โดย...อดิศร สุขสมอรรถ
นานะ..ยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม

ขอยอมรับอย่างผู้ชายอกสามศอกว่านานะเป็นการ์ตูนผู้หญิงเรื่องที่ 2 เท่านั้นในชีวิตที่ผมเคยอ่าน ต่อจากกุหลาบแวร์ซายที่ชอบมากๆ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมหันมาอ่านการ์ตูนผู้หญิงเรื่องนี้ก็เพราะ มิกะ นากาชิมะ นักร้องขวัญใจของผมมาเล่นเรื่องนี้ในฉบับภาพยนตร์ และนับเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้วที่ไม่ได้อ่านการ์ตูนที่เกี่ยวกับดนตรีสนุกๆ หลังจากอ่านข้าชื่อโคทาโร่ภาคดนตรีที่เขียนได้มันส์ สนุก ลามก และฮามากๆ
พอได้อ่านแล้วขอบอกเลยว่าหนุ่มๆ หรือใครก็ตามที่แอนตี้การ์ตูนผู้หญิงด้วยเหตุผลต่างๆ ถ้าได้อ่านผลงานของ ไอ ยาซาว่า เรื่องนี้แล้วอาจจะต้องเปลี่ยนใจ
สำหรับคนที่ไม่เคยได้อ่านการ์ตูนมาหรือได้ดูภาคแรก Nana เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อเหมือนกัน 2 คนที่พรหมลิขิต(มุกเด็ดของการ์ตูนผู้หญิงเขา)ดลบันดาลให้มาเจอกันที่โตเกียว โอซากิ นานะ เป็นนักร้องสาววงพังค์ที่มาโตเกียวเพื่อตั้งวงดนตรี หลังจากที่ เรน อดีตแฟนหนุ่มและอดีตสมาชิกในวงได้สร้างบาดแผลด้วยการชิ่งไปอยู่วงอื่นที่ดังกว่า ขณะที่ โคมัทสึ นานะ เป็นผู้หญิงที่อ่อนต่อโลก ที่มาโตเกียวเพื่อจะมาใช้ชีวิตกับโชจิแฟนหนุ่มที่มาเรียนต่อ ซึ่งทั้งสองนานะก็มีโอกาสได้มาเจอและใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในห้อง 707 (นานะ ภาษาญี่ปุ่นคือ 7) ที่ซึ่งเรื่องราวของความฝันและความผูกพันของหลายๆ คนเริ่มต้นจากที่แห่งนั้น
เรื่องราวในภาค 2 เริ่มด้วย โอซากิ นานะ ที่ได้ออกเทปให้กับวง แบล็ก สโตน สมความตั้งใจ แต่ต้องทำตัวห่างเหินกับ เรน แฟนหนุ่มมือกีต้าร์วงแทรปเนสต์ เพื่อหลีกเลี่ยงพวกปาปารัสซี ส่วน โคมัทสึ นานะ หรือ ฮาจิ ก็ไปมีสัมพันธ์กับทาคุมิ มือเบสคาสโนว่าแห่งวงแทรปเนสต์จนตั้งท้อง ก่อนที่จะรู้ว่า โนบุ มือกีต้าร์วงแบล็ก สโตนนั้น หลงรักเธออย่างสุดหัวใจ
ภาคนี้ผู้กำกับยังเป็นเจ้าเก่าอย่าง เคนทาโร โอตานิ จากภาคที่แล้ว ที่ดูเหมือนจะถูกโฉลกกับการนำการ์ตูนมาทำหนัง
เช่นเดียวกับตัวละครเอกของเรื่องอย่าง โอซากิ นานะ ที่ให้ใครเล่นไม่ได้นอกจากมิกะเท่านั้น เพราะบุคลิกเธอดูเข้ากับบทสาวพังค์ร็อกมากๆ ทั้งๆ ที่เพลงในฐานะนักร้องของเธอคนละโลกกับเพลงพังค์กันไปเลย
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในภาคนี้อย่างมาก ได้แก่ตัวละครต่างๆ ในเรื่องที่เปลี่ยนตัวแสดงจากภาคที่แล้วอยู่หลายตัว ทั้งบท เรน ที่เปลี่ยนจาก มัตซึดะ ริวเฮ หน้ากลม มาเป็น เคียว นาบุโอะ ที่แม้ดีกรีความหล่อจะเพิ่มขึ้นมาไม่เท่าไหร่ แต่ดูเท่และเหมาะกับบทที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ซิด วิเชียส มือเบสจอมกบฎของสุดยอดวงพังค์ Sex Pistols กว่ามากๆ
