจ เสียใจ เรียกได้ว่าสามารถรับส่งกับมาช่าและเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ เช่นเรื่องของฉาก แสง และบรรยากาศในเรื่องก็ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์และลงตัวมาก
ที่น่าเสียดายก็เห็นคงจะเป็นในส่วนของเนื้อหาของเรื่องที่มันค่อนข้างที่จะพลิกความคาดหมายอย่างมากจากภาพยนต์ที่ดูจากในตัวอย่าง ทำให้เข้าใจไปว่าจะเป็นหนังสยองขวัญเหมือนภาพยนตร์เรื่องก่อนอย่าง"ชัตเตอร์" แต่สำหรับสิ่งที่ "แฝด" เป็นนั้น คือความเป็นหนังที่แสดงอารมณ์ดราม่าได้มากกว่าความสยองขวัญเสียด้วยซ้ำ จนอาจทำให้คนดูไม่สามารถที่จะคาดเดาอะไรกับหนังเรื่องนี้ได้เลย ทั้งในส่วนของเนื้อเรื่อง ว่าจะดำเนินอย่างไรต่อไป และนอกจากนั้น ที่สำคัญตอนท้าย หนังก็ยังดูหลุดออกไปเป็นแนวไล่ล่าแบบหนังฆาตกรโรคจิตกันเลยทีเดียว
แต่ก็ต้องบอกว่า สำหรับใครที่ได้มาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าคุ้ม เพราะจะได้ดูหนังที่หลากหลายรสชาติ เป็นหนังที่ดูแล้วมีอะไรให้คิดมากมาย แต่ถ้าใครคาดหวังกับเรื่องนี้ไว้สูงว่ามันจะต้องน่ากลัวเหมือนหนังเรื่องก่อน อย่าง"ชัตเตอร์"นั้น ก็ต้องบอกว่าอาจจะผิดหวัง เพราะสำหรับผู้ชมที่เป็นนักดูหนังจริงๆ เรื่องเนื้อหาของเรื่องในส่วนนั้น ก็น่าที่จะพอคาดเดากันได้ไม่ยาก แต่ก็ถือว่าเป็นจุดหักมุมที่ดีและน่าสนใจ สรุปโดยรวมถือว่า "แฝด" เป็นหนังไทยที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผู้สร้างตั้งใจทำมาเพื่อคนดูจริงๆ ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงลูกเดียว อย่างหนังไทยหลายเรื่องในปัจจุบันนี้ ที่เน้นแต่จะสร้างความสนุกสนานแต่ลืมคิดที่จะฝากสาระและแง่คิดกับคนดูอย่างเราไว้บ้าง
บางทีหลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ อาจทำให้เราเข้าใจได้ว่า หลายเหตุการณ์เลวร้ายใหญ่โตทั้งหลายในโลกใบนี้ก็อาจเกิดขึ้นมาจากบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังเช่นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ ที่มีสาเหตุเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว ที่ทำให้พี่น้องฝาแฝดซึ่งเคยมีร่างยึดเหนี่ยวอยู่ด้วยกันอย่างพิม-พลอย จะมีอันแยกจากพลัดพราก ทั้งร่างกาย ดวงวิญญาณ และใจรักที่เคยมีต่อกันไปตลอดกาล
................................................................................
เมล์นรก หมวยยกล้อ
"อารมณ์"ร่วมที่คนไทยสัมผัสได้
เมื่อย่างเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ไทย อย่างสงกรานต์เมื่อใด สิ่งสำคัญที่อยู่คู่กับประเพณีนี้ก็คงหนีไม่พ้นการสาดน้ำ ปะแป้ง รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ทั้งหลาย แต่มหกรรมพื้นฐานจริงๆ ซึ่งอยู่คู่คนไทยที่มักบากหน้าไปหางานไกลแหล่งกำเนิด นั่นคือ "การกลับบ้าน"
อาจเป็นปมเล็กๆ ที่หลายคนลืมนึกถึงหรือไม่ให้ความสำคัญกับมันมากนัก นั่นเพราะจุดหมายมักปรากฏชัดในแววตาก่อนที่ใครหลายคนจะกลับถึงบ้านจริงๆ เสียอีก แต่ปมปลีกย่อยอย่างการกลับบ้านนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจะช่วยนำพารอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้เกิดแก่ผู้ที่เดินทางกลับบ้านได้
แต่ในทางตรงกันข้าม มันก็อาจนำพารอยยับย่นบนหน้าผาก และอารมณ์ขุ่นมัวให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการเดินทางกลับบ้านไม่เป็นไปดังประสงค์?
