"อีฟ" อธิบาย "เดอะ ซิงเกอร์" เป็นเวทีประกวดร้องเพลงที่ใช้ผลโหวตจากทางบ้านตัดสิน พร้อมแสดงความั่นใจกรณีดึง "เป็ด มนต์ชีพ" นั่งคอมเมนเตเตอร์ ไม่น่าจะมีปัญหากับรายการเรียลิตี้ชื่อดัง ยันไม่แคร์กระแสเรื่องใช้เส้นพ่อรับทำงานใหญ่ให้ช่อง 3 เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องโดนก่อนวอนขอให้ดูที่ผลงานเป็นตัวตัดสิน
รับหน้าที่เป็นพิธีกรในโครงการเรียลิตี้ "ยูบีซีอคาเดมี แฟนเทเซีย" มาตลอด 3 ซีซั่น ครั้น "ต้อย เศรษฐา" หันมาดันลูกสาว “อีฟ พุทธธิดา” ผลิตรายการประกวดร้องเพลง "เดอะ ซิงเกอร์" ให้กับช่อง 3 (ออกอากาศต้นเดือนเมษายน) เจ้าตัวก็เลยต้องถูกวิจารณ์ไปตามระเบียบว่าอาจจะไปลอกเลียนรูปแบบของรายการอีกฝ่ายหนึ่งมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามความคิดเห็นไปยังสาวอีฟในฐานะของกรรมการผู้จัดการ บริษัทสกายเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ผู้ดูแลโปรเจ็กต์ดังกล่าว เจ้าตัวได้เผยถึงรูปแบบของรายการให้ฟังว่า..."ตรงนี้มันคือการแข่งขันประจำปี หมดซีซั่นนี้ก็มีอันใหม่ต่อไป แต่เรียนตรงนี้ก่อนว่ามันไม่ใช่รายการเรียลิตี้ กล้องตาม 24 ชั่วโมง แล้วก็มีช่องมาออก แต่ของเราไม่มีค่ะ ของเราไม่มีอะไรให้ออก ของเรามีไฮไลท์ออกรายการสีสันบันเทิงไม่มีกล้องตามอะไรเลย"
"ทั้ง 10 คนหน้าตาดีหมด จะไม่มีใครเหนือกว่ากัน การให้คะแนนไม่ได้วัดด้วยหน้าตา แต่ใครล่ะอีโก้ ใครคิดว่าเก่งแล้วล่ะ ไม่ต้องซ้อม หน้าตาดี ร้องดีไม่ซ้อมจะชนะเสมอไป คือ 6 อาทิตย์จะเห็นพัฒนาการ คะแนนมันจะขึ้นลงตลอดเวลา เราไม่สนแบคกราวน์ที่เอื้อต่อการมีผลคะแนนไม่ว่าจะเป็นความน่าสงสาร ความอะไรก็แล้วแต่เนี่ย จะไม่มีนะคะ ประวัติและการทำงาน ทีมคัดเลือกเขามีอยู่แล้ว เราจะไม่ไปแตะต้อง และผลการตัดสินก็มาจากเอสเอ็มเอส ซึ่งเหมือนกับทุกรายการ"
“จะมีห้องเทรนด์ มีคอร์สเรียนเป็นโจทย์ๆไป เพลงที่ร้องก็เป็นเพลงตามวีคๆไป เป็นเพลงดังน่ะค่ะ คือจะไม่มีการคัดออก แต่อันนี้มันจะคือผลสะท้อนว่าใครเพียบพร้อม หน้าตาดี ใจรักก็จะอยู่รอด ไม่อีโก้กับคำติชม หนูการันตีไมได้หรอกว่ามันจะออกมาตามนี้มั้ย มหาชนเชียร์ใครก็ต้องช่วยกันเชียร์ เราไม่คัดออก เพราะว่าเราอยากให้โอกาสคนโหวตแล้วให้โอกาสผู้เข้าแข่งขันด้วย คนจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าเราสร้างสถานการณ์"