ที่แม้จะเป็นขวัญใจแม่ยกไปแล้วอย่าง เคนอิชิ มัทสึยามะ ที่เรียกเสียงกริ๊ดจากบท L ใน Death Note มาเป็นกระบุง แต่เพื่อความเหมาะสมของบท ชิน เด็กหนุ่มใจแตก บทนี้จึงตกเป็นของเจ้าหนู คานาตะ ฮนโก ที่ใช้ความใสมาเรียกคะแนนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ที่ทำเอาแฟนๆ ถึงกับช็อกกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือตัวละครสำคัญอย่าง โคมัตซึ นานะ ที่นักแสดงคนเก่าอย่าง อาโออิ มิยาซากิ เล่นเอาไว้อย่างดี แต่มาภาคนี้บทดังกล่าวตกเป็นของ ยูอิ อิชิกาวา นักแสดงสาวดาวรุ่งวัย 20
เรื่องความเหมาะสมของบทนั้น จริงๆ แล้ว โคมัตซึ นานะ จะต้องบอบบางและตัวเล็กน่าทะนุถนอมมากว่า โอซากิ นานะ แต่พอยืนเทียบกันแล้วอาโออิตัวสูงและใหญ่กว่ามิกะเห็นๆ การได้สาวร่างเล็กกว่าอย่างยูอิมาเล่นก็สมควรดีอยู่ (โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่า 'โอ' ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า 'ใหญ่' ส่วน 'โค' ก็แปลว่า 'เล็ก')
อย่างไรก็ดีเรื่องของอารมณ์ในการเป็น โคมัตซึ นานะ นั้น อาโออิทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งท่วงท่ารอยยิ้มการพูดการจาช่างใสซื่อเหมือนเจ้าฮาจิจริงๆ แต่ยูอินั้นดูจะมีภาพลักษณ์ของสาวกร้านโลกติดตัวอยู่ แต่ก็เหมาะกับเนื้อเรื่องในภาคนี้ดี เพราะเจ้าฮาจิภาคนี้ดูก๋ากั่นจากภาคที่แล้วพอสมควร
ที่สมควรจะเปลี่ยนแต่ไม่ยอมเปลี่ยนได้แก่บทของโนบุ ที่ดูเหมือนจะเป็นพระเอกของภาคนี้ ฮิโรกิ นาริมิยะ ที่นอกจากจะดูไม่ค่อยหล่อเท่าไหร่ (ยกเว้นเรื่องความเตี้ยที่เหมาะกับบททีเดียว) หลายๆ บทที่ส่งให้เขาปล่อยของก็แสดงไม่ค่อยถึงอารมณ์เท่าทีควร (ดูจากสีหน้าแล้วถ้าได้บทฆาตกรโรคจิตคงทำได้ดี)
ในส่วนของตัวหนัง สำหรับแฟนๆ หนังจากการ์ตูนที่ได้ชื่นชมกับการดัดแปลงบทของ Death Note ทั้ง 2 ภาคมาแล้ว อาจจะผิดหวังที่รู้ว่าการเล่าเรื่องราวในเรื่องนี้เหมือนแทบจะกางหนังสือการ์ตูนกำกับกันเลยทีเดียว เรื่องราวดำเนินตามหนังสือการ์ตูนเป๊ะๆ ขาดแต่เพียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของทั้ง 2 วงที่ตัดออกเหลือไว้แค่ นานะ-เรน กับ ฮาจิ-ทาคุมิ-โนบุ
โดยเนื้อหาในภาคนี้จะเน้นไปที่ตัวฮาจิเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องรักสามเส้าระหว่างเธอกับชายในฝันที่ไร้หัวใจอย่างทาคุมิ ผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยงานและหลักการ กับโนบุผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและคนที่รู้ใจเธออย่างแท้จริง ขณะที่บทของนานะในภาคนี้งานหนักจะตกไปอยู่ที่การร้องเพลงมากกว่า
