หลายยุค หลายสมัยแล้วที่วงการบันเทิงเมืองไทย จะต้องมีดาราตลกประกอบร่วมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนตร์ รายการทีวี เนื่องจากนักแสดงตลกเป็นสัญลักษณ์ของความสุข เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความเป็นกันเองที่ผู้ชมจะสัมผัสได้อย่างผ่อนคลายมากที่สุด
ไล่เรียงตั้งแต่รุ่นอาวุโสอย่าง ศิลปินแห่งชาติ ล้อต๊อก, สีเทา, เหี่ยวฟ้า, เด่น, เด๋อ, เทพ มาจนถึงยุคของ ดาวตลกของคณะเชิญยิ้ม อย่าง โน้ต,เป็ด, ศรีหนุ่ม และครอบครัวชวนชื่น ต่างล้วนมีหน้าที่ฉุดเรียกเสียงหัวเราะที่แฝงอยู่ในกายของผู้ชมทุกคนให้ระเบิดออกกันทั้งนั้น
จนกระทั่งถึงยุคตลกเฟื่องฟู เมื่อสัก 15 ปีก่อน สถานที่แสดงตลกอย่างคาเฟ่ ได้รับความนิยมอย่างสูง รายการโทรทัศน์แทบจะทุกรายการ จำต้องมีดาราตลกร่วมอยู่ด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน เมื่อมีนักแสดงตลกเกิดกันจนเกร่อ การแบ่งแยกประเภทของผู้ชมจึงมีเกิดขึ้นในหัวสมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตลกคาเฟ่ – ตลกปัญญาชน – ตลกชาวบ้าน – ตลกมีการศึกษา ?
และเมื่อหนึ่งในรายการโทรทัศน์เรียกเสียงหัวเราะ ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด อย่าง "ยุทธการขยับเหงือก" อำลาจอไป ทรัพยากรบุคคลที่รายการทิ้งไว้อย่างเหล่าเสนาดาราตลกทั้งหลาย ก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ตามความถนัดของตน ตลกสองในจำนวนสิบกว่าคนของกลุ่มเสนา อย่าง "เปิ้ล นาคร ศิลาชัย"และ "หอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค"ดูเหมือนจะเป็นเพียงสองคนที่รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นที่สุด
นับเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว จากวันที่ปรากฏตัวหน้าจอครั้งแรกเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ บัดนี้อุดมการณ์ ความคิด ของเขาทั้งสองจะเหมือนหรือต่างไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน การถูกเรียกเป็น"ตลกปัญญาชน" ส่งผลอย่างไรกับชีวิตของเขาทั้งสอง รวมถึงการร่วมงานกันครั้งแรกในภาพยนตร์ ของผู้กำกับอย่าง "ต้อม ยุทธเลิศ สิปภาค" กับการเป็นพระเอก-นางเอกของกันและกัน ในภาพยนตร์ชื่อประหลาด"โกยเถอะเกย์" นัดคุยจึงจับเอาตัวพระ-นาง ทั้งสองมาเปิดใจเรื่องราวธรรมดา ที่ไม่ตลกของเขาทั้งคู่
เปิ้ล รู้จักกับหอยมานานขนาดไหนแล้ว
เปิ้ล- "เกือบ 20 ปีแล้วครับ ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว"
หอย-"ผมเป็นรุ่นน้องพี่เปิ้ล 3 ปี"
เปิ้ล-"ตอนนั้นเรียนอยู่ศิลปกรรมจุฬาฯ พี่เปิ้ลเป็นประธานเชียร์ แล้วหอยเป็นน้องใหม่"
ตอนเข้ายุทธการขยับเหงือกใครเข้า ก่อน หลังอย่างไร
เปิ้ล-"ผมเข้าไปก่อนครับ"
เปิ้ลชักพาหอยเข้ายุทธการหรือเปล่า