ยอมรับว่าต้องเลือกคนหน้าตาดีมาตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อเตรียมเดินเข้าสู่วงการบันเทิงจริงๆ แต่แย้งคนหน้าตาดีไม่ชนะเสมอไปถ้าไม่มีพัฒนาการเลย
"เอาจริงๆ นะ รายการอื่นที่มีกันในที่สุดรายการที่มีอยู่ ในที่สุดคนหน้าตาดีก็ไม่ได้เสมอไปหรอก แม้แต่อคาเดมีซีซั่นแรกก็ใช่ว่าคนหน้าตาดีได้ คือถ้าให้กรรมการตัดสินคนก็จะมองว่าไม่แฟร์ เด็กล็อกมั่งล่ะ อะไรมั่งล่ะ มันก็เจออยู่ดี เราต้องเชื่อใจคนดู ถ้าเราผลักดันเรื่องส่วนตัวของเขาเนี่ยมันจะมีความเป็นดราม่า เราไม่ใช่เรียลิตี้นะคะ”
"มันคือนโยบายช่อง อยากมีคนใหม่ๆ มาประดับวงการ นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมต้องเลือกคนหน้าตาดี คือเข้ามาคุณต้องได้ประกอบอาชีพแน่ๆ จะอะไรก็ตาม คุณได้เป็นแน่ๆ จะพัฒนาเป็นอะไรก็เลือกเอาเอง เราแค่ให้โอกาสแรกให้ มันแก้ไขคนอื่นหรือเปล่า เราก็คิดพิจารณาแล้วว่าออกมาอย่างนี้ เขาอยากมีรายการแบบนี้ เราเอาจุดนั้นมาดูว่าคนชอบอะไรไม่ชอบอะไร จริงๆ คือเราอยากเห็นการพัฒนา แก้ไขหลายครั้งนะกว่าจะผ่านมาได้"
นอกจากจะถูกวิจารณ์ถึงรูปแบบของรายการที่มีความคล้ายกันแล้ว เดอะ ซิงเกอร์ยังชิงเอาคอมเมนเตเตอร์ชื่อดังจากบ้านอคาเดมีฯ อย่าง "เป็ด มนต์ชีพ" มาทำหน้าที่ร่วมกับ แจ๋ว ยุทธนา ล.พันธุ์ไพบูลย์และเจนนิเฟอร์ คิ้ม อีกต่างหาก
"ครูเป็ดไม่ได้มีสัญญานะ ทางโน้นเขาเชิญไป เราก็เชิญมา เราคุยในรายละเอียดว่ามันอย่างนี้อย่างนั้นนะ แล้วครูเป็ดก็ตัดสินใจได้เลยว่าจะมามั้ย ซึ่งกับทางโน้นอีฟไม่ทราบว่าอย่างไร เพราะอีฟไม่ได้ไปคุย ทางครูเป็ดเขาตกลงเราก็ยินดีร่วมงาน พอเขามาปุ๊บก็มีคนถามเยอะว่าอย่างไรแน่ ที่ทราบมาครูเป็ดไม่มีสัญญากับทางโน้น เพราะฉะนั้นเราไม่ผิดกฎหมายอะไร เราก็เชิญกันตามปกติ"
"คงไม่ใช่รายการเรารายการเดียวที่อยากจะเชิญครูเป็ด แต่คิดว่าใครก็อยากเชิญใช่มั้ยคะ พอมาทำรายการประเภทนี้ ครูเป็ดมีศักยภาพ มีจิตวิญญาณของความเป็นครู เวลาวิจารณ์เนี่ยมันเป็นประโยชน์ เรายังมีความยินดีตรงนี้ อีฟถามก่อนว่าครูเป็ดวิจารณ์ตรงมั้ย ตรงใช่มั้ยคะ แรงมั้ย ก็แรง แต่ถามว่ามันได้ประโยชน์มั้ย มีแน่นอนค่ะ"