เมื่อพูดถึงนานะแล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ได้แก่เพลงประกอบ หลังจากที่ภาคแรกส่งเพลง GLAMOROUS SKY ที่แต่งดนตรีโดย ไฮด์ หล่อเล็กแห่งวงสายรุ้งแสนสวย L'Arc en Ciel และแต่งเนื้อร้องโดยไอ ยาซาว่าเอง ที่ทั้งเพราะทั้งมันส์จนโด่งดังไปทั่วเอเชียมาแล้ว คราวนี้ก็ยังใช้มุกเด็ดด้วยการร่วมงานกันระหว่าง ทาคุโระ มือกีตาร์คนเก่งของวง GLAY และไอ ยาซาว่าในฐานะผู้แต่งเนื้อเพลงอีกครั้งในเพลง Hitoiro ที่มีทั้งเวอร์ชั่นบัลลาดและอัลเทอร์เนทีฟ (แต่ฟังครั้งแรกผมกลับนึกถึง Wish ของ Luna Sea ซะอีก)

แม้แนวเพลงหลักของ GLAY จะเป็นเพลงร็อกเก๋ๆ แต่ก็มีไม่น้อยที่เกรี้ยวกราดพอจะเป็นเพลงพังค์แรงๆ ได้ แต่ Hitoiro ที่มีความเป็น GLAY อยู่สูงนี้ เทียบความร้อนแรงของ GLAMOROUS SKY ไม่ได้เลย พิสูจน์จากความนิยมของซิงเกิลใหม่นี้ที่ขึ้นชาร์ตโอริคอนได้แค่อันดับที่ 5 ขณะที่เพลงเก่าขึ้นได้ถึงอันดับที่ 1 รวมทั้งเพลงใหม่ของวง TRAPNEST ที่ได้อิโตะ ยูน่ะมาร้องในเพลง Truth ก็สู้เพลงในภาคที่แล้วอย่าง ENDLESS STORY ไม่ได้เช่นกัน (เสียดายที่ทุ่มทุนไปถ่ายเอ็มวีถึงสก็อตแลนด์)
แต่ที่หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเห็นจะเป็นตัวผู้กำกับ เคนทาโร โอตานิ นั่นเอง ที่กล่าวอย่างมั่นใจตอนปิดกล้องว่ายังไงเสียรายได้ของภาคนี้จะต้องทะลุ 4 พันล้านเยนที่ภาคที่แล้วทำไว้อย่างแน่นอน แต่ทำไปทำมา รายได้บน 10 อันดับแรกของบ็อกซ์ออฟฟิศญี่ปุ่นที่ภาค 2 ใช้เวลาออกฉาย 5 สัปดาห์เก็บรายได้ไปแค่พันกว่าล้านเยนเท่านั้น
เมื่อเทียบกับรายได้ของหนังที่สร้างจากการ์ตูนอีกเรื่องที่มาทำเป็นหนังอย่าง Death Note นั้นต่างกันชัดเจน แม้ภาคแรกจะทำรายได้แค่ 2 พัน 6 ร้อยล้านเยน แต่ภาค 2 ที่เป็นบทสรุปของเรื่องก็สามารถกระหน่ำรายได้ไปถึงเกือบ 5 พันล้านเยนทีเดียว
หลายคนโทษว่าความล้มเหลวทางรายได้ของภาค 2 นี้มาจากการเปลี่ยนตัวละครหลักจากภาคที่แล้วหลายตัว รวมทั้งความจริงที่ว่าเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำแค่เดือนกว่าๆ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ย.ปีก่อน และเสร็จก่อนออกฉายที่ประเทศญี่ปุ่นวันที่ 9 ธ.ค.แค่เดือนเศษๆ เท่านั้น
แต่ปัญหาที่แท้จริงน่าจะมาจากประเด็นเรื่องความแผ่วของกระแสที่ไม่ต่อเนื่อง และการดำเนินเรื่องที่พูดได้ว่าไม่สามารถเซอร์ไพรส์เหล่าสาวกที่เตรียมจะไปดูแม้แต่น้อย
ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะไปดูตัวละครอันเป็นที่รักโลดแล่นอย่างมีชีวิตอยู่บนแผ่นฟิล์ม แค่ภาคแรกก็น่าจะเกินพอสำหรับแฟนๆ หลายคนแล้ว
สิ่งที่แฟนๆ คาดหวังจากหนัง 2 เรื่องที่ใช้เวลาเล่าถึง 4 ชั่วโมงถึงความสัมพันธ์ที่ยังคลุมเครืออยู่ของหญิงสาว 2 คน น่าจะได้รับการคลี่คลายมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ แต่หนังที่สร้างจากการ์ตูนที่ร่วมเล่มไปแล้วกว่า 17 เล่ม(เมืองไทยถึงเล่ม 14) กลับใช้วัตถุดิบในฉบับการ์ตูนมาสร้างเป็นหนังถึงเล่มที่ 8-9 เท่านั้น ไม่รู้ว่าการเสียดายของในการเล่าเรื่องของผู้กำกับอย่างโอตานิจะเป็นการรักพี่เสียดายน้อง ที่ในที่สุดก็ต้องเสียทั้ง 2 อย่างเลยหรือเปล่า กับการตั้งใจจะเก็บรายละเอียดให้หมด แต่เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ได้สร้างต่อจนเรื่องราวสิ้นสุด เพราะนายทุนคงต้องคิดหนักที่จะสร้างภาคต่อกับหนังที่ไม่อาจจะรับประกันความสำเร็จได้อย่างนี้

จะมีภาค 3 หรือไม่(ซึ่งก็ยังไม่รู้อีกว่าจะจบหรือเปล่า) งานนี้แฟนๆ นานะคงต้องลุ้นกันตัวโก่งทีเดียว
ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้ง 2 นานะนั้น นอกจากจะมีสาวๆ คอยเอาใจช่วยกันมากมายอยู่แล้ว ยังอาจจะมีสาวๆ หัวใจสีม่วงแอบลุ้นให้ทั้งสองลงเอยกันท้ายเรื่องด้วย เพราะหลายครั้งเหลือเกินที่ในฉบับการ์ตูนได้บรรยายความรู้สึกของนานะทั้งสองเอาไว้มากกว่าคำว่าเพื่อนสนิท และไม่ว่าทั้งสองจะห่างกันไปอยู่กับผู้ชายของตัวมากแค่ไหน แต่เมื่อมาเจอกัน ความผูกพันของทั้งสองก็ไม่ได้ลดลงเลย ซึ่งการเอาตัวละครผู้ชายมาขั้นกลางทั้งสองเอาไว้นับเป็นเสน่ห์ของผลงานเรื่องนี้อย่างมาก เหมือนแสดงให้เห็นว่าแม้ความฝันจะสวยงามเพียงไร แต่ความเป็นจริงผู้หญิงก็ต้องการการปกป้องจากผู้ชายอยู่ดี ซึ่งทำให้แฟนๆ ต้องลุ้นกับทางเลือกที่ผู้เขียนได้ทิ้งเอาไว้ครั้งนี้กันทุกๆ เล่ม
นานะทั้งสองจะลงเอยกันอย่างไร และมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้นทั้งคู่หรือเปล่า(อันนี้ผมเดาเล่นๆ)
แม้จะลอกการ์ตูนมาทำเป็นหนังเกือบทุกตอน แต่ฉากหนึ่งที่ผมชอบที่สุดแต่ไม่ยักจะนำมาใช้ ได้แก่ฉากที่พี่ยาสูบหรือยาสุ(ก็พี่แกสูบจัดเหลือเกิน) มือกลองของบลาสต์ไปหานานะที่บ้าน หลังจากถูกเหล่าปาปาราซซีและนักข่าวล้อมบ้านเอาไว้ จากข่าวที่ว่าเธอเป็นคนรักของเรนแห่งวงแทรปเนสต์ เมื่อยาสุแหลกคลื่นสื่อมวลชนไปถึงหน้าประตูบ้าน ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปเขาก็หันกลับมาบอกกับบรรดานักข่าวด้วยคำพูดสุดเท่ว่า
"ถ้าพวกนายว่างจนมาเดินย่ำสวนของชาวบ้าน ก็หัดมาปลูกดอกไม้ให้เขาบ้างน่ะ"
ช่างเป็นการเปรียบเปรยวงการสื่อมวลชนในยุคนี้ได้แยบยลจริงๆ
