"หม่ำ จ๊กมก" ยอมรับความสำเร็จของ "บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม" ภาคแรกคือมาตรฐานสำคัญที่ทำให้ภาคสองต้องทำยิ่งใหญ่ขึ้น เจ้าตัวเผยเหตุเลือกเล่าเรื่องย้อนกลับเพราะง่ายกว่าการสร้าภาคต่อ มั่นใจแนวทางหนังที่ขายความสนุกเป็นหลักสามารถตอบสนองความต้องการของคนในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
เตรียมกลับมาสร้างความสนุกสนานกันอีกครั้งสำหรับหนังไทยเรื่อง "บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2" ค่ายสหมงคลฟิล์มฯ โดย "หม่ำ จ๊กมก" ที่รับหน้าที่ทั้งกำกับและเล่นเองเช่นเดิม โดยเจ้าตัวได้เผยถึงเหตุผลที่เลือกจะเล่าเรื่องย้อนหลังไปจากภาคแรกก็เพราะมองแล้วว่าโจทย์ในการทำเป็นหนังในภาคต่อจะมีความยากเกินไปนั่น
"ยากตรงที่ว่าตัวพระเอกกับนางเอกในภาคแรกเขาต้องมาอยู่บ้านหลังเดียวกันแน่เลย เพราะว่าตอนจบของภาคแรกเขาแต่งงานกันแล้ว ถ้าต่อกันมาเรื่องมันจะยุ่งยากไปไหม แล้วมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับคนในสลัมด้วย ยากไปสงสัยว่าต้องหาอย่างอื่นมาคั่นก่อน เพื่อที่จะเอาไว้ไปคิดต่อวันหน้า"
"เราก็เลยมาคิดว่าจริงๆ แล้วเราก็เล่าที่มาของวงศ์คมก่อนได้นี่หว่า ว่าทำไมเขาถึงเก่งมากในภาคนั้น ก็เลยคิดไปว่าที่เขาแก่งก็เพราะเขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษต่อต้านการก่อการร้าย นี่เองที่พอจะเป็นเหตุผลได้ว่าทำไมเขาถึงเก่งพอที่จะมาเป็นบอดี้การ์ดได้ เพราะเขารู้ทางนี้ทีไล่อยู่แล้ว โอเคงั้นเราเล่าเรื่องราวตรงนี้ก่อนดีกว่า เพื่อจะได้มีภาพชัดเจนในภาคต่อไป แต่ถามว่าคิดถึงภาคต่อของภาคแรกไหม ก็มีคิดไว้นะ"
นอกจากทุนสร้างที่สูงถึง 100 ล้านแล้ว ผู้กำกับ-นักแสดงนำยังบอกด้วยว่าหนังเรื่องนี้จะมีความเป็นสากลขึ้นอย่างแน่นอน..."มันเริ่มมาจากไอเดียก่อน มันเป็นโจทย์เป็นตั้งตั้งมาจากภาคแรก คือเรามองดูแล้วว่าภาคแรกแอก็กชั่นมันอาจจะน้อยไป ภาคแรกขาดอะไรไปบ้าง ภาคนี้มันก็น่าจะทำให้ได้ดีกว่าเดิม โปรดักซั่นใหญ่ขึ้นมโหฬารขึ้น ดูดีเป็นสากลขึ้น"
"ก็เลยลองเอาโปรเจ็กท์นี้ไปคุยกับเสี่ย(เจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) เล่าให้เสี่ยฟังว่าประมาณนี้นะเสี่ย เสี่ยหันหน้ามาถามว่าเท่าไหร่ ผมบอก 100 นึง เสี่ยเบิกตาโพลง (ทำท่าเลียนแบบ) มองหน้าผมแป๊ปนึงแล้วก็บอกว่า แล้วแต่มึง...ไปทำมาไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เสี่ยบอกให้ทำก็ทำเลย"
