xs
xsm
sm
md
lg

Music and Lyrics...ทำไมคนรักเพลงยุค 80 กันจัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


(บทความนี้สำหรับผู้ที่มีเลข 3 นำหน้า...หรือเกือบๆ จะ)

ความใสซื่อ ไร้เดียงสา ชวนฝัน สนุกสนาน เสียงเพลงที่ฟุ้งไปด้วยเสียงรีเวิร์บ(เสียงก้อง) ทั้งเครื่องดนตรีที่อุดมไปด้วยซินธิไซเซอร์ และเสียงร้องอันอ่อนหวาน คือหัวใจสำคัญของเพลงป็อปยุค 80 ทั้งฝรั่ง ไทย หรือญี่ปุ่นในยุคนั้น

แม้เวลาจะล่วงผ่านไป รสนิยมในวงการดนตรีก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง แต่มนต์เสน่ห์สำหรับเพลงยุค 80 สำหรับผู้ที่เคยสัมผัสมันมาแล้วกลับไม่จืดจางลง แฟนเพลงทุกรายต่างถอนตัวไม่ขึ้นจากการหันกลับไปฟังมันอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าบริษัทผู้ผลิตใจดีเอาออกมาขายใหม่ หรือศิลปินรายนั้นยังคงมีชื่อเสียงในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นโชคดีสำหรับแฟนเพลงรายนั้น แต่ถ้าตรงกันข้าม และคาสเซ็ตเทปของศิลปินรายนั้นเริ่มจะหาเครื่องที่เล่นมันไม่ค่อยจะได้แล้ว ก็น่าเห็นใจแฟนเพลงรายนั้นอยู่เหมือนกัน

พฤติกรรมการควานหาเพลงยุค 80 ทุกวิถีทางของแฟนเพลงรุ่นใหญ่ อาจจะเป็นของแปลกสำหรับนักฟังเพลงรุ่นใหม่ ที่ได้วัตถุดิบมารวดเร็วแบบพริบตาเดียว แต่ใครจะรู้ว่า อีก 20 ปีข้างหน้า ซีดีของ Coldplay หรือ Potato ใครจะหายากกว่ากัน?

Music and Lyrics คือหนังรักในยุค 2000 ที่หยิบยืมเสน่ห์ของเพลงป็อปยุค 80 มาใช้ได้อย่างน่าสนใจ

ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 36 ของ ฮิวจ์ แกรนท์ เรื่องนี้เขารับบทเป็น อเล็กซ์ เฟล็ทเชอร์ สมาชิกของวงป็อปชื่อดังจากยุค 80 ที่ปัจจุบันกลายเป็นศิลปินตกยาก เกิดโชคเข้าข้างเมื่อถูกว่าจ้างจาก คอรา คอร์แมน นักร้องสาวน้อยชื่อดังที่ศรัทธาในความสามารถในอดีตของเขา เพื่อแต่งเพลงให้กับเธอ แต่ปัญหาของอเล็กซ์ก็คือความสามารถของเขาจำกัดอยู่แค่ตัวดนตรี หาใช่การแต่งเนื้อร้องไม่ ซึ่งเขากลับพบมันในตัวของ โซฟี ฟิชเชอร์ (ดรูว์ แบรีมอร์) คนดูแลต้นไม้ให้ห้องพักของเขา ก่อนที่การร่วมงานของทั้งสองจะกลายเป็นการเติมส่วนที่ขาดของกันและกันในที่สุด

บทสรุปของเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่แฟนหนังโรแมนติก-คอมเมดีจะต้องเซอร์ไพรส์อะไร(แม้จะต้องลุ้นกันนิดหน่อย) แต่เสน่ห์ที่ขาดไม่ได้ของหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะส่วนของความรัก(โรแมนติก) หรือ ตลก (คอมเมดี) จะมีเพลงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเกือบทุกฉาก

แค่เริ่มต้นเรื่องก็เปิดตัวด้วยเพลงสไตล์ยุค 80 แท้ๆ อย่าง Pop! Goes My Heart ที่ทำให้นึกถึงวงอย่าง Human League หรือ Alphaville ขึ้นมาทีเดียว ที่ขำก็คือฮิวจ์ แกรนท์ที่อยู่ในวง Pop ของเขานั้น ใครเห็นก็รู้ทันทีว่านี่คือวง Wham! ภาคปาหี่ดีๆ นี่เอง

อีกเพลงที่ย้ำถึงอิทธิพลของวงเก่าของจอร์จ ไมเคิลได้แก่ Meaningless Kiss ที่อเล็กซ์เอาไปร้องในงานเลี้ยงรุ่นแห่งหนึ่ง ที่เสียงแซ็กโซโฟนที่นำมาทำให้นึกถึง Careless Whisper แบบช่วยไม่ได้อีกเช่นกัน

และฉากสำคัญของเรื่องก็คือเพลงแรกที่อเล็กซ์และโซฟีแต่งและร้องเดโมด้วยกัน ในเพลง Way Back Into Love ที่แสดงให้เห็นถึงการสร้างเพลงรักกระจุ๋มกระจิ๋มเพลงหนึ่งภายในบ้านด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งดูแล้วไม่ยากเย็นอะไร แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันกลับเป็นผลงานที่น่าพอใจอย่างมาก ทำให้นึกถึงฉากในหนังออสการ์ปี 1984 อย่าง Amadeus ที่โมสาร์ตและซาลิเยรีแต่งเพลงร่วมกัน ซึ่งเป็นฉากที่ทรงพลังมากๆ หากแต่ฉากอันยิ่งใหญ่ของหนัง 8 ออสการ์เรื่องนั้นเป็นการแต่งเพลงเพื่อสรรเสริญคนตาย แต่เพลงในหนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นบ่อเกิดของความรักและความเข้าใจในเวลาต่อมา (ฟังแล้วทำให้นึกถึงเพลง Please Be Careful With My Heart ของ José Mari Chan ดีจริงๆ)

มาถึงเพลงและถือเป็นฉากเซอร์ไพรส์ประจำเรื่องอย่าง Don't Write Me Off ที่หนุ่มฮิวจ์ แกรนท์ของเราโชว์เสียงร้องพร้อมเล่นเปียโนได้อย่างน่าประทับใจมากๆ ทั้งเนื้อหาและท่วงทำนอง จนบางคนว่ามันคือ Your Song เวอร์ชันของฮิวจ์ แกรนท์ไปเลย

เห็นฮิวจ์ แกรนท์รับบทเป็นนักดนตรีดังจากยุค 80 ที่มาตกอับในปัจจุบันแล้ว อดนึกไม่ได้ว่านักร้องดังในอดีตอย่าง ทอมมี เพจ หรือ เจสัน โดโนแวน (คนที่ร้องเพลงคู่กับไคลี มิน็อก ในเพลง Especially For You จนเธอแจ้งเกิดในวงการตั้งแต่นั้นมา) ทุกวันนี้จะมีชะตาชีวิตเหมือนกับ อเล็กซ์ เฟล็ทเชอร์ ของวง Pop ในเรื่องนี้หรือเปล่า เช่นที่ในเรื่องพูดถึงอดีตนักร้องสาวที่หนุ่มๆ ฝันถึงเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนอย่าง ทิฟฟานี หรือ เด็บบี กิ๊บสัน ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปเลี้ยงหลานกันแล้วหรือยัง

เบื่องหลังความยอดเยี่ยมในน้ำเสียงของฮิวจ์ แกรนท์ในเรื่องนี้ มาจากการได้โค้ชเสียงชั้นดีอย่าง มาร์ติน ฟราย อดีตนักร้องของวง ABC ที่เคยโด่งดังในยุค 80 จากเพลง Look of Love ตัวจริงเสียงจริงมาช่วยติวให้

