xs
xsm
sm
md
lg

"เต๋อ เรวัต" ในมุมของ "สุธาสินี พุทธินันทน์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้ว่าความสำเร็จจะไม่มีเครื่องมืออะไรมาเป็นตัววัดให้ออกมาเป็นปริมาณที่แน่ชัด แต่สำหรับในวงการเพลงกับคนชื่อ "เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์" ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครปฎิเสธว่าเขาขึ้นไปยืนใกล้กับจุดนั้นเป็นที่สุด

แต่ถึงแม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เปลี่ยนแปลงวงการเพลงไทยให้ทัดเทียมความเป็นสากล การทำงานที่มากด้วยคุณภาพและความเอาใจใส่ การแต่งเพลงที่แฝงไว้ด้วยคารมคมคายและปรัชญา ทว่าในอีกฟากหนึ่งก็เริ่มที่จะมีคนรู้สึกว่าเขาคนนี้ก็มีส่วนสำคัญเช่นกันในฐานะของผู้วางรากฐานที่ทำให้วงการเพลงไทยเข้าสู่ระบบการทำเพลงแบบโรงงานอุตสาหกรรมที่ชื่อว่าแกรมมี่ฯ

การจากไปของชายคนนี้ ใช่จะมีเพียงผลงานเพลงเท่านั้นที่เขาถ่ายทอดเอาไว้ หากแต่ความรักของเขายังก่อให้เกิดชีวิตที่ชื่อ "แพท สุธาสินี พุทธินันทน์" ขึ้นมาด้วยเช่นกัน

10 ปีกับการจากไปของผู้เป็นบิดา ลองมาฟังเสียงจากหัวใจของผู้หญิงคนนี้กันดูว่า ณ. วันนี้เธอรู้สึกอย่างไรกับ "เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์" ชื่อที่ยังคงวนเวียนอยู๋รอบๆ ตัวเธออยู่ตลอดเวลา

"แพท" เล่าถึงก้าวเริ่มในวงการบันเทิงที่ผ่านมา อย่างช้าๆ แต่มั่นคง หลังจากที่ผู้เป็นพ่อได้จากไปมองดูเธอยังที่ห่างไกลแล้ว
"ช่วงแรกสุดตอนนั้นคือโฆษณาโค้กใช่ไหมคะ แต่ว่าอันนั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นการเข้าวงการอะไรเท่าไร เพราะเป็นโฆษณาชิ้นเดียวแล้วก็เป็นครั้งแรกที่ทำงานแบบมืออาชีพจริงๆ ร่วมงานกับชาวต่างชาติอะไรอย่างนี้ด้วย ตอนนั้นคุณพ่อก็ให้คำแนะนำแต่ว่าไม่มาก เพราะคุณพ่อคิดว่าหลังจากโฆษณาจบ คุณพ่อไม่ได้ให้ต้องการให้แพทเข้าวงการ ต้องการให้แพทเรียนหนังสือก่อน"

"แพทเข้าวงการจริงๆ ตอนที่เรียนจบแล้วกลับมาเมืองไทย ตอนนั้นคุณพ่อไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้เห็น แต่แพทก็เชื่อว่าคุณพ่อคงสัมผัสได้ค่ะ"

หลังจากจุดเริ่มต้นผ่านไป "แพท" ก็ตามความฝันในการเป็นนักร้อง นักแสดงละครเวทีด้วยความมุ่งมั่น ถึงแม้ว่าผลงานอัลบั้มแรกจะใช้เวลานานมากในการผลิต แต่ถามถึงความพึงพอใจที่มีต่ออัลบั้มชุดแรกนี้ "แพท" ยอมรับว่าค่อนข้างพอใจและภูมิใจมากทีเดียว..."ปกติแพทเป็นคนที่คาดหวังตัวเองสูงมาก อาจจะพูดได้ว่ามาตรฐานสูงมาก คือจะตั้งไว้ว่าต้อง 90 ขึ้นไปอย่างนี้ ถึงจะดีใจมาก จะภูมิใจมาก"

"แล้วก็จะพยายามทำอะไรก็ตามที่ทำมาให้มัน 90 ขึ้นๆ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ทุกครั้งหรอก บางครั้งก็มี 90 บางทีก็ 80 หรือ 75 ก็มี แต่ว่าอย่าให้ต่ำกว่า 75 เป็นอันขาด เพราะคิดว่าถ้าต่ำกว่า 75 แล้วนี่จะยังไม่ให้ออกมาอยู่ดี ต้องทำจนให้ถึง 80 - 90 ให้ได้ อย่างอัลบั้มแรกก็คิดว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์พอใจนะคะ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ พอหันมองกลับไปก็เห็นจุดบกพร่อง คนเรามักจะเป็นอย่างนี้นะ"