นานะ..ยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม
ขอยอมรับอย่างผู้ชายอกสามศอกว่านานะเป็นการ์ตูนผู้หญิงเรื่องที่ 2 เท่านั้นในชีวิตที่ผมเคยอ่าน ต่อจากกุหลาบแวร์ซายที่ชอบมากๆ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมหันมาอ่านการ์ตูนผู้หญิงเรื่องนี้ก็เพราะ มิกะ นากาชิมะ นักร้องขวัญใจของผมมาเล่นเรื่องนี้ในฉบับภาพยนตร์ และนับเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้วที่ไม่ได้อ่านการ์ตูนที่เกี่ยวกับดนตรีสนุกๆ หลังจากอ่านข้าชื่อโคทาโร่ภาคดนตรีที่เขียนได้มันส์ สนุก ลามก และฮามากๆ
พอได้อ่านแล้วขอบอกเลยว่าหนุ่มๆ หรือใครก็ตามที่แอนตี้การ์ตูนผู้หญิงด้วยเหตุผลต่างๆ ถ้าได้อ่านผลงานของ ไอ ยาซาว่า เรื่องนี้แล้วอาจจะต้องเปลี่ยนใจ
สำหรับคนที่ไม่เคยได้อ่านการ์ตูนมาหรือได้ดูภาคแรก Nana เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อเหมือนกัน 2 คนที่พรหมลิขิต(มุกเด็ดของการ์ตูนผู้หญิงเขา)ดลบันดาลให้มาเจอกันที่โตเกียว โอซากิ นานะ เป็นนักร้องสาววงพังค์ที่มาโตเกียวเพื่อตั้งวงดนตรี หลังจากที่ เรน อดีตแฟนหนุ่มและอดีตสมาชิกในวงได้สร้างบาดแผลด้วยการชิ่งไปอยู่วงอื่นที่ดังกว่า ขณะที่ โคมัทสึ นานะ เป็นผู้หญิงที่อ่อนต่อโลก ที่มาโตเกียวเพื่อจะมาใช้ชีวิตกับโชจิแฟนหนุ่มที่มาเรียนต่อ ซึ่งทั้งสองนานะก็มีโอกาสได้มาเจอและใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในห้อง 707 (นานะ ภาษาญี่ปุ่นคือ 7) ที่ซึ่งเรื่องราวของความฝันและความผูกพันของหลายๆ คนเริ่มต้นจากที่แห่งนั้น
เรื่องราวในภาค 2 เริ่มด้วย โอซากิ นานะ ที่ได้ออกเทปให้กับวง แบล็ก สโตน สมความตั้งใจ แต่ต้องทำตัวห่างเหินกับ เรน แฟนหนุ่มมือกีต้าร์วงแทรปเนสต์ เพื่อหลีกเลี่ยงพวกปาปารัสซี ส่วน โคมัทสึ นานะ หรือ ฮาจิ ก็ไปมีสัมพันธ์กับทาคุมิ มือเบสคาสโนว่าแห่งวงแทรปเนสต์จนตั้งท้อง ก่อนที่จะรู้ว่า โนบุ มือกีต้าร์วงแบล็ก สโตนนั้น หลงรักเธออย่างสุดหัวใจ
ภาคนี้ผู้กำกับยังเป็นเจ้าเก่าอย่าง เคนทาโร โอตานิ จากภาคที่แล้ว ที่ดูเหมือนจะถูกโฉลกกับการนำการ์ตูนมาทำหนัง
เช่นเดียวกับตัวละครเอกของเรื่องอย่าง โอซากิ นานะ ที่ให้ใครเล่นไม่ได้นอกจากมิกะเท่านั้น เพราะบุคลิกเธอดูเข้ากับบทสาวพังค์ร็อกมากๆ ทั้งๆ ที่เพลงในฐานะนักร้องของเธอคนละโลกกับเพลงพังค์กันไปเลย
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในภาคนี้อย่างมาก ได้แก่ตัวละครต่างๆ ในเรื่องที่เปลี่ยนตัวแสดงจากภาคที่แล้วอยู่หลายตัว ทั้งบท เรน ที่เปลี่ยนจาก มัตซึดะ ริวเฮ หน้ากลม มาเป็น เคียว นาบุโอะ ที่แม้ดีกรีความหล่อจะเพิ่มขึ้นมาไม่เท่าไหร่ แต่ดูเท่และเหมาะกับบทที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ซิด วิเชียส มือเบสจอมกบฎของสุดยอดวงพังค์ Sex Pistols กว่ามากๆ