เปิ้ล-"เปล่า มันชักของมันเองครับ หอยเข้ามาทำขยับเหงือกนี่ผมไม่เกี่ยวเลย เพราะตอนนั้นผมไปเรียนเมืองนอกแล้ว กลับมารู้อีกทีนึงนี่หอยเข้ามาแล้ว(หอย-แย่งตำแหน่ง)ตอนนั้นมันขาดตัว พอผมออกปั๊บมันขาดตัว เขาก็หาๆ กันว่าใครตลก(หอย-แต่เราไม่ตลก)รุ่นใหม่ใครตลกอย่างนี้ เขาเลยเอาหอยเข้ามา โอ้ย ตอนนั้นขำกันกริบเลย"
หอย-"7 เดือนไม่มีใครขำเลย นั่งกันเงียบ เคยได้ยินเสียงแอร์ไหม เวลาเราเล่นในห้องส่ง โน้ต อุดมออกมา เสียงในห้องส่งดังมาก กระทืบเท้า พี่ติ๊กออกมามีเสียงกรี๊ดกร๊าด พี่แหม่ม พี่อรุณ วี๊ดว๊ายกัน พอเราออกมาปุ๊บทุกคนจะนิ่งกัน(เปิ้ล-ใครอ่ะ) ใครอ่ะ ไม่มีหัวเราะเลย ไม่มีสักแอะเลย"
ท้อไหมครับ ช่วงนั้น
หอย-"ไม่ท้อเพราะว่าเราถือว่าเราได้โอกาสแล้ว ตอนนั้นเราใฝ่ฝันว่าเราจะได้มาอยู่บนเวทีนี้ เพราะเราอยู่จุฬาฯนี่ เราก็ใช้ได้เหมือนกันนะ มันก็พอใช้ได้หน่ะ เราก็คิดว่าเราตลก แต่พอมาอยู่บนเวทีแห่งนี้ มันคือเวทีแห่งใหม่ เราก็คิดว่าเรามาเริ่มต้นอนุบาลใหม่ เพราะว่าถ้าสมมุติว่าไม่มีสมาธิหรือของที่เรามีอยู่ ซึ่งน้อยกว่าคนอื่นแน่นอน น้อยกว่ามากๆ เราต้องหาของ หาการบ้านของเราตลอดเวลา 7 เดือนหน่ะครับ"
คิดว่าเป็นเพราะอะไร เพราะตอนอยู่มหาลัยก็ตลก แต่บนเวทีขยับเหงือกกลับไม่ตลก
หอย-"เราเริ่มอนุบาลใหม่ ขยับเหงือกเป็นตลกจังหวะไม่เหมือนกับที่เราเล่น มันเหมือนเป็นจังหวะเทพที่ทุกคน แบบเทพทั้งนั้นเลย คือแต่ละคนต่างมีคาแรกเตอร์ที่เฉพาะตัวไป พี่ติ๊กก็จะมีคาแรกเตอร์แบบนึง พี่อรุณก็มีคาแรกเตอร์อีกแบบนึง พี่โน๊ตก็มี พี่แหม่ม พี่โค๊ก พี่เพชร ก็มีแบบนึง ซึ่งแต่ละคนมารวมกันแล้วมันไม่มีเดธแอร์(จังหวะเงียบ)เลย ทุกคนสอดใส่กันอย่างลงตัว ถ้าเราคิดช้าก็โดนเขาเอาไปกินแล้ว เราต้องฝึกอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เราทันเขาให้ได้"
"แต่คนไทยเป็นคนขี้สงสาร พี่ติ๊ก พวกนั้นช่วยผมหมดช่วยให้ผมได้เกิดมาจริงๆ เพราะว่าเขาจะตีจริง สมมุติเล่นบทตอนซ้อมตีกันเบาๆ เนี่ย พอเล่นจริงเขาก็จะตีแรง คนก็จะสงสารก่อน มันไม่ได้ตลกอะไรหรอก มันสงสาร เริ่มจากความสงสารก็เริ่มยอมรับว่า อ๋อ ไอ้นี่คือไอ้หอยนะ เริ่มๆ พอ8-9 เดือนไปก็เริ่มโอเคขึ้น มั่นใจ พอความมั่นใจมาอะไรก็ได้แล้ว"
ของเปิ้ลเป็นอย่างหอยไหม
เปิ้ล- "ของผมโชคดีอย่าง ของหอยนี่คนไม่ขำอยู่ 7 เดือนใช่ไหม ของผมคนไม่ขำอยู่ 2 ปีนะ เพียงแต่ไม่มีใครคาดหวังผม ผมเข้ามาตั้งแต่รายการครั้งแรกเลย กลุ่มแรกของยุทธการเลย แล้วทีนี้ผมเป็นเด็กมหาลัยคนนึงเท่านั้น ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 2 เขาก็ไม่ถามหรอกว่า เฮ้ย ไอ้เด็กคนนี้ใคร รายการจะขำไหม เขาก็ขำคนอื่นไป เขาไม่มานั่งสนใจหรอกว่าเราขำหรือเปล่า เราก็หยิบถาด หยิบพัดลม หยิบอะไรบนเวทีมาให้เขา เป็นลูกตาม คนเขาก็ไม่มาคาดหวังเราว่า คนนี้มันจะขำอะไรยังไง สองปีก็ไม่เห็นมีใครสนใจเลย ไม่มีใครมาว่าด้วย ทำไมไม่ขำ อย่างนี้ไม่มี ไม่มีใครว่า เพราะไม่มีใครสนใจ"
กลุ่มแรกของยุทธการ?