ส่วนฝีมือการเล่นเปียโนของแกรนท์นั้น สำหรับผู้ที่เคยรับบทเป็นโชแปงในเรื่อง Impromptu มาก่อน การมาเล่นเปียโนเพลงป็อปในหนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ส่วนท่าเต้นประหลาดๆ ต่างๆ ของฮิวจ์ แกรนท์ในเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงที่เขาเคยเต้นในเรื่อง Love Actually มาก่อน ไม่มั่นใจว่าได้บทเรื่องนี้จากฉากนั้นเลยหรือเปล่า

ที่แปลกใจก็คือเพลงส่วนใหญ่ที่ฟังในหนังหาได้มาจากฝีมือของคนเพลงจากยุค 80 ไม่ แต่เป็นนาย อดัม ชเลซิงเกอร์ จากวง Fountains of Wayne วงป็อปจากยุค 90 นี้เอง ซึ่งแฟนเพลงน่าจะรู้จักผลงานของเขาในเพลง That Thing You Do! ที่เคยดังในบ้านเราแบบถล่มทลายมาแล้วมากกว่า

อีกจุดเด่นหนึ่งของเรื่องนี้คือมุขตลกอังกฤษๆ ที่ทั้งกัดและแดกดันสไตล์ฮิวจ์ แกรนท์ แม้ว่าเรื่องจะดำเนินในอเมริกาก็ตามที เพราะฉากรักจะยกให้เป็นหน้าที่ของเพลงซะส่วนใหญ่ ไดอะร็อกเรื่องนี้จึงใส่มุกกันเต็มที่ อาจจะไม่ใช้มุกตลกแบบหัวเราะกันหมดท้อง แต่ทำให้คุณ "หึหึ" เกือบทุกนาทีจนจบเรื่อง (ยกเว้นแต่ว่าคุณฟังหรืออ่านซับไตเติ้ลไม่ทัน)

สำหรับ ดรูว์ แบรีมอร์ เรื่องนี้เธอเล่นได้น่ารักอย่างเป็นธรรมชาติมาก เพราะพื้นฐานในการเป็นสาวมั่นของดรูว์กลัวแต่ว่าฮิวจ์จะเอาเธอในฉากไม่อยู่ แต่ทั้งสองก็เข้าขากันเป็นอย่างดี การเจอกันของฮิวจ์ แกรนท์และดรูว์ แบรีมอร์ครั้งนี้จึงเป็นอีกคู่รักในจอคู่หนึ่งที่จะอยู่ในความทรงจำของแฟนหนังโรแมนติก-คอมเมดีไปอีกนาน

ผลงานเรื่องนี้เป็นการกำกับของมาร์ค ลอว์เรนซ์ มือเขียนบทจาก Miss Congeniality ทั้งสองภาค และเคยร่วมงานกับแกรนท์มาแล้วใน Two Weeks Notice นั่นเอง

Music and Lyrics เป็นหนังที่ดูแล้วอยากจะซื้อซีดีเก็บไว้พอๆ กับดีวีดี ในยุคที่เสียงเพลงแสดงออกถึงความเร่งร้อนในสังคมมากเช่นนี้ การฟังเพลงที่ง่ายๆ แต่เข้าถึงหัวใจความสัมพันธ์ของดนตรีและเนื้อร้องอย่างที่นางเอกของเรื่องอย่างโซฟีว่าไว้ในหนัง ก็เป็นการเติมน้ำตาลในหัวใจได้อย่างดีทีเดียว

"ดนตรีที่เพราะก็เป็นเหมือนความรู้สึกประทับใจครั้งแรกที่เรามีต่อใครซักคน แต่มันจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีเนื้อร้องที่เหมาะสม เพราะมันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราเข้าใจตัวตนของคนที่เรารู้จักแล้วอย่างแท้จริง"

กำลังโหลดความคิดเห็น