"อย่างอัลบั้มแรกของแพทนี่ มันก็ไม่ใช่เนื้อหาแบบป็อบทั่วไป ที่เป็นฉันรักเธออะไรอย่างนั้นค่ะ แต่ว่ามันจะเป็นปรัชญานิดหน่อย เพราะว่าแพทเองก็มีความเป็นคุณพ่ออยู่บ้างในตัวใช่ไหมคะ แต่ว่าจะให้ออกมาเป็นแนวปรัชญาคำสอนอย่างคุณพ่อขนาดนั้นก็คงเป็นไม่ได้ เพราะแพทเองก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง"

"แต่ของคุณพ่อนี่เป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นบุคคลที่ทุกคนยอมรับแล้ว คุณพ่อสามารถถ่ายทอดออกมาอย่างนั้นได้ แล้วก็ตรงตัวคุณพ่อ แล้วสังเกตเพลงของคุณพ่อนี่ก็ยากที่จะหาคนอื่นมาร้องแทนได้ ถึงแม้ว่าตัวแพทเองจะเป็นลูกก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถที่จะถ่ายทอดออกมาได้ เพราะว่าแพทไม่ใช่คนอย่างคุณพ่อ"

จากการที่เธอมีนามสกุลเดียวกันกับหนึ่งในตำนานของวงการเพลงไทยนั้น จึงไม่แปลกที่ก้าวย่างแรกในวงการบันเทิงย่อมมีผู้คนมากมายจับตามอง
"ก็โดนเหมือนกันนะคะ ตอนแรกๆ ที่เข้ามาในวงการใหม่ๆ ก็มีความกดดันสูงเหมือนกัน เพราะว่าตอนนั้นคนยังไม่รู้จักแพทใช่ไหมคะ ทุกคนก็จะทราบอย่างเดียวว่าเป็นลูกของคุณพ่อ แล้วมันก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่พอทุกคนรู้จักคุณพ่อก็ต้องมีความคาดหวังสูงเกี่ยวกับตัวลูกด้วยว่า เออ ลูกก็ต้องทำให้ดีนะ หรืออะไรทำนองนั้นค่ะ"

"แต่ของแพทเอง แพทคิดว่าคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าแพทจะเป็นลูกคุณพ่อก็ตาม แต่ว่าแพทไม่มีทางเก่งเหมือนคุณพ่อแน่ๆ อยู่แล้ว แพทก็อาจจะมีความสามารถของแพทเท่าที่แพททำได้ แล้วก็คิดว่าอะไรก็ตามที่เราจะต้องทำ หรือว่าอยากจะทำ ก็ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด เต็มที่กับความสามารถของตัวเองเท่าที่จะทำได้ดีกว่า"

เมื่อเลือกเส้นทาง และมุ่งมั่นที่จะเดิน ท่ามกลางการจับตามองนั้น งานอื่นๆ ในวงการก็เริ่มทยอยมาทีละนิด ถึงแม้จะไม่มากมายตูมตาม แต่ก็เป็นไปในลักษณะที่เรื่อยๆ และมั่นคง รวมทั้งโอกาสในการช่วยเหลือผู้คนดั่งที่ผู้เป็นพ่อได้สั่งสอนมา ก่อนที่เจ้าตัวจะยอมรับว่าการจากไปของผู้เป็นบิดาเสมือนกับการที่ปรึกษาที่ดีที่สุดไป
"คุณพ่อจะเป็นคนที่มีคำตอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะถามอะไรก็จะตอบได้หมดทุกอย่าง แต่ว่าพอหลังจากที่คุณพ่อเสียไปแล้วนี่ มันก็จะมีบางอย่างที่บางทีอยากจะหาคำตอบแต่ไม่รู้จะไปถามใคร เพราะว่าคงจะไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ดีเท่าคุณพ่ออีกแล้ว แต่ว่าแพทก็อาศัยดำเนินรอยตามสิ่งที่คุณพ่อสอนมา พยายามคิดเยอะๆ แล้วก็ปรึกษาคุณแม่"

"เพราะว่าคุณแม่เป็นคนที่ใกล้ชิดคุณพ่อมากที่สุดเหมือนกัน คุณแม่ก็จะคอยให้คำปรึกษาเราได้ด้วย แต่อย่างถ้าต้องการคำตอบเร็วๆ อย่างนี้ มันก็จะไม่ได้ค่ะ เพราะว่าก็ไม่ทราบว่าจะไปปรึกษาใครเหมือนกัน ต้องให้เวลาผ่านไปสักพัก แล้วพอมีประสบการณ์มากขึ้น มันก็จะทำให้เราคิดได้ แล้วบางทีก็มีไปเรียนปรึกษาผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่มีความคิด ความอ่านคล้ายคุณพ่อ ก็จะช่วยดูแลครอบครัวเราด้วยเหมือนกัน"

ในยุคที่วงการดนตรีเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือของ "เรวัต พุทธินันทน์" ได้ดำเนินไปตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา และเมื่อสิ้นยุคของ "เต๋อ" ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอีกครั้งกับแกรมมี่ฯ และวงการเพลงไทยก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปในทิศทางที่เป็นลบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ทายาทคนดนตรีชื่อดังแสดงทัศนะว่า...