เปิ้ล-"พี่ติ๊ก พี่อรุณ พี่เพชร พี่โค้ก พี่ตา พี่ซูโม่กิ๊ก แล้วก็แหม่ม พี่ตาออกไปก่อน แล้วพี่เปิ้ลเข้ามา ไม่กี่วันเอง ยุคแรกๆ เลย แล้วก็ตั้งแต่ตรงนั้นเป็นต้นมา สองปีไม่มีใครเขาว่าเลย เราก็ไม่เครียดอะไร ได้ตังค์มาก็ไปซื้อสีวาดรูปที่มหาวิทยาลัย มีเงินกินขนม"
จุดเปลี่ยนของเปิ้ลที่ทำให้คนจำได้
เปิ้ล-"มาเข้าปีที่สาม ปีที่สามที่เขามาจับให้เราแต่งตัวเป็นผู้หญิง แล้วเราไม่ยอม เขาก็ล็อคแขน ล็อคขากัน จนคนเริ่ม เอ๊ะ ไอ้นี่มันแปลกดีเว้ย คนอื่นเขาแต่งกันมันไม่ยอมแต่ง แต่พอแต่งทีก็เขินๆ แต่เวลาเล่น เล่นเต็มร้อยเลย คนก็จะเริ่มขำ เริ่มสงสารด้วย ว่า เออ มันพูดน้อยนะ มันเด็กสุดด้วย โดนแกล้ง โดนอะไรด้วย"
มุขเด็ดของเปิ้ล
เปิ้ล-"แต่งเป็นพจมานนี่แหล่ะ แล้วผมพูดน้อยแต่ยิงหนักนะครับ พูดยิงมุขน้อยหน่ะ แต่ยิงเน้นๆ ขอให้โดน แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นเด็กสุดด้วย ศัพท์แสงมันก็อาจจะวัยรุ่นสุด อะไรอย่างนี้ด้วย"
จุดเปลี่ยนของหอยหลัง 7 เดือนที่ขมขื่น
หอย-"จุดเปลี่ยนวันนั้น เป็นวันที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงเหมือนกัน เป็นตรีรัก รักการดี ชุดมีแฟนหรือยังจ๊ะ ที่เขาแต่งเป็นม๊อดดี้ วันนั้นคือวันที่ออกมาแล้ว พี่ตุ๋ยกับพี่ติ๊กถึงกับอุทานว่า...ไอ้เหี้- เพราะเราไม่ให้ใครเห็นเลย เราไปซื้อเทปมาแล้วเราเอาเทปให้พี่โปรดิวเซอร์เขาดู บอกว่านี่จะแต่งเป็นตัวนี้ แล้วก็ไปขอให้เขาทำชุด เขาก็บอก เออๆ เดี๋ยวตัดให้ แล้วตัดเหมือนเลย ชุดนี่มันย่อส่วนมาเลย กางเกงม๊อดดี้ ผมสวอน แล้วออกมาร้องเพลง มีแฟนหรือยังจ๊ะ วันนั้นแหล่ะจำได้เลย คนหัวเราะแบบนานอ่ะ จากที่เราเคยออกมาแล้วเงียบ ทั้งพี่ติ๊ก พี่อรุณแบบก้มหน้าขำ"
"ตอนนั้นจำได้ว่า แขกคือ สุ่ย พรนภา ตอนที่ได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เลย มิสฮ่องกงอะไรนั่น จำได้เลย แล้วพอไปไหนมาไหน คนเขาจะให้เต้นเพลงนี้ ร้องเพลงนี้ให้ฟัง พอเป็นแบบนี้ความมั่นใจมันสูงหน่ะ เรามั่นใจมาก หลังจากนั้นก็ซัดไม่เลี้ยง"
มุขเด็ดของหอย
หอย-"ส่วนมากเราพยายาม เราเป็นคนที่ยิงฉิบหายเลย ไม่เหมือนพี่เปิ้ลที่ยิงน้อยๆ สมมุติวันนั้นยิงไป 20ได้ 1 ก็เฮแล้วหล่ะ ยิงจนคนมันสงสารหน่ะ จะยิงอะไรกันหนักหนา ยิงๆ ไปบางทีคนก็เงียบ เราก็ เออๆ ไม่เป็นไร ยิงใหม่ ขอสักมุข ไม่ท้อ ยิงไปเรื่อย"
ตอนหลังได้มาร่วมงานกันในยุทธการ
เปิ้ล-"ตอนหลังผมก็กลับมาจากเมืองนอก ก็ได้มาร่วมงานกันนั่นแหล่ะ (หอยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง) พุงมันหน่ะ พุง จะเอาสรีระหรือสันดาน(เรื่องการแสดง?)แน่นอนครับ หอยเขาก็เป็นมืออาชีพมากขึ้น หอยเป็นประเภทจำอวด ความจำดี แม่น เพราะเรียนดนตรีมา เขาจะฝึกให้จำโน๊ตหน่ะ เพราะฉะนั้นเขาจะมีความจำสูงมาก เจออะไรมาข้างถนน เจอมุขอะไร นำขึ้นมาเล่นบนเวทีได้หมด"
หอย-"จำได้สมัยแรกๆ ยุคคาเฟ่เฟื่องฟูหน่ะ ผมไปอาทิตย์ละ 2 ครั้งเลย พอเราไปปุ๊บ พี่โน๊ต(เชิญยิ้ม)จะออกมา เอ้า มันมาอีกแล้ว พวกเรา มันมาลอกมุขเราอีกแล้ว เฮ้ย อย่าเล่นเยอะเว้ย (หัวเราะ) คือเราไม่ได้ลอกมาหมด เราจะไปดูว่า เขาเล่นอะไรวะ จังหวะพื้นฐานจริงๆ ของเรามันเป็นจังหวะคาเฟ่นะ จริงๆ แล้วจังหวะกลองตึก โป๊ะนี่เรามีของเราอยู่ในใจ"
เปิ้ล-"เวลาขึ้นเวที เราก็แบบ เออ ไอ้หอยมันมุขดีเว้ย มันคิดได้ไง มันแม่น ไปเอามุขนี้มาจากไหน คิดมาได้ไงวะ ตอนหลังถึงรู้ อ๋อ มันไปคาเฟ่บ่อย ก็ว่ามันไปเอามาจากไหนวะ"
นี่คือที่มาของคำว่า "จำอวด"?