ที่แม้จะเป็นขวัญใจแม่ยกไปแล้วอย่าง เคนอิชิ มัทสึยามะ ที่เรียกเสียงกริ๊ดจากบท L ใน Death Note มาเป็นกระบุง แต่เพื่อความเหมาะสมของบท ชิน เด็กหนุ่มใจแตก บทนี้จึงตกเป็นของเจ้าหนู คานาตะ ฮนโก ที่ใช้ความใสมาเรียกคะแนนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ที่ทำเอาแฟนๆ ถึงกับช็อกกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือตัวละครสำคัญอย่าง โคมัตซึ นานะ ที่นักแสดงคนเก่าอย่าง อาโออิ มิยาซากิ เล่นเอาไว้อย่างดี แต่มาภาคนี้บทดังกล่าวตกเป็นของ ยูอิ อิชิกาวา นักแสดงสาวดาวรุ่งวัย 20
เรื่องความเหมาะสมของบทนั้น จริงๆ แล้ว โคมัตซึ นานะ จะต้องบอบบางและตัวเล็กน่าทะนุถนอมมากว่า โอซากิ นานะ แต่พอยืนเทียบกันแล้วอาโออิตัวสูงและใหญ่กว่ามิกะเห็นๆ การได้สาวร่างเล็กกว่าอย่างยูอิมาเล่นก็สมควรดีอยู่ (โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่า 'โอ' ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า 'ใหญ่' ส่วน 'โค' ก็แปลว่า 'เล็ก')
อย่างไรก็ดีเรื่องของอารมณ์ในการเป็น โคมัตซึ นานะ นั้น อาโออิทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งท่วงท่ารอยยิ้มการพูดการจาช่างใสซื่อเหมือนเจ้าฮาจิจริงๆ แต่ยูอินั้นดูจะมีภาพลักษณ์ของสาวกร้านโลกติดตัวอยู่ แต่ก็เหมาะกับเนื้อเรื่องในภาคนี้ดี เพราะเจ้าฮาจิภาคนี้ดูก๋ากั่นจากภาคที่แล้วพอสมควร
ที่สมควรจะเปลี่ยนแต่ไม่ยอมเปลี่ยนได้แก่บทของโนบุ ที่ดูเหมือนจะเป็นพระเอกของภาคนี้ ฮิโรกิ นาริมิยะ ที่นอกจากจะดูไม่ค่อยหล่อเท่าไหร่ (ยกเว้นเรื่องความเตี้ยที่เหมาะกับบททีเดียว) หลายๆ บทที่ส่งให้เขาปล่อยของก็แสดงไม่ค่อยถึงอารมณ์เท่าทีควร (ดูจากสีหน้าแล้วถ้าได้บทฆาตกรโรคจิตคงทำได้ดี)
ในส่วนของตัวหนัง สำหรับแฟนๆ หนังจากการ์ตูนที่ได้ชื่นชมกับการดัดแปลงบทของ Death Note ทั้ง 2 ภาคมาแล้ว อาจจะผิดหวังที่รู้ว่าการเล่าเรื่องราวในเรื่องนี้เหมือนแทบจะกางหนังสือการ์ตูนกำกับกันเลยทีเดียว เรื่องราวดำเนินตามหนังสือการ์ตูนเป๊ะๆ ขาดแต่เพียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของทั้ง 2 วงที่ตัดออกเหลือไว้แค่ นานะ-เรน กับ ฮาจิ-ทาคุมิ-โนบุ
โดยเนื้อหาในภาคนี้จะเน้นไปที่ตัวฮาจิเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องรักสามเส้าระหว่างเธอกับชายในฝันที่ไร้หัวใจอย่างทาคุมิ ผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยงานและหลักการ กับโนบุผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและคนที่รู้ใจเธออย่างแท้จริง ขณะที่บทของนานะในภาคนี้งานหนักจะตกไปอยู่ที่การร้องเพลงมากกว่า