"เวลามันเปลี่ยนนะคะ อะไรหลายๆ อย่างมันก็เปลี่ยน แพทว่า ตอนนี้นี่ถ้าพูดถึงมันคงเป็นภาพรวมมากกว่า เพราะอย่างสมัยตอนที่คุณพ่ออยู่ตอนนั้นคือ คุณพ่อก็เริ่มทำให้วงการเพลงเป็นที่ยอมรับแล้วก็เพลงไทยนี่ก็คือเปลี่ยนไปเลย เป็นเหมือนกับว่าจะสามารถเทียบเท่ากับระดับสากลได้ แล้วก็เป็นเพลงไทยที่มีคุณภาพ"

"แต่ว่าพอช่วงหลังมานี่ แพทเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร วงการเพลงมันเปลี่ยนไปมากกว่าค่ะ แล้วมันอาจจะมีปัจจัยอะไรหลายๆ อย่าง คือความชอบของคนก็เปลี่ยนก็ได้ แล้วด้วยเทรนด์ต่างๆ ด้วย แล้วตอนนี้เรื่องธุรกิจเพลงเองก็เปลี่ยน มีเรื่องเทปผีซีดีเถื่อนมันเข้ามาเยอะ เพราะฉะนั้นมันก็มีผลกระทบอะไรหมดทุกอย่างด้วย แพทเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดเหมือนกันว่าเพราะอะไร"

"แพทมองว่าอาจจะเป็นด้วยเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศไทย แล้วเรื่องธุรกิจเพลงนี่พอมีคู่แข่งเยอะ แล้วมีค่ายเพลงเพิ่มขึ้นมาอีกหลายค่าย ใช่ไหมคะ แล้ววิธีการผลิต ผู้บริโภคก็บริโภคน้อยลงเพราะว่ามีของปลอมเข้ามา แล้วแพทก็เข้าใจในมุมมองเศรษฐกิจที่ว่าเกิดการที่อยากจะทำอะไรออกมาให้ได้เงินเร็วๆ อย่างนี้"

"สมัยก่อนอาจจะใช้เวลานานกว่าจะทำออกมาชุดหนึ่ง แต่ตอนนี้ก็ต้องเร่งออกให้เยอะขึ้น เพราะว่าจะได้มีอะไรออกมาให้มากขึ้น แต่ตัวแพทเองก็ไม่สามารถพูดเยอะได้ เพราะว่าแพทเองก็ไม่ทราบอะไรลึกๆ เท่าไร แต่ในความรู้สึกเท่าที่สังเกตดูก็เป็นลักษณะนั้นค่ะ แต่ของอย่างนี้มันพูดยากค่ะ เพราะแพทก็คิดว่าคนไทยเรา เด็กรุ่นหลังก็มีความหลากหลายเพิ่มขึ้นนะคะ แล้วด้วยค่ายเพลงมีการแข่งขันสูงมากขึ้นด้วย ความชอบของพวกเขาก็แตกต่างกันไปด้วย"

ด้วยความที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของ"เรวัต พุทธินันทน์" เลือดในกายของเธอจึงยังคงมีความเป็น"เรวัต"อยู่พอสมควร ทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน..."แพทก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่จากเท่าที่รู้สึกเพราะว่าอันนี้ก็ไม่เคยคุยกับใครนะคะ เท่าที่รู้สึกคิดว่าตัวเองน่าจะมีความเป็นคุณพ่อครึ่งหนึ่ง คุณแม่ครึ่งหนึ่งมากกว่า คือแพทเองก็เป็นผู้หญิงแต่ว่ามีความเป็นผู้ชายอยู่ในตัวด้วย"