หอย-"จำอวดครับ สมัยแรกนี่ผมจำอวดเลยผมยอมรับว่าผมจำ แต่จะเอาพลิกแพลง ปรับว่า อ๋อ มันเล่นเรื่องประมาณนี้ เราก็เอามาปรับเป็นประมาณนี้ อะไรอย่างนี้ เมื่อก่อนคาเฟ่บอกตรงๆ ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูที่เขาคิดกัน โดยเฉพาะคณะใหญ่ๆ นะ อย่างคณะเชิญยิ้ม ชวนชื่นอะไรอย่างนี้ เขาจะคิดกันมาใหม่ๆ ตลอด แล้วเขาก็จะอำผมตลอดว่า มันมาอีกแล้ว(หัวเราะ) ก็แซวขำๆ กัน ผมก็บอกว่า โธ่ พี่ ผมมานั่งดูเฉยๆ แล้วเมื่อก่อนเปิดถึงตีสามเลยนะครับ ตีสามนี่ชวนชื่นยังเข้าไปอยู่เลย"
เปิ้ล-"สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์แบบถ่ายรูป หรืออัดวิดีโอได้นะ ไม่งั้นมันคงเอาเข้าไปนั่งอัดแล้ว(หัวเราะ)"
แสดงว่าไปบ่อยมากจนเขาจำได้
หอย-"อาทิตย์ละสองครั้ง เราก็นั่งหลบๆ แหล่ะ แต่พอเขาเข้ามานี่เขาจะเห็นเราแล้ว หัวเรานี่เขาก็เห็นแล้ว เพราะเราไปนั่งคนเดียว ไปคนเดียว ไปนั่งดูเลย ไม่มีการจดอะไรเลยนะ ก็ใช้จำเอา คืนนึงอาจจะได้สักสองมุขที่เราเลือกแล้วว่า อันนี้เด็ด"
ปัจจุบันมีการแบ่งว่า เป็นตลกปัญญาชน กับกลุ่มตลกคาเฟ่?
หอย-"ผมมองว่าการเป็นตลก ผมไม่สนหรอกว่ามันเป็นอะไร อะไรที่ทำให้คนหัวเราะนั่นคือคนที่เล่นตลก อะไรก็ได้ จะเล่นสังขาร เล่นคำพูด จะเล่นแอ๊คติ้ง ทุกอย่างที่ทำให้คนหัวเราะมีความสุข ผมว่านั่นคือตลกมากกว่า ไม่จำเป็นจะต้องมีความรู้มากกว่าใคร ผมว่าไม่เกี่ยวหรอก"
เปิ้ล-"ที่มีคนมาบอกว่า พวกพี่โน๊ต พี่เป็ดคือตลกคาเฟ่ เปิ้ลคือตลกปัญญาชน ผมอยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วพี่โน๊ตก็คือครูของผมนะ เทพ โพธิงามนี่ก็ครูของผมเลยแหล่ะ หรือไม่ว่าจะเป็นพี่หม่ำ หรือทุกๆคนเลยนะ ยิ่งสายัณฑ์นี่(สายัณฑ์ ดอกสะเดา)คือสุดยอดซุปเปอร์ไอดอลของผมเลยนะ คือทุกคนเป็นครูของเราหมด"
"คือเราจำเขาเลยหล่ะ ยิ่งสายัณฑ์ยิ่งจำว่า โห คนอะไรวะ บริสุทธิ์ทางความคิดขนาดนั้น ถ้าพูดตามภาษาละครคือเราต้องเคลียร์ตัวเราเองให้มันขาวให้หมด ให้เป็นเหมือนสายัณฑ์ให้ได้ ต้องบริสุทธิ์ขนาดนั้นให้ได้ แล้วไม่คิดร้ายกับใคร นั่นแหล่ะ เพราะฉะนั้นพี่ๆทุกคนคือครูของเราหมดแหล่ะ มันไม่เกี่ยวหรอก เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราคืออาชีพเดียวกัน เป็นคอมมีเดี้ยน เป็นนักแสดงตลก ส่วนไอ้เรื่องไปแบ่งแยก อันนั้นเขาคิดกันไปเอง"
หอย-"เขาคิดกันไปเองว่าแบ่งตามระดับการศึกษา แต่จริงๆ แล้วบางคนเขา อย่างพี่โน๊ต พี่เป็ดนี่ พี่หม่ำอย่างนี้ ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับความรู้หรอก เขาทำหนังนะเว้ย เขาทำหนังได้นะ เอาดิ มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ มันไม่ได้แบ่งการศึกษาหรอก ตลก ใครทำให้คนหัวเราะถือว่าเป็นตลกหมดแหล่ะ"