"อย่างแอ็กชั่นมันก็ต้องดูดีกว่าเดิมจะมาเหยาะแหยะไม่ได้แล้ว มุกตลกมันก็ต้องทำให้คนในหมู่กว้างเข้าใจได้ด้วย ฝรั่งขึ้นหน่อย ยุโรปนิดๆ อเมริกันหน่อยๆ เอเชียอย่างมากมาย งงไหม (หัวเราะ) คือมันต้องคิดให้หนัก หนังเรื่องนี้ผมคิดไว้แค่ให้คนแถบเอเชียดูแล้วเข้าใจก็โอเคแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านเราใกล้ๆ ต้องดูรู้เรื่อง แต่ภาคต่อไปผมอาจจะมีมุขแบบที่ทุกคนดูได้ทั่วไปกว้างกว่านี้ก็ได้...ไม่แน่"
เผยความสำเร็จของภาคแรกเป็นตัวผลักดันที่ทำให้ต้องตั้งใจในการทำมากขึ้น..."ภาคแรกมันเป็นตัวบอกอยู่แล้วว่าเราควรทำให้เล็กหรือใหญ่ขึ้น ภาคนี้มันเลยต้องมีอะไรที่น่าสนใจน่าติดตามมากว่าอันแรก เพราะฉะนั้นเราเลยคิดก่อนว่าภาคนี้มันต้องดูแล้วรู้สึกดีกว่าภาคที่หนึ่ง พอเราได้ตรงนี้แล้วเราก็ต้องคิดให้หนักโดยเอาภาคหนึ่งมาเปรียบเทียบ อันไหนที่มันขาดหายไปก็ต้องเอามาใส่ในภาคนี้ "
"อย่างภาคสองเนี่ยเรารู้อยู่แล้วว่าความยิ่งใหญ่มันอยู่ที่ตรงไหน เรามีฉากใหญ่ๆ ที่ตรงไหนบ้าง เราก็ทำเวิร์คชอปมันออกมาดูว่าน่าจะมีอะไรบ้าง พอคิดไปทำมาแล้วโอโห้มันเยอะมาก พอมันเยอะเราก็รู้แล้วว่างบมัน ต้องสูงตามแน่นอน แต่การทำให้หนังมันดูมีอะไรมากขึ้นมีความอลังการมากขึ้น มันก็ทำให้หนังน่าเชื่อถือขึ้นด้วย หน้าหนังมันก็แรงขึ้น แล้วยิ่งเป็นหนังแบบที่ดูแล้วอลังการงานสร้างแล้วได้ฮาด้วยมันก็ยิ่งเป็นบวกเข้าไปใหญ่ นั่นเป็นวิธีคิดของผม"
ขอยึดแนวทางการทำหนังที่สนุกเพราะมั่นใจน่าจะสนองความต้องการของคนในยุคสังคมได้เป็นอย่างดี
"ถ้าคนอยากจะทำหนังที่ทำให้คนดูมีความสุขความบันเทิงก็สามารถคิดทำได้แล้วก็ทำได้ง่ายด้วย แต่ต้องรู้จักที่จะทำให้คนดูรู้สึกชอบไปด้วยได้ สนุกสนานกับภาพยนตร์ของคุณด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ หนังแบบไหนไม่รู้รู้แต่ว่าอยากทำหนังแนวนี้ แต่ไม่เคยถามคนดูว่าเขาอยากดูหนังอะไร บางคนบอกอยากทำหนังแบบนี้ แต่คนดูอาจจะไม่อยากดูก็ได้เพราะทุกวันเขาก็เครียดอยู่แล้ว"
"ทำงานมาเลิก 4 โมงเย็นโดนเจ้านายด่า เครียดมาแล้วทั้งวัน ไปดูหนังแล้วเครียดอีก กลับบ้านไปไม่ตรงเวลาไปเจอเมียอีกเครียดเข้าไปใหญ่อีก หนักกว่าเดิม"