xs
xsm
sm
md
lg

The Flower of Evil : ตู้ใบนี้มีโครงกระดูก/โสภณา

เผยแพร่:   โดย: โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล


แม้จะชื่นชอบโปรดปรานหนังระทึกขวัญสั่นประสาทอยู่ไม่น้อย แต่กับหนังกลุ่มนี้ของฝั่งยุโรปแล้ว บอกคุณตามตรง ดิฉันไม่มีความคุ้นเคยมากนัก สาเหตุก็เพราะหนังระทึกขวัญยุโรปส่วนใหญ่มักมีจังหวะการเดินเรื่องที่เรียบเรื่อยนิ่งช้า ไม่เน้นจุดขายที่ความตื่นเต้นเร้าใจตูมตาม แต่กลับให้น้ำหนักกับการเล่นเอาล่อเอาเถิดกับความรู้สึกผู้ชมอย่าง ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ มากกว่า

พูดง่ายๆ ก็คือว่า หนังระทึกขวัญแบบยุโรปนั้น แม้จะโดดเด่นในแง่ของความลุ่มลึกและชั้นเชิงในการนำเสนอเรื่องราวประเภท ‘ด้านมืดของมนุษย์’ แต่ถ้าวัดกันที่เรื่องความบันเทิงล้วนๆ แล้ว ถือได้ว่ายังห่างชั้นกับหนังกลุ่มเดียวกันของฝั่งฮอลลีวูดอยู่เยอะ

ด้วยเหตุนี้ ดิฉันเองซึ่งจัดตัวเองไว้ในหมวดหมู่ ‘นักดูหนังผู้แสวงหาความบันเทิง’ หากนึกอยากดูหนังระทึกขวัญสักเรื่อง ในยามปรกติจึงมักมุ่งหน้าคุ้ยค้นเอาจากกองหนังอเมริกันเสมอ ส่วนหนังระทึกขวัญสัญชาติยุโรปนั้น ดิฉันเก็บไว้ดูเฉพาะเวลาที่เชื่อมั่นว่า อยู่ในภาวะที่สมองไม่อ่อนล้าง่วงงุนจนเกินไปเท่านั้น

คราวประสาทแข็งแรงครั้งล่าสุด ดิฉันฮึกเหิมหยิบหนังของ โคล้ด ชาโบรล ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น Master of Suspense ขึ้นมาดูเรื่องหนึ่ง คือ The Flower of Evil (La Fleur du Mal)

เนื้อหาของหนังจัดอยู่ในกลุ่ม ‘โครงกระดูกในตู้’ หรือ Skeleton in the Closet ซึ่งเค้าโครงหลักคือ การพูดถึงความลับดำมืดซึ่งมิอาจเปิดเผยในที่แจ้งของครอบครัว

ศูนย์กลางของหนังอยู่ที่ครอบครัว ชาร์แปง-วาสเซอร์ ซึ่งหนังได้ให้พื้นเพปูมหลังไว้ว่า แท้จริงแล้วเป็นการผนวกรวมตระกูลผู้ดีเก่า 2 ตระกูลเข้าเดียวกัน คือ ตระกูลชาร์แปงกับตระกูลวาสเซอร์ ทั้งสองตระกูลนี้เกี่ยวดองกันมาราว 3 ชั่วอายุคนแล้ว และแม้จะมีเสียงนินทาลับหลังจากชาวบ้านร้านตลาดว่า การเกี่ยวดองกันดังกล่าวแท้ที่จริงก็เป็นแต่เพียงเพื่อรักษาและเพิ่มพูนผลประโยชน์และอำนาจเท่านั้น ทว่าสำหรับคนชาร์แปง-วาสเซอร์เองแล้ว พวกเขายังคงยืนยันว่า แท้ที่จริงมันมีเรื่องของความผูกพันและความรักปนอยู่ในนั้นด้วย

สมาชิกชาร์แปง-วาสเซอร์ที่หนังนำมาเป็นตัวละครมีอยู่ด้วยกัน 5 ชีวิต คือ คู่สามี-ภรรยา เฌราร์ด และ อานน์ (อานน์เคยแต่งงานกับน้องชายของเฌราร์ด แต่หลังจากที่สามีของเธอและภรรยาของเฌราร์ดเสียชีวิตพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน อานน์กับเฌราร์ดจึงตัดสินใจแต่งงานกัน), ฟรองซัวส์ ลูกชายของเฌราร์ดซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากอเมริกามาอยู่ร่วมกับครอบครัว หลังจากห่างหายไปนานถึง 3 ปี, มิแชล ลูกสาวของอานน์ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย อ่อนหวาน และชาญฉลาด และคนสุดท้ายคือ มิชลีน หรือที่ทั้งเรื่องตัวละครทุกคนเรียกเธอว่า ‘ป้าลีน’ หญิงชราผู้มีอาวุโสสูงสุดในบ้าน มีศักดิ์เป็นป้าของอานน์