เปิ้ล-"เราอาชีพเดียวกัน เป็นคอมมีเดี้ยน"
รายการสาระแนที่ทำอยู่ ตอนนี้รูปแบบกลับมาเป็นแคนดิต เหมือนก่อนแล้ว
หอย-"เราว่าเรา หนีตัวเองมานานมากแล้ว บางทีในปีแรกที่เราติดท็อปไฟว์ ในประเภทรายการทีวีวาไรตี้เนี่ย มันก็คือสิ่งที่เราทำ แคนดิตคาเมร่า แล้วเราก็เสนอในสิ่งที่ เรายังไม่เคยเห็นดาราคนนี้จากที่อื่นมาก่อน เราจะได้เห็นเขาในรายการเราที่แปลกกว่าที่อื่น แล้วจะมีแคนดิตคาเมร่านี่เป็นตัวบอกว่า เขาเป็นอย่างนี้ ซึ่งเป็นด้านที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน อย่าง โก๊ะตี๋ที่เห็นเล่นหนังผีเยอะๆ เนี่ย มันกลัวผีมั้ย จริงๆมันกลัวฉิบหายเลย กลัวมาก หรืออย่างสมพลเมื่อเก้าปีที่แล้ว เป็นแขกปีแรกของเรา เขามาแล้ว เขาก็กลัวผีเหมือนกัน หลังจากนั้นเก้าปีผ่านมา เขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็ยังกลัวผีเหมือนเดิม เราไปทดสอบใหม่ มันก็กลัวเหมือนเดิม ไม่มีพัฒนา"
แล้วแขกรับเชิญเขาต้องระวังตัวอยู่แล้ว
หอย-"บางคนหนีไปต่างประเทศก็มีนะ อย่างพี่ฉัตรชัย เปล่งพาณิช บอกได้ พี่ออกให้เพื่อวิลลี่และน้องๆ เปิ้ล หอย แล้วไปเลย ไปสิงคโปร์"
เปิ้ล-"เขาบอกออกได้ แต่รายการน้องจะมาแคนดิตพี่ใช่ไหม แคนดิตให้ได้แล้วกัน เช้ามาตีตั๋วไปสิงคโปร์เลย หาย กลับมาอีกทีนึง วันอัดแล้ว"
หอย-"เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บอกพี่ได้ กลับมามีคนไปรับมาสตูนี่ มาเลยนะพี่ เราก็ให้คนไปรับ นั่งมาบนรถใส่แว่นดำ ใส่ชุดดำ อยู่ๆ หันมาบอกพี่นก พี่ผมเกิดเรื่อง คือเรามีกล้องอยู่ในรถอยู่แล้ว มันบอกพี่ผมเกิดเรื่อง พี่นกก็หันมาถามเรื่องอะไร เดี๋ยวผมต้องไปอัดรายการ ก็บอก พี่ เอาปืนไป แล้ววิ่งไปตามถนนวิภาวดี ตรงทางเรียบทางด่วน มีคนมาไล่ยิงปังๆ แล้วโอ้โห พระเอกนะ พระเอกยังไงเขาก็ต้องเล่นหน่ะ ก็ไปจอดที่ทางเรียบทางด่วน ยิงสวนกันใหญ่ แกก็ยิงด้วยนะ สนุกดีหน่ะ"
หอย-"แต่ก่อนที่จะได้แคนดิต คาเมร่ามาตัวนึง เราสืบเสาะแล้วนะว่า เขาเป็นคนยังไง เล่นอย่างนี้แล้วจะเป็นอย่างไร แล้วไม่เคยมีใครเห็นว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้"
เคยมีเชิญดารามาแล้ว แคนดิตไม่สำเร็จไหม
หอย-"มี ทำไมจะไม่มี แต่ยังไงเราก็ตื้อหน่ะ ตื้อเอาให้ได้หน่ะ (มีแผนสำรอง) มีถึงแผนห้าถ้ายังไม่สำเร็จ โดนัทอย่างนี้ ระวังตัวมากไม่รู้จำทำอย่างไร ก็ตกเอาให้ได้ จนพาไปเที่ยว ปล่อยเรือล่มแม่งเลย นี่ก็เพิ่งถ่ายไป เอาให้ได้หน่ะ ต้องเอาให้ได้"
