ในบรรดาหนังเพลงจากช่วงทศวรรษนี้ ถ้าจะดูความอลังการให้ดู Moulin Rouge! ถ้าจะดูความเยี่ยมยอดของบทก็ต้อง Chicago
แต่ถ้าลงรายละเอียดไปที่ตัวเพลง โดยเฉพาะด้านการร้องแล้วละก็ Dreamgirls กินขาด 2 เรื่องที่กล่าวมาไม่เห็นฝุ่น

หนังเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงมาจากรูปแบบละครเวที (ผู้ที่ได้ชมแล้วจะเห็นกลิ่นอายของมันตลอดทั้งเรื่อง) ในเนื้อหาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติของวงประเภท "สาว สาว สาว" ที่โด่งดังที่สุดในยุค 60 อันได้แก่ The Supremes ที่มีนักร้องสาวที่แฟนเพลงบ้านเรารู้จักกันดีอย่าง ไดอานา รอส (รับบทโดยบียอนเซ) เป็นตัวชูโรง
อย่างไรก็ดี หลักใหญ่ใจความหลักของเรื่องอยู่ที่สาวอีกคนที่ความสามารถของเธอต้องพ่ายแพ้แก่ความสวยของเพื่อนร่วมวงอย่าง ฟรอเรนซ์ บัลลาร์ด (รับบทโดยสาวไอดอล เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน) อดีตนักร้องรุ่นดังเดิมที่แยกตัวไปของ The Supremes ที่บทสรุปของเธอนั้นน่าเศร้ากว่าในหนังมากมายนัก
สำหรับตัวหนังเอง กว่าจะมีออกมาให้เห็นกันอย่างนี้ถือว่าลำบากลำบนเอาการ เพราะบทละครเวทีชื่อดังเรื่องนี้วางแผนจะนำมาขึ้นจอใหญ่มาตั้งแต่ยุค 80 แล้ว แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการทำให้โปรเจ็คท์นี้ถูกดองมาเกือบ 3 ทศวรรษ จนกระทั้งในยุคปัจจุบันที่หนังเพลงเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นอีกครั้ง ทางค่ายจึงมอบหมายงานนี้ให้กับ บิล คอนดอน เจ้าของผลงานเขียนบทอันโดนเด่นจาก Chicago มารับหน้าที่กำกับผลงานชิ้นนี้
ซึ่งหน้าที่ของคอนดอนอย่างแรกเลยก็คือการดัดแปลงบท ที่เดิมทีทำให้ผู้คนที่สัมผัสผลงานชิ้นนี้ได้เห็นภาพลางๆ ของค่ายเพลงโมทาวน์ในยุคตั้งไข่ กลายเป็นภาพที่ชัดเจนเสียจนเกือบจะกลายเป็นหนังประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ไปเลย โดยเฉพาะการย้ายสถานที่ในท้องเรื่องเดิมจากชิคาโก มาดำเนินเรื่องกันที่เมืองดีทรอยต์ ถิ่นกำเนิดของโมทาวน์กันเลยทีเดียว
จากรายชื่อนักแสดงเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า เป็น "Dreamteam" ของหนังเพลงเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งจริงๆ แล้วกว่าจะได้ชุดนี้มาก็เอาเรื่องไม่ใช่เล่น โดยเฉพาะหนุ่มออสการ์อย่าง เจมี ฟ็อกซ์ นักแสดงคนแรกที่ถูกทาบทามให้มารับบทเป็น เคอร์ติส เทย์เลอร์ ผู้ที่ต่อมาจะได้เป็นเจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในเรื่อง แต่หนุ่มเจมีก็บอกปัดข้อเสนอดังกล่าวเพราะตกลงเรื่องค่าตัวไม่ได้ เช่นเดียวกับนักแสดงผิวหมึกแถวหน้าทั้งแดนเซล วอชิงตัน, วิล สมิธ และเทอร์เรนซ์ ฮาวเวิร์ดที่ปฏิเสธบทนี้กันถ้วนหน้า แต่พอคนดังอย่าง บียอนเซ และ เอ็ดดี เมอร์ฟีย์ ตกปากรับคำร่วมงานดังกล่าว หนุ่มเจมีก็กลับคำหันมาร่วมงานด้วยทันที (ซะงั้น)