"จุดประสงค์ที่ให้คอมเม้นท์หรือสั่งสอนเพื่อที่จะให้เกิดการพัฒนา อะไรก็ตามที่เขาพูดก็ต้องเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ติแค่ว่าไม่ดี ด่าอย่างเดียวไม่ได้ ย้อนกลับไป ที่มันเกิดเรื่องว่าคอมเม้นเตเตอร์เพราะว่ามันไม่เกิดประโยชน์ ทุกคนต้องอยากให้ประสบความสำเร็จ มันจะเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ คนที่เราคัดเลือกมาจะได้รับการตอบรับที่ดี ในที่สุดคะแนนก็จะตรงใจ มันมีอุปสรรคมันก็มีแหละค่ะ กั๊กมั้ย ล็อกมั้ย พิสูจน์กันไป"
ออกปากยอมรับหนักใจ เพราะถือว่าเป็นการทำรายการทีวีรายการแรก ก่อนจะบอกไม่แคร์ต่อเสียงวิจารณ์ว่าถึงเรื่องของการใช้เส้นผู้เป็นพ่อกระทั่งได้รับงานใหญ่มาทำ..."ถามว่าเราเด็กไปมั้ย มันวัดไม่ได้หรอก งานมันยังไม่เกิด ถ้าเกิดแล้วมันดี เราจะยังเด็กมั้ยล่ะ อีฟอาจจะมีประสบการณ์น้อย แต่เราก็มีผู้ช่วย มีโปรดิวเซอร์ที่มีประสบการณ์ เมื่อนายหยิบยื่นโอกาสให้เราก็ทำเต็มที่"
"มันโดนจับตามองอยู่แล้ว และคิดว่าโดนว่าอยู่แล้ว แต่ถามว่าอีฟว่าคนทำงานก็อยากให้งานออกมาดี ตัวอีฟเองก็อยากให้งานได้ดี เราก็หวังว่ามันจะไปตามที่เราคาดเอาไว้ คนที่เราคัดเลือกมาจะได้รับการตอบรับที่ดี คะแนนก็อยากให้มันตรงใจ เสียงชมมันมากกว่าเสียงด่าอยู่แล้วน่ะค่ะ"
"ถามว่าอีฟมีปัญหากับตรงนี้มั้ย อีฟไม่มีนะ เราทำงานพ่อเราก็ทำงานให้ช่อง เราก็มีความจงรักภักดี ณ วันหนึ่งที่เราอีกรุ่นต่อมาเราก็ต้องทำ ถ้าอีฟไม่ทำตรงนี้สิ่งที่พ่อทำมาก็สูญเปล่า ซึ่งจริงๆ อีฟไม่ต้องทำก็ได้ ไปเป็นลูกจ้างเขาก็ได้ แต่เรามีความรับผิดชอบไงคะ มีลูกน้องที่ต้องดูแล เราต้องมาชั่งน้ำหนักน่ะว่าเราแบกอะไรไว้ แบกแล้วคุ้มค่าก็ไม่สนใจว่าใครจะว่าอย่างไร"
"มันจริงนะถ้าอีฟไม่ใช่ลูกพ่ออีฟจะมาทำตรงนี้ได้อย่างไร มันเหมือนการเข้ามหาวิทยาลัยเปิดน่ะค่ะ ถามว่ามันเข้าง่ายมั้ย มันง่าย แต่ไปดูซิตอนจบมันยากนะคะ เพราะฉะนั้นวัดอีฟที่ตอนจบดีกว่าว่าอีฟจบมั้ย จบกี่ปี แล้วได้เกรดอะไร อีฟใจกว้างพอ แต่ไม่ใช่เป็นเทพ เราทำพลาดได้ เมื่อพลาดเราก็ต้องยอมรับว่าเราพลาด..."
"เมื่อเราทำดี เราก็ต้องดูใครชมเราบ้าง เสียงชมมันไม่เท่าเสียงด่าหรอกพี่ อีฟเป็นพุทธน่ะ ก็คงต้องบอกว่าปลงน่ะ อีฟไม่ใช่โปรดิวเซอร์ไงคะเลยบอกไม่ได้ว่ามันจะออกมาดีมั้ย..."