สาระแนนเน้นแคนดิต กับล้อโฆษณา
หอย-"ไอ้ตรงล้อนี่ เราทำเป็นน้ำจิ้มเท่านั้นเอง มันไม่ใช่หลักของเรา เพราะเรามีนิสัยชอบล้ออยู่แล้ว ล้อเลียนอะไรอย่างนี้ แต่มันจะมีอีกรายการนึงเลย สำหรับการล้อเลียนจริงๆ คือสาระแนนล้อวันหยุด ซึ่งออกเฉพาะวันนักขัตฤกษ์ อันนั้นคือเน้นล้ออย่างเดียว"
เปิ้ล หอย เป็นตลกที่เน้นการล้อเลียนหรือเปล่า
หอย-"ไม่หรอก หลายๆอย่างครับ"
เปิ้ล-"ตลกคณะอื่นเขาก็ล้อกัน เหมือนกันแหล่ะ เพียงแต่เราล้อ แต่ล้อแบบไหน แตกต่างจากคนอื่นอย่างไร ทำให้มันแตกต่างเท่านั้นแหล่ะครับ"
เวลาล้อจะมั่นใจได้ไงว่า คนดูจะตลก
หอย-"เวลาล้อเนี่ย สิ่งที่ล้อจะต้องเป็นสิ่งทีคนรู้จัก แล้วก็พูดถึง ไม่ใช่อยู่ดีๆ เอาเรื่องอะไรมาล้อ สมมุติจะล้อโฆษณา ไม่ใช่โฆษณาอะไรวะ แต่มันต้องถูกพูดถึง แล้วเราค่อยเอาไปล้อ อย่างไทยประกัน ที่มันเป็นไข้หน่ะ นั่นแหล่ะเราก็เอามาล้อ จะล้ออย่างไร เราก็เอามาดู อย่างเช่น การแต่งหน้าของเขา คนเป็นไข้ ทำไมต้องหน้าเหลืองขนาดนั้น (หัวเราะ) เราก็เอามาล้อ คือจริงๆ เขาก็ไม่ได้ผิดนะ มันดูแล้วอีโมชั่นนัลมาก แล้วมันรู้สึกหน่ะ แต่เราดูแล้ว นำมาขยายว่า เออ ถ้าแต่งหน้าแล้วมันเป็นขนาดนี้ น่าจะเสียชีวิตได้แล้ว อะไรอย่างนี้"
การเป็นนักแสดงตลกทำให้คนเข้าถึงตัวเราง่ายกว่าดาราพระเอก
หอย-"เป็นไปได้ เวลาไปเดินคู่กันอย่างนี้ ทักตลกก่อนนะ พระเอกเขาจะแอบกรี๊ดอยู่ข้างเสา แต่ถ้าเป็นตลกนี่เขาจะเอาไม้เข้ามาเขี่ยเลย อยากคุยด้วย อยากปล่อยมุข อยากโชว์มุข มาประจำ เด็กวัยรุ่นหน่ะ โอ๊ย พี่กลับเลยเปล่า ถ้ากลับเลยก็ไม่ถึงสิ อึ๋ย อย่างนี้ มาประจำ"
เวลาเจออย่างนี้ทำอย่างไรครับ
หอย-"ก็ต้องฟังเขานะ ก็ฟังเขาไป ไม่ใช่แบบ โอ้ย น้องตลกตายหล่ะ ไม่ใช่ เขาคงอยากจะมาเล่นกับเราหน่ะ เหมือนมาเล่นกับพวกสัตว์อะไรอย่างนี้"
เปิ้ล-"คือมันกันเอง อย่างผมเวลาไปเดิน บางทีเขาก็มาจับแก้ม (หอย-เขาไม่ขยะแขยงเหรอ)จริงๆ เคยเดินไปกับติ๊ก กลิ่นสีนี่แหล่ะ คนเดินเข้ามา อ้าว พี่เปิ้ลนี่ เขาก็มาจับแก้ม เดินไปสักพัก เจอเก๋าๆ หน่อย พวกเด็กวัยรุ่น ซ่าๆ เฮ้ย ไอ้ติ๊กนี่หว่า ตบหัวแล้ววิ่งหนีเลย นี่เรื่องจริง พี่ติ๊กโดนตบหัวแล้ววิ่งหนี(หัวเราะ) พี่ติ๊กเขาก็งง หันไปด่า บอกไอ้เปิ้ลทำไมของมึงจับแก้ม ของกูโดนตบหัววะ"
มันเป็นปัญหาไหม ทำให้เราเข้าถึงตัวง่ายเกินไป
หอย-"ถ้าคนเล่นตลกเนี่ยนะ อย่างพวกเรา เราจะชอบนะ ชอบให้คนมาทักอยู่แล้ว”