แต่บทที่เขี้ยวและหินที่สุดในเรื่องนี้ต้องตกเป็นของ เอฟฟี ตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจมากจาก ฟรอเรนซ์ บัลลาร์ด นักร้องสาวผู้ทรงพลัง ที่มีสาวๆ เข้ามาคัดตัวแสดงถึง 783 ราย ซึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 2 คนสุดท้ายได้แก่ แฟนเทเซีย บาร์ริโน และ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน 2 สาวเสียงทรงพลังจากเวทีอเมริกัน ไอดอล

จำได้ว่าตอนที่ชมอเมริกัน ไอดอลซีซันที่ 3 เมื่อ 3 ปีก่อน รู้สึกอึ้งทึ่งเสียวกับพลังและลีลาการร้องของแฟนเทเซีย บาร์ริโน, ลาโทยา ลอนดอน และเจนนิเฟอร์ ฮัดสัน อย่างมาก รู้สึกเลยว่า 3 คนนี้ใครชนะก็ไม่น่าเกลียด (ทั้ง 3 ได้รับฉายาจากเอลตัน จอห์นกรรมการรับเชิญในปีนั้นว่าเป็น divas แห่งการประกวดในปีนั้น) แต่หลังจากตัดคะแนนกันเอง (และลือกันว่าเป็นการเหยียดผิว) เลยทำให้ฮัดสันตกรอบตั้งแต่ไก่โห่ ปล่อยให้สาวแฟนเทเซียคว้าแชมป์ปีนั้นไปครองได้สำเร็จ จนกลายเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง ออกผลงานมาแล้ว 2 อัลบั้มในทุกวันนี้
แต่ในการคัดเลือกบท เอฟฟี นั้น แม้แฟนเทเซียจะมีดีกรีไอดอลพ่วงท้ายมาด้วย แต่ผู้สร้างก็เลือกที่จะให้โอกาสกับรองแชมป์อย่าง ฮัดสัน มากกว่า ซึ่งเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน
แม้จะได้บทมาแล้ว การบ้านที่เหลืออยู่และไม่ใช่ง่ายๆ สำหรับทั้งฮัดสันและบียอนเซ ซึ่งได้แก่เรื่องของน้ำหนักตัว ขณะที่บียอนเซต้องลดน้ำหนักลงถึง 20 ปอนด์เพื่อให้เหมือนกับดีนา โจนส์ (หรือไดอานา รอส ) ฮัดสันซึ่งอวบระยะสุดท้ายอยู่แล้ว ต้องเพิ่มน้ำหนักอีกถึง 20 ปอนด์เพื่อให้เหมาะกับบท เอฟฟี ไวท์ (หรือฟรอเรนซ์ บัลลาร์ด) ทีเดียว
สำหรับเรื่องการแสดงนั้น การกลับมารับบทในหนังเพลงอีกครั้งของเจมี ฟ็อกซ์ เหมือนกับการฆ่าตัวตายทางการแสดงเลยทีเดียว หลังจากที่เขารับบทตำนานเพลงโซลอย่างเรย์ ชาร์ล จนได้ออสการ์ไปครองเมื่อ 2 ปีก่อน กลับมาครั้งนี้เขาเปลี่ยนบทบาทตัวเองจาก ศิลปินที่ "ขอ" โอกาส มาเป็นนายทุนที่ "ให้" โอกาส (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางตรงกันข้าม) แล้วการเปลี่ยนมารับบทตัวละครที่ผู้ชมไม่ชอบหน้าครั้งนี้ ฟ็อกซ์ ทำได้อย่างเก้ๆ กังๆ ดูไม่เป็นธรรมชาติตลอดทั้งเรื่อง จึงถูกเพื่อนร่วมแสดงทุกคนขโมยซีนจากเขาไปจนหมด
บียอนเซ เล่นเรื่องนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โชว์น้ำเสียงที่สวยตามคาแร็กเตอร์ และมีพลังเมื่อบทต้องการได้อย่างดี อาจเป็นเพราะเธอคุ้นเคยกับบทที่ต้องอยู่ในวง 3 สาว ในฐานะอดีตสมาชิกของวง 3 สาวที่โด่งดังวงล่าสุดที่เพิ่งจะแยกตัวกันไปอย่าง Destiny's Child นั่นเอง