เพื่อช่วยให้คุณงุนงงน้อยลง (หรือจะทำให้งงกว่าเก่าก็ไม่ทราบ) ดิฉันมีผังตระกูลชาร์แปง-วาสเซอร์ประกอบ

ชาโบรลเปิดเรื่องด้วยการให้กล้องนำทางผู้ชมสู่คฤหาสน์ชาร์แปง-วาสเซอร์ เริ่มตั้งแต่ภายนอกซึ่งห้อมล้อมด้วยพันธุ์ไม้เขียวขจี แล้วซอกซอนเข้าสู่ภายในบ้าน ผ่านห้องอาหารชั้นล่าง กรุยทางสู่ชั้นบน และจบลงที่ห้องนอนห้องหนึ่ง ซึ่งมีชายวัยกลางคนนอนเป็นศพอยู่คนหนึ่ง

จากนั้นหนังจึงตัดไปเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ซึ่งเรื่องทั้งหมด สรุปโดยคร่าวก็คือ มันเริ่มต้นจากการเดินทางกลับบ้านของฟรองซัวส์, การตกหลุมรักกันระหว่างฟรองซัวส์กับมิแชล พี่น้องต่างสายเลือด, การลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของอานน์, ความขุ่นเคืองใจของเฌราร์ดต่อการโดดลงสนามการเมืองท้องถิ่นของอานน์, ความขัดแย้งไม่ลงรอยกันระหว่างฟรองซัวส์กับเฌราร์ดผู้เป็นพ่อ, การปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องของใบปลิวโจมตีอานน์ ซึ่งมีเนื้อหาขุดคุ้ยเปิดโปงความลับดำมืดของครอบครัวชาร์แปง-วาสเซอร์ (มีตั้งแต่เรื่องการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของคนในบ้าน, การฆาตกรรมที่ยังไม่อาจสะสางคลี่คลาย)

และแน่นอน เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นนำไปสู่คำเฉลยในท้ายที่สุดว่า ชายที่นอนตายในห้องในฉากเปิดเรื่องนั้นเป็นใคร และมีความเป็นมาอย่างไรเขาจึงมาลงเอยในสภาพนั้น

ในภาพรวม The Flower of Evil เป็นหนังที่ค่อนข้างจะนิ่งและเรียบ ไม่ต่างจากหนังกลุ่มเดียวกันของฝั่งยุโรปดังที่กล่าวไว้ข้างต้น กระนั้น หนังก็มีข้อดีที่มาทดแทน ‘ความบันเทิงที่หายไป’ อยู่หลายส่วน

ประการแรกสุด นี่คือหนังที่โดดเด่นอย่างยิ่งในเรื่องของการเล่นกับ ‘ความขัดแย้ง’ ด้วยวิธีการสารพัด อาทิ การเล่าถึง ‘ด้านมืด’ ของมนุษย์ (การหลอกลวง ความเคียดแค้นชิงชัง การฆาตกรรม) บนฉากหลังที่สดใสสว่างจ้า การสร้างอารมณ์ขันในจังหวะเวลาที่คับขันเลวร้าย

เหนือสิ่งอื่นใด คือการให้ตัวละครซึ่งเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ‘ไม่น่าไว้ใจ’ ที่สุด นั่นก็คือ คนในแวดวงการเมืองอย่างอานน์ กลายเป็นคนที่สุดท้ายแล้ว ‘โปร่งใส’ ที่สุดในเรื่อง แต่กับป้าลีน หญิงชราที่มักถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มก้อนตัวละครประเภท ‘ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้’ ในหนังระทึกขวัญทั่วไปแล้ว หนังกลับทำให้เธอเป็นบุคคลที่มีลับลมคมในโดยตลอดทั้งเรื่อง (บ่อยครั้งหนังให้ ‘เสียงจากอดีต’ ดังขึ้นในหัวของป้าลีน และเนื้อหาในคำพูดเหล่านั้นก็ล้วนเกี่ยวพันกับโศกนาฏกรรมและความลับที่เกิดขึ้นกับครอบครัวชาร์แปง-วาสเซอร์ในอดีตทั้งสิ้น)

ความลับลมคมในของป้าลีนนั้น ยังถูกนำมาใช้ต่อในฐานะเครื่องมือสร้างความรู้สึก ‘ไม่ไว้วางใจ’ แก่ผู้ชม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำหนดให้ ‘ชื่อ’ ของตัวละคร 2 คู่ 2 รุ่น ใกล้เคียงกันมากอย่างจงใจ นั่นก็คือ คู่ของฟรองซัวส์กับมิแชล และคู่ของป้าลีน (ซึ่งชื่อจริงคือ มิชลีน) กับพี่ชายผู้ล่วงลับของเธอซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่ชื่อ ฟรองซัวส์ เหมือนกัน