และนี่คือที่มาของ "เมล์นรก หมวยยกล้อ" ผลงานเรื่องล่าสุดของ เรียว กิติกร เลียวศิริ ภาพยนตร์สนุกๆที่หยิบเรื่องราวชีวิตประจำวันของคนโดยสารรถเมล์มาสร้างเป็นหนัง ซึ่งถือเป็นเรื่องราวธรรมดาใกล้ตัวคนไทยที่ใช้พาหนะดังกล่าวในการสัญจรบนท้องถนน ยิ่งผนวกรวมเข้ากับเทศกาลอันดับหนึ่งในใจของคนไทยทั้งหลายอย่างสงกรานต์ด้วยแล้ว ความ"เข้าถึง"ของผู้ชมชาวไทยจนเพิ่มทบทวีคูณ
เรื่องเริ่มต้นที่ "โก๋" ( โน้ส-อุดม แต้พานิช ) กระเป๋ารถเมล์ ซึ่งต้องทำหน้าที่ในวันสงกรานต์ วันที่ใครหลายคนได้หยุดพัก ซ้ำร้ายกว่านั้นยังต้องร่วมงานกับ "เฮียหลา"(เทพ โพธ์งาม) พนักงานขับรถซึ่งมีเรื่องไม่ลงรอยกันมาช้านาน และจากอุบัติเหตุเล็กน้อย ซึ่งทำให้รถคันดังกล่าวไม่สามารถจอดป้ายที่"ทรัพย์"( กิ๊ก-เกียรติ กิจเจริญ ) พนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งต้องการเดินทางกลับบ้านไปพบหน้าครอบครัวที่รออยู่ ด้วยสถานการณ์การระเบิดอารมณ์ของตัวละครที่ชักพาให้มาถึงจุดที่ทุกคนไม่สามารถควบคุมได้ กระทั่งทรัพย์ตัดสินใจชักปืนขึ้นมาจ่อหัวคนขับ และนั่นก็ทำให้การเดินทางกลับบ้านของผู้ร่วมชะตากรรมทุกคนบนรถ ยาวนานกว่าที่คาดไว้...
ผู้กำกับและเขียนบทอย่าง เรียว ตั้งใจวางโครงตัวละครที่ร่วมอยู่บนรถให้มีบุคลิกที่แตกต่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น "เจ๊ ผ่อง"-แม่ค้าจอมงก( เนาวนัตน์ ยุกตะนั้นน์ ) , "ดอน" ( คมสัน นันทจิตร ) หนุ่มหน้าตาหื่นกาม, "ปลา" ( อริสรา วงษ์ชาลี)สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ ,"ติ๊ก" ( อ้น-ศรีพรรณ ชื่นสมบูรณ์ )สาวท้องแก่ ใกล้คลอดที่ มากับผัวขี้บ่นอย่าง "ซ้ง" ( ซ้ง-ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์ ) และ"สวย" ( อิม-อชิตะธนาศาตนันท์ ) สาวสวยหน้าตาดี ที่มีปัญหาเรื่องท้องไส้ขั้นรุนแรง
โดยองค์รวมของหนังแล้วหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นหนังสนุกที่ไม่ถึงกับเป็นหนังตลกเสียทีเดียว ผู้กำกับหยิบประเด็นเรื่อง อารมณ์ ขึ้นมาเป็นแกนของเรื่อง แล้วสร้างสถานการณ์ให้ผู้ชมเห็นถึงความกดดันในรูปแบบต่างๆ ของการสาดอารมณ์ใส่กันจนขาดสติของตัวละครที่อยู่ร่วมกันบนพื้นที่จำกัด ท่ามกลางสภาวะที่บีบคั้นให้ต่างฝ่ายมองเห็นเพียงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น
หนังเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวันเดียว ซึ่งค่อยๆ ดึงผู้ชมเข้าสู่สถานการณ์จริงที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าถึงได้ง่าย และสร้างให้"ปืน" กลายเป็นสัญลักษณ์ของการใช้อำนาจ โดยได้แอบหยิบจับประเด็นทางการเมืองขึ้นมาล้อเลียน แล้วสอดแทรกไว้ในหนังพอแสบคัน
แต่เนื่องจากตัวภาพยนตร์มีโครงที่ใหญ่เทอะทะในการเดินเรื่อง จึงทำให้การนำนักแสดงตลกระดับขึ้นแท่นสามคนอย่าง เทพ โพธิงาม, โน้ส อุดม และซูโม่กิ๊ก มาร่วมแสดง ทำได้ไม่ลงตัวนัก เนื่องจากนักแสดงทั้งสามท่านไม่สามารถเคลื่อนไหวอิสระได้อย่างที่ควรจะเป็น ถึงแม้พื้นฐานของการแสดงจะกินขาด แต่ก็ไม่สามารถที่จะเพิ่มเติมทักษะด้านการแสดงตลกลงไปได้เท่าที่ควร
มุขตลกจริงๆ จึงไปตกอยู่ที่ตัวละครอย่าง "สวย" เสียมากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกเครดิตให้กับ อิม-อชิตะธนาศาตนันท์ ที่แสดงได้อย่างไม่ห่วงสวยดังชื่อในเรื่องเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามก็ยังคงเป็นหนังไทยอีกหนึ่งเรื่องที่แฝงความคิดจากเรื่องจริงของคนกรุงเทพฯที่ใช้ทรัพยากรหรือยานพาหนะอย่างรถเมล์ร่วมกัน และแสดงให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผล และสุดท้าย เพราะคำว่า"อารมณ์"ของคนเพียงคนเดียวนั่นเอง ที่ทำให้เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้...