เมื่อพูดถึงนานะแล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ได้แก่เพลงประกอบ หลังจากที่ภาคแรกส่งเพลง GLAMOROUS SKY ที่แต่งดนตรีโดย ไฮด์ หล่อเล็กแห่งวงสายรุ้งแสนสวย L'Arc en Ciel และแต่งเนื้อร้องโดยไอ ยาซาว่าเอง ที่ทั้งเพราะทั้งมันส์จนโด่งดังไปทั่วเอเชียมาแล้ว คราวนี้ก็ยังใช้มุกเด็ดด้วยการร่วมงานกันระหว่าง ทาคุโระ มือกีตาร์คนเก่งของวง GLAY และไอ ยาซาว่าในฐานะผู้แต่งเนื้อเพลงอีกครั้งในเพลง Hitoiro ที่มีทั้งเวอร์ชั่นบัลลาดและอัลเทอร์เนทีฟ (แต่ฟังครั้งแรกผมกลับนึกถึง Wish ของ Luna Sea ซะอีก)
แม้แนวเพลงหลักของ GLAY จะเป็นเพลงร็อกเก๋ๆ แต่ก็มีไม่น้อยที่เกรี้ยวกราดพอจะเป็นเพลงพังค์แรงๆ ได้ แต่ Hitoiro ที่มีความเป็น GLAY อยู่สูงนี้ เทียบความร้อนแรงของ GLAMOROUS SKY ไม่ได้เลย พิสูจน์จากความนิยมของซิงเกิลใหม่นี้ที่ขึ้นชาร์ตโอริคอนได้แค่อันดับที่ 5 ขณะที่เพลงเก่าขึ้นได้ถึงอันดับที่ 1 รวมทั้งเพลงใหม่ของวง TRAPNEST ที่ได้อิโตะ ยูน่ะมาร้องในเพลง Truth ก็สู้เพลงในภาคที่แล้วอย่าง ENDLESS STORY ไม่ได้เช่นกัน (เสียดายที่ทุ่มทุนไปถ่ายเอ็มวีถึงสก็อตแลนด์)
แต่ที่หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเห็นจะเป็นตัวผู้กำกับ เคนทาโร โอตานิ นั่นเอง ที่กล่าวอย่างมั่นใจตอนปิดกล้องว่ายังไงเสียรายได้ของภาคนี้จะต้องทะลุ 4 พันล้านเยนที่ภาคที่แล้วทำไว้อย่างแน่นอน แต่ทำไปทำมา รายได้บน 10 อันดับแรกของบ็อกซ์ออฟฟิศญี่ปุ่นที่ภาค 2 ใช้เวลาออกฉาย 5 สัปดาห์เก็บรายได้ไปแค่พันกว่าล้านเยนเท่านั้น
เมื่อเทียบกับรายได้ของหนังที่สร้างจากการ์ตูนอีกเรื่องที่มาทำเป็นหนังอย่าง Death Note นั้นต่างกันชัดเจน แม้ภาคแรกจะทำรายได้แค่ 2 พัน 6 ร้อยล้านเยน แต่ภาค 2 ที่เป็นบทสรุปของเรื่องก็สามารถกระหน่ำรายได้ไปถึงเกือบ 5 พันล้านเยนทีเดียว
หลายคนโทษว่าความล้มเหลวทางรายได้ของภาค 2 นี้มาจากการเปลี่ยนตัวละครหลักจากภาคที่แล้วหลายตัว รวมทั้งความจริงที่ว่าเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำแค่เดือนกว่าๆ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ย.ปีก่อน และเสร็จก่อนออกฉายที่ประเทศญี่ปุ่นวันที่ 9 ธ.ค.แค่เดือนเศษๆ เท่านั้น
แต่ปัญหาที่แท้จริงน่าจะมาจากประเด็นเรื่องความแผ่วของกระแสที่ไม่ต่อเนื่อง และการดำเนินเรื่องที่พูดได้ว่าไม่สามารถเซอร์ไพรส์เหล่าสาวกที่เตรียมจะไปดูแม้แต่น้อย
ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะไปดูตัวละครอันเป็นที่รักโลดแล่นอย่างมีชีวิตอยู่บนแผ่นฟิล์ม แค่ภาคแรกก็น่าจะเกินพอสำหรับแฟนๆ หลายคนแล้ว
สิ่งที่แฟนๆ คาดหวังจากหนัง 2 เรื่องที่ใช้เวลาเล่าถึง 4 ชั่วโมงถึงความสัมพันธ์ที่ยังคลุมเครืออยู่ของหญิงสาว 2 คน น่าจะได้รับการคลี่คลายมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ แต่หนังที่สร้างจากการ์ตูนที่ร่วมเล่มไปแล้วกว่า 17 เล่ม(เมืองไทยถึงเล่ม 14) กลับใช้วัตถุดิบในฉบับการ์ตูนมาสร้างเป็นหนังถึงเล่มที่ 8-9 เท่านั้น ไม่รู้ว่าการเสียดายของในการเล่าเรื่องของผู้กำกับอย่างโอตานิจะเป็นการรักพี่เสียดายน้อง ที่ในที่สุดก็ต้องเสียทั้ง 2 อย่างเลยหรือเปล่า กับการตั้งใจจะเก็บรายละเอียดให้หมด แต่เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ได้สร้างต่อจนเรื่องราวสิ้นสุด เพราะนายทุนคงต้องคิดหนักที่จะสร้างภาคต่อกับหนังที่ไม่อาจจะรับประกันความสำเร็จได้อย่างนี้
จะมีภาค 3 หรือไม่(ซึ่งก็ยังไม่รู้อีกว่าจะจบหรือเปล่า) งานนี้แฟนๆ นานะคงต้องลุ้นกันตัวโก่งทีเดียว
ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้ง 2 นานะนั้น นอกจากจะมีสาวๆ คอยเอาใจช่วยกันมากมายอยู่แล้ว ยังอาจจะมีสาวๆ หัวใจสีม่วงแอบลุ้นให้ทั้งสองลงเอยกันท้ายเรื่องด้วย เพราะหลายครั้งเหลือเกินที่ในฉบับการ์ตูนได้บรรยายความรู้สึกของนานะทั้งสองเอาไว้มากกว่าคำว่าเพื่อนสนิท และไม่ว่าทั้งสองจะห่างกันไปอยู่กับผู้ชายของตัวมากแค่ไหน แต่เมื่อมาเจอกัน ความผูกพันของทั้งสองก็ไม่ได้ลดลงเลย ซึ่งการเอาตัวละครผู้ชายมาขั้นกลางทั้งสองเอาไว้นับเป็นเสน่ห์ของผลงานเรื่องนี้อย่างมาก เหมือนแสดงให้เห็นว่าแม้ความฝันจะสวยงามเพียงไร แต่ความเป็นจริงผู้หญิงก็ต้องการการปกป้องจากผู้ชายอยู่ดี ซึ่งทำให้แฟนๆ ต้องลุ้นกับทางเลือกที่ผู้เขียนได้ทิ้งเอาไว้ครั้งนี้กันทุกๆ เล่ม
นานะทั้งสองจะลงเอยกันอย่างไร และมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้นทั้งคู่หรือเปล่า(อันนี้ผมเดาเล่นๆ)
แม้จะลอกการ์ตูนมาทำเป็นหนังเกือบทุกตอน แต่ฉากหนึ่งที่ผมชอบที่สุดแต่ไม่ยักจะนำมาใช้ ได้แก่ฉากที่พี่ยาสูบหรือยาสุ(ก็พี่แกสูบจัดเหลือเกิน) มือกลองของบลาสต์ไปหานานะที่บ้าน หลังจากถูกเหล่าปาปาราซซีและนักข่าวล้อมบ้านเอาไว้ จากข่าวที่ว่าเธอเป็นคนรักของเรนแห่งวงแทรปเนสต์ เมื่อยาสุแหลกคลื่นสื่อมวลชนไปถึงหน้าประตูบ้าน ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปเขาก็หันกลับมาบอกกับบรรดานักข่าวด้วยคำพูดสุดเท่ว่า
"ถ้าพวกนายว่างจนมาเดินย่ำสวนของชาวบ้าน ก็หัดมาปลูกดอกไม้ให้เขาบ้างน่ะ"
ช่างเป็นการเปรียบเปรยวงการสื่อมวลชนในยุคนี้ได้แยบยลจริงๆ