ชื่อของคนทั้ง 2 คู่จะไม่มีความหมายอะไรเลยหากหนังไม่เน้นย้ำตลอดทั้งเรื่องว่า ในอดีตป้าลีนมีความรู้สึกลึกซึ้งกับฟรองซัวส์ผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอ (ซึ่งไม่ต่างอะไรจากความสัมพันธ์ระหว่างมิแชลกับฟรองซัวส์ในรุ่นปัจจุบัน) และท้ายที่สุดความรู้สึกลึกซึ้งนั้นก็นำไปสู่การที่เธอตกเป็นจำเลยสังคมว่า เป็นฆาตกรฆ่าพ่อแท้ๆ ของตัวเองเพื่อล้างแค้นให้พี่ชาย (เพราะหลายคนเชื่อกันว่า สาเหตุที่พี่ชายของป้าลีนเสียชีวิตก่อนวัยอันควรนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำตัวเป็นปรปักษ์กับพ่อ)

ซ้ำร้าย หนังยังใช้งานด้านภาพสร้างความเชื่อมโยงให้กับมิแชลและป้าลีนอย่างจงใจอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง นั่นก็คือ ในฉากซึ่งใบปลิวโจมตีอานน์ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก (และเป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้รับรู้เรื่องราว ‘โครงกระดูกในตู้’ ของป้าลีน และพวกชาร์แปง-วาสเซอร์โดยรวม) ใบปลิวดังกล่าวถูกอ่านออกเสียงให้พวกชาร์แปง-วาสเซอร์ทั้ง 5 ได้ฟังกันอย่างพร้อมเพรียง หลังฟังจบ แต่ละคนก็ลุกขึ้นแยกย้ายไปทำกิจธุระของตัวราวกับไม่ยี่หระอันใดกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้น อย่างไรก็ตาม มีสองคนที่ยังไม่ลุกไปไหน นั่นก็คือ มิแชลกับป้าลีน ทั้งคู่จิบชาคุยกันไปเรื่อยเปื่อย และทันใดนั้น กล้องก็เคลื่อนมาวางไว้หลังกรงนกซึ่งแขวนอยู่ในห้อง แล้วจับภาพของทั้งคู่ขณะนั่งเคียงกันโดยมีกรงนกเป็นกรอบล้อมขังทั้งคู่ไว้ และทิ้งไว้เช่นนั้นอย่างเชิญชวนให้สังเกตและตีความอย่างจงใจ

ความพ้องของตัวละครทั้งสองดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อบวกรวมกับการทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าป้าลีนเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยลับลมคมในมาโดยตลอดแล้ว ก็ชวนให้คิดต่อเหลือเกินว่า แท้ที่จริง มิแชลนั้นน่าไว้ใจอย่างที่เห็นหรือไม่ และท้ายที่สุด เธอเกี่ยวข้องหรือไม่และอย่างไรกับศพปริศนาในฉากเปิดเรื่อง

หลังจากทำให้ผู้ชมจมอยู่ในความเคลือบแคลงระแวงสงสัยมากว่าชั่วโมงครึ่ง ชาโบรลก็จบหนังของเขาลงด้วยฉากปิดที่น่าจดจำและร้ายกาจไม่น้อยไปกว่าฉากเปิดเรื่อง

The Flower of Evil จบลงด้วยฉากงานรื่นเริงฉลองชัยชนะของอานน์กับพรรคพวก บรรยากาศเต็มไปด้วยความผาสุก อย่างไรก็ตาม ไปๆ มาๆ ฉากนี้กลับไม่ชวนให้ผู้ชมรู้สึกชื่นมื่นอย่างที่ควรจะเป็น

เหตุก็เพราะ ย้อนหลังไปก่อนหน้านี้ไม่ถึงนาที หนังเพิ่งให้เราเห็นอยู่แหมบๆ ว่า ในห้องนอนห้องหนึ่งบนชั้นที่ 2 มีใครคนหนึ่งนอนตายอยู่ตั้งคน

ดิฉันเองดูหนังจนกระทั่งเครดิตท้ายเรื่องซึ่งขึ้นคลอกับภาพงานเลี้ยงฉลองจบ ก็ลุกลี้ลุกลนย้อนกลับไปดูฉากเปิดเรื่องของหนังซ้ำอีกรอบ และพบว่า มันชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่าคราวที่ดูครั้งแรกอยู่โข

ไม่ใช่ศพคนตายหรอกค่ะที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น แต่เพราะเพิ่งตระหนักว่า หากเรียงตามลำดับเวลาที่แท้จริงแล้ว ภาพในฉากเปิดเรื่องก็คือเช้าวันรุ่งขึ้นค่ำคืนแห่งชัยชนะของอานน์ซึ่งอยู่ในฉากปิด

และนั่นหมายความว่า ชายคนนั้นถูกทิ้งให้นอนตายอย่างนั้น ในท่าเดิมเช่นนั้น มาแล้ว 1 คืนเต็ม...ครอบครัวชาร็แปง-วาสเซอร์มีโครงกระดูกในตู้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง – โดยที่บางคนในบ้านไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร...หรือจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็ไม่ทราบ

กำลังโหลดความคิดเห็น