เปิ้ล-“เฟรนด์ลี่อยู่แล้ว มันเชื่องหน่ะ เหมือนหมา(หอย-ไม่เหมือนมั้ง) พวกเราเหมือนหมาจริงๆ ใครอยากเล่นก็เล่น มาเล่นด้วยมันก็ทำให้เราอารมณ์ดีด้วยแหล่ะ"
แต่ตลกก็ต้องมีมุมโมโห ไม่อยากตลก
เปิ้ล-"มีครับ แต่ทีนี้คนเขารักเรามากกว่า"
หอย-"มันมีส่วนน้อย บางทีไปเจอตามที่เที่ยวอย่างนี้ มันมี 0.1 เปอร์เซ็นต์ที่เวลาเรานั่งอยู่ เขาก็มอง แล้วบอก เฮ้ย หอยมึงมานี่เด๊ะ อ้าว เป็นญาติกันตรงไหนเนี่ย ถ้าแบบ พี่หอยครับเชิญที่โต๊ะหน่อยครับ ไปอวยพรวันเกิดอย่างนี้ไป ไม่ว่าไกลแค่ไหนก็ไป แต่บางทีถ้ามาแบบเฮ้ย วันเกิดแฟนกู ไปอวยพรหน่อยเด๊ะ อย่างนี้ไม่ไป มาดิ แฟนมา เดี๋ยวอวยพรให้ คือพวกโชว์พาวน์ แต่มันเป็นแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์ส่วนมากไม่ค่อย"
เพราะรู้จักกันมานาน เวลาแสดงจึงรับส่งกันได้ดีหรือเปล่า
เปิ้ล-"มีส่วน ก็เหมือนหม่ำ เท่ง โหน่ง เขาก็อยู่กันมาเป็น 10 ปีอย่างนั้น เวลาเล่นเขาก็ไม่ต้องมีสคริปต์เลย มองหน้าเขาก็รู้แล้วว่าใครจะหยุดก่อน ใครจะพูด อะไรอย่างนั้น ก็คงเหมือนเปิ้ล หอย อย่างโกยเถอะเกย์นี่ถ้าให้ผมไปเล่นกับคนอื่น ยิ่งบทเกย์ด้วย ผมก็คงขนลุกเหมือนกัน คงไม่คุ้นลิ้น แต่กับหอยนี่เราคุ้นลิ้นกันมานาน เหมือนอาหารหน่ะครับ"
มาแสดงหนังเรื่องนี้ได้อย่างไร
เปิ้ล – "ผมไปเจอคุณต้อม ยุทธเลิศขณะที่ผมกำลังนั่งเมาอยู่ที่ถนนข้าวสารครับ(หอย-ดื่มอะไรครับ) ดื่มไวตามิลล์ ล่อไปสองขวด ตึงเลยครับ คุณต้อมเดินเห็น มาชี้หน้าเลย เป็นพระเอกสักเรื่องไหม(เจอเปิ้ลหรือหอยก่อน) เจอเปิ้ลก่อน เจอตั้งนานแล้ว ผมก็บอก เอามาเลยเรื่องนึง แต่ต้องแปลกนะ สุดท้ายพอสรุปออกมาก็ เออ แปลกดีเว้ย แปลกเลยหล่ะ แค่มารู้ทีหลังว่า เปิ้ลเป็นพระเอก แล้วหอยเป็นนางเอกก็ถือว่าแปลกโคตรแล้ว แปลกมาก"
ในเรื่องนี้เล่นเป็นอะไรครับ
เปิ้ล – "เป็นเกย์ครับ เป็นตัวผู้"
หอย- "ผมเป็นตัวเมียครับ รักกันรักบริสุทธิ์ไม่เคยมีอะไรกัน"
เปิ้ล- "มันไม่ใช่หนังอย่างที่คุณคิดนะ เป็นเกย์แล้วจะต้องมานั่งซัดกัน (หอย-ไปหลบหลังเขา ไปหลบในเต้นท์อย่างนี้ไม่มี)มานั่งสไลด์เทือกเขากันอะไรอย่างนั้นไม่มีครับ"
ไม่มีฉากหวาบหวามในหนังใช่ไหม
เปิ้ล-"มีเลิฟซีนครับ แต่ไม่ใช่ในสิ่งที่ทุกคนคิดว่า เราจะต้องมาอย่างที่บอก มาสไลด์ร่องเขา อะไรอย่างนั้นไม่มี มันไม่ใช่เมนหลัก หรือว่าจะมาบอกว่าวิธีการดำเนินชีวิตการเป็นเกย์ต้องทำอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่ จริงๆมันเป็นเรื่องความรัก ความรักที่เป็นสแตนดาร์ดเลยหล่ะ ที่ต้อมเขาคิดว่า คนเรารักกันมันก็ควรจะซื่อสัตย์ต่อกัน เท่านั้นเอง วันหนึ่งถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน มันก็จะกลายเป็นหนังแบล็คคอมมาดี้ในสไตล์ต้อม ยุทธเลิศเขา แล้วตลกของเขามันไม่เหมือนใครหน่ะ ไม่ใช่ตลกอย่างที่คุณคิดแน่ๆ จะมาตลกว๊าก วิ่งหนีกันกระจาย วิ่งหนีผีอะไรอย่างนั้นไม่ใช่ ของเขาจะเป็นตลกบนความตายของตัวละครอะไรอย่างนี้ หรือตลกบนความโศกเศร้าของตัวละคร อันนี้คือแบล็คคอมมาดี้"