"แพทต้องการชีวิตที่ง่ายๆ เรียบง่ายมากๆ เลย แล้วก็อยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ามากที่สุด หลักๆ ก็อย่างที่คุณพ่อเคยสอนว่า ในเมื่อเรามีอะไรที่ดีแล้ว เราก็ควรจะเผื่อแผ่ความรัก เผื่อแผ่ความรู้ที่เรามี ไม่ใช่แค่เฉพาะเรามีความสุขอย่างเดียว แต่ว่าให้กับคนรอบข้างด้วย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเรา ญาติพี่น้อง หรือว่าเพื่อนอะไร เพราะว่าเราเกิดมาต้องอยู่ร่วมกันอยากให้เข้าใจซึ่งกันและกัน"

"แล้วก็มองโลกในแง่ดี พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้โอกาสคน แล้วก็พยายามเข้าใจว่าที่มาที่ไปของแต่ละคนนี่เป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นตรงนี้มันจะทำให้ไม่เกิดการเป็นศัตรูหรือไม่เกิดการเข้าใจผิดกัน เพราะคุณพ่อบอกว่าการที่เราเข้าใจคนและรู้ที่มาที่ไป มันก็ทำให้เราให้อภัยเขาได้ แล้วก็ไม่ทำให้เราคิดในทางลบด้วยค่ะ ตรงนี้มันก็ทำให้การอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าใครก็ตามจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข"

"แต่แพทก็คิดว่าชีวิตของคนเรามันไม่เหมือนกันอยู่แล้วค่ะ ทุกคนก็มีทางเลือกของตัวเองเอง เพราะฉะนั้นเรามีจุดยืนของเรา เราต้องการอะไรก็มุ่งมั่นไป ทำชีวิตของเราให้ดีที่สุด ให้มีความสุขที่สุด แล้วก็พยายามดูว่าอะไรที่เหมาะสมกับเราที่สุด ก็ทำตรงนั้นไป ไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอแล้ว ก็คิดดีทำดี สักวันก็จะได้ดีเอง เหมือนอย่างเพลงที่คุณพ่อบอก แต่จะเร็วหรือจะช้ามันขึ้นอยู่กับโชคชะตามากกว่า แต่ว่าถ้าเรามุ่งมั่นเสียอย่าง ตั้งใจทำให้ดีที่สุด สักวันมันก็ต้องมีวันนั้น"

พร้อมสืบทอดเจตนารมย์ของผู้เป็นพ่ออย่างต่อเนื่อง
"ตอนก่อนคุณพ่อเสีย คุณพ่อเคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะเขียนหนังสือถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ ความผิดพลาดต่างๆ ที่คุณพ่อเคยมีมา ได้ทำมานี่ ก็อยากจะถ่ายทอดตรงนี้ให้กับคนรุ่นหลังได้ทราบกัน เพราะคุณพ่ออยากจะให้คนรุ่นหลังมีความรู้เกี่ยวกับดนตรีมากๆ แต่ว่าพอดีคุณพ่อเสียชีวิตไปก่อน ก็เลยไม่ได้มีหนังสือตรงนั้นออกมาค่ะ"

"แต่ว่าพอดีในงานศพของคุณพ่อตั้งแต่วันแรกถึงวันพระราชทานเพลิงศพมีคนทำบุญให้เงินมาค่อนข้างเยอะเหมือนกัน คุณแม่ก็ไม่อยากจะเอาเงินตรงนั้นไปทำอะไร นอกจากทำบุญ ก็เลยนำเงินตรงนี้ไปก่อตั้งมูลนิธิเรวัต พุทธินันท์ขึ้นมา แล้วประจวบเหมาะกับทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาติดต่อมาว่าอยากจะทำห้องสมุดดนตรีของคุณพ่อ ก็เลยเห็นว่าทุกอย่างลงตัว ก็เหมือนกับว่าเราได้สืบทอดเจตนารมย์คุณพ่อได้ส่วนหนึ่ง ก็เลยมีห้องสมุดดนตรีของคุณพ่อขึ้นมา"

"แล้วตรงนั้นมันก็เหมือนกับว่าอย่างน้อยเราก็ได้ให้ความรู้ เกี่ยวกับการศึกษาอะไรต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องดนตรีนี่ ให้กับคนรุ่นหลังซึ่งห้องสมุดตรงนี้นี่ก็ไม่ใช่แค่เฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เท่านั้น แต่ก็เปิดเป็นสาธารณะให้ทุกคนมาใช้ได้ นั่นคือเท่าที่เราได้ทำมา แล้วต่อไปเราก็อยากจะปรับปรุง อัพเดทห้องสมุดตรงนี้ให้ทันสมัยมากขึ้น ค้นหาข้อมูลได้มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ เราก็ต้องคอยอัพเดทตลอดเวลาด้วย ด้วยวิธีใดก็ตาม ก็อยากจะถ่ายทอดเจตนารมย์คุณพ่อให้ได้มากที่สุดค่ะ"
กำลังโหลดความคิดเห็น