นางเอกพูดถึงพระเอก
หอย-"ก็เล่นอย่างเป็นธรรมชาติครับ เล่นอย่างไม่ต้องนึกอะไรมาก เล่นไปเต็มๆ จริงๆ ในเรื่องมันไม่ได้เป็นกระเทยนะ มันไม่ได้เป็นผู้หญิงที่มานั่ง อ๊าย อะไรอย่างนั้น ก็เล่นเป็นผู้ชายแหล่ะ แต่ใจคิดชอบเขาเท่านั้นเอง การดีดดิ้งมันอาจจะมีนิดนึงตอนที่อยู่กันสองคน แต่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็จะแมนๆ อยู่แล้ว ไม่มีอะไร เพลินๆ ขำๆ เล่นให้เป็นธรรมชาติ เรารู้สึกว่าเราเป็น มันก็เป็นหน่ะ เฮ้ย เป็นเปล่าวะ"
พระเอกพูดถึงนางเอก
เปิ้ล- "ไม่อยากพูดถึงมันแล้ว เบื่อ แค่ให้เกียรติเล่นหนังกับมันด้วยก็บุญของมันแล้ว "
จะมีการจัดทอล์คโชว์ ร่วมกับการฉายหนัง?
หอย-"ครับ มาจากหนังนี่แหล่ะ"
เปิ้ล-"มาจากโกยเถอะเกย์นี่แหล่ะ เพราะถ้าไม่มีโกยเถอะเกย์เราก็คงยังไม่จัด เพราะถ้าจัดจริงๆ ก็ต้องมีวิลลี่ด้วย เพราะวิลลี่เป็นคนที่เล่าเรื่องสนุกมาก เสียดายคราวนี้มันเป็นการจัดเหมือนพรีหน่ะครับ ยั่วน้ำลายไปก่อน เดี๋ยวเราจะทอล์คสองคนให้ดูก่อนแล้วกัน แล้วก็เป็นวาระพิเศษด้วยแหล่ะที่จะได้พูดคุยกัน กับคนดู ก่อนที่จะได้ดูหนังรอบแรกร่วมกัน เราก็จะได้มาเล่าเบื้องหน้า เบื้องหลังในการถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง หรือว่าความคิดของเราเกี่ยวกับเกย์ ว่าเกย์นี่ จริงๆ แล้วมันคืออะไรวะ จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นการโชว์ประมาณ 40 นาทีแล้วก็ดูหนังกัน แค่นั้นเองครับ"
อยู่แวดวงตลกมาก็นานแล้ว ทำไมเพิ่งจัดทอล์คโชว์
เปิ้ล-"มันต้องได้เวลาที่เหมาะ ถ้าจะเอากันจริงๆ นะ เอาใหญ่ๆจริง มันต้องเหมาะจริงๆ แต่ตอนนี้เอาเป็นว่าเราอินฟอร์มให้ฟังในเรื่องตรงนี้ดูก่อนแล้วกัน ดูแบบยั่วน้ำลายไปก่อน เพราะพอดีมันมีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่"
ใครสมควรจะมาดูเรื่องนี้มากที่สุด
หอย-"ครอบครัวครับ ครอบครัวแล้วก็ที่อยากจะมามีความสุข อารมณ์ขัน เพลินๆ (เปิ้ล-คลายเครียด)มาดูคลายเครียด ไม่ต้องคิดมากอยู่แล้ว มาดูแล้วก็จะรู้ ภาพโปสเตอร์อาจจะดูว่าพวกเราเครียด แต่มันต้องมาดูในเรื่อง"
นิยามเรื่องโกยเถอะเกย์สั้นๆ
เปิ้ล-"หนังตลกดี...มีสัมมาคารวะ"
หอย-"แซ่บ"