ที่โดดเด่นอย่างไม่น่าเชื่อเห็นจะได้แก่ เอ็ดดี เมอร์ฟีย์ ในบท เจมส์ ธันเดอร์ เออร์ลีย์ นักร้องโซล ฟังกี ผู้ยึดมั่นในสไตล์ตัวเองจนนาทีสุดท้าย ที่เมอร์ฟีย์โชว์น้ำเสียงของเขาเองได้อย่างดีเยี่ยม ไม่นึกเลยว่านักแสดงตลกรุ่นเก๋าผู้นี้จะมีเสียงที่หวานหยดปานน้ำผึ่ง ไม่เสียทีที่มีผลงานเพลงกับเขามาเหมือนกัน
แต่ที่โดดเด้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ต้องยกให้กับ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน กับบทตัวละครอันเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องอย่าง เอฟฟี
เอฟฟี เป็นตัวละครที่เป็นสาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่มีเสียงอันทรงพลัง ถอดแบบมาจาก ฟรอเรนซ์ บัลลาร์ด อดีตวง The Supremes ซึ่งแมรี วิลสัน อดีตเพื่อนร่วมวงของเธอระลึกถึงพลังอันน่าเกรงขามในน้ำเสียงของบัลลาร์ดว่า ระหว่างที่เธอและไดอานา รอสต้องยืนร้องเอาปากแนบไมค์นั้น บัลลาร์ดจำเป็นต้องยืนห่างจากไมค์ถึง 17 ฟุตเพื่อที่ทำให้เสียงที่ออกมากลมกลืนกันเลยทีเดียว
ซึ่งพลังเสียงและสไตล์การร้องที่ถอดแบบมาจากอริธา แฟรงคลินของฮัดสันถือว่าเอาบทนี้ได้อยู่หมัด ทุกๆ เพลงที่เธอร้องเปี่ยมไปด้วยพลัง แม้จะไม่สมบูรณ์พร้อมด้วยเส้นเสียงที่สวยงาม แต่ก็ทำให้ผู้ชมที่ฟังอยู่ในโรงขนลุกไปตามๆ กัน
พูดถึงนักร้องที่มีพลังเสียง และเสียงเพราะพร้อมๆ กัน ทำให้นึกไปถึงเสียงร้องอันหาที่เปรียบไม่ได้ของวิทนีย์ ฮูสตัน* ตอนที่นั่งดูก็ได้แต่นึกไปว่าถ้าได้เสียงของวิทนีย์มาอาจจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้อีก
ในส่วนของความสำเร็จของหนัง ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ ทั้งรายได้บนตารางออฟฟิศที่เกือบร้อยล้านเหรียญแล้ว (ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะหน้าหนังเป็นนักแสดงและนักร้องชื่อดังทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นหนังเพลงก็ตาม) และรางวัลที่กวาดมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะรางวัลหนังเพลงหรือตลกยอดเยี่ยมจากลูกโลกทองคำ และเป็นผลงานที่เข้าชิงออสการ์มากที่สุดประจำปีนี้ที่ 8 สาขาอีกด้วย
แต่ 8 รางวัลบนเวทีออสการ์กลับไม่มีรายชื่อในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแต่อย่างใด

และพอได้ดูแล้วก็เข้าใจว่าเพราะอะไร Dreamgirls อาจจะเป็นหนังเพลงที่ลงตัวที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่ยังขาดองค์ประกอบสำคัญหลายๆ อย่างที่จำเป็นในการเข้าเป็นหนึ่งใน 5 ผู้คว้ารางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ในปีนี้
จุดสนใจบนเวทีออสการ์ของเรื่องนี้จึงอยู่ที่การเป็นตัวเต็งคว้ารางวัลประเภทนักแสดงสมทบชายและหญิงจากเอ็ดดี เมอร์ฟีย์และเจนนิเฟอร์ ฮัดสันแทน
ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นด้วยว่าการแสดงของทั้งสองโดดเด่นกว่าทุกคนในเรื่อง แต่ด้วยตัวละครที่ขาดความลึกที่ทั้งสองคนได้รับ อาจจะไม่เพียงพอที่จะ "ขโมยซีน" ผู้เข้าแข่งขันอีก 4 รายในการเข้าชิงออสการ์ปีนี้ก็เป็นได้
เมอร์ฟีย์ ในบท เจมส์ ธันเดอร์ เออร์ลีย์ นักร้องที่ไม่ยอมแลกอะไรกับสไตล์ดนตรีที่เขารัก ดูจะเป็นบทที่ท้าทายที่สุดของเขาตั้งแต่เล่นหนังมา แต่ด้วยความน้อยของปริมาณฉากที่เขาออก ความแรงตรงนี้อาจจะส่งไปไม่ถึงใจของคณะกรรมการ
ขณะที่เต็งจ๋ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงในปีนี้อย่างฮัดสันยิ่งแล้วใหญ่ เอฟฟี ของเธอนั้นเป็นตัวละครหัวรั้นเสียจนขาดมิติทางอารมณ์สำหรับการแสดงที่ต้องใช้ฝีมืออันยอดเยี่ยมในการถ่ายทอดออกมา
แต่ถ้ามองในมุมของนักแสดงละครเวทีนั้น ฉากหลายๆ ฉากที่เธอมีส่วนร่วมซึ่งเป็นฉากร้องเพลง มีความยาวในการถ่ายทำอย่างมาก คล้ายๆ กับนักแสดงละครเวทีที่ต้องด้นสดครั้งล่ะนานๆ ซึ่งสำหรับนักแสดงมือใหม่ถอดด้ามอย่างฮัดสันที่ต้องเผชิญหน้ากับตัวจริงทั้งแอนนิกา โนนี โรส(เจ้าของรางวัลโทนี) ,เจมมี ฟ็อกซ์ (เจ้าของรางวัลออสการ์) และบียอนเซ (เจ้าของรางวัลแกรมมี) เธอกลับแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในเพลง It's All Over กับซีนที่บีบคั้นอารมณ์ที่สุด ฮัดสันได้มอบทั้งการแสดงและเสียงร้องที่หาที่ติไม่ได้จนกลายเป็นฉากที่น่าจดจำที่สุดของหนังไปโดยปริยาย

ความยอดเยี่ยมของฮัดสันในฐานะผลิตผลของ American Idol (AI) ทำให้ย้อนไปนึกถึงรายการประกวดร้องเพลงที่โด่งดังที่สุดของประเทศไทยอย่าง Academy Fantasia (AF) อย่างช่วยไม่ได้
ยอมรับว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่ติดตามการประกวดซีซั่นแรกของรายการนี้แทบจะทุกอาทิตย์ เพราะชื่นชอบในความสามารถของ 3 ผู้ชนะของปีนั้นทั้งจีน, อ๊อฟ และวิท ถือว่าเป็นเด็กที่มีความสามารถในแนวทางของตนอย่างดี ซึ่งในปีแรกทำออกมาได้อย่างนี้ถือว่าเป็นรายการที่สอบผ่านทีเดียว
แต่ในซีซั่นต่อๆ มา ความคาดหวังที่เกิดกับชุดแรกไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่ควรจะเป็นเลย รายการที่ให้ผู้สมัครขึ้นมาประกวดร้องเพลงทุกสัปดาห์โดยมีกรรมการที่มีความรู้ด้านดนตรีค่อยวิจารณ์ กลับหาคุณภาพของผู้เข้าประกวดแทบไม่เจอมากขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆ แล้วรายการประเภทนี้ จุดประสงค์ในการมีอยู่ของมันก็คือแสวงหาบุคลากรที่วงการเพลงถูกกดไว้ด้วยข้อแม้ทางธุรกิจ โดยใช้ประโยชน์จากการเป็นรายการเรียลิตีที่ผู้คนสนใจ ค้นหานักร้องคุณภาพป้อนตลาดในยุคที่คุณภาพนักร้องในวงการเพลงอยู่ในช่วงวิกฤตทุกวันนี้
แต่สิ่งที่เราได้มาจากรายการนี้มีอะไรบ้าง?
af1 เราได้ นักร้อง(โอเคหลายคน) นักแสดง
af2 เราได้ นักร้อง(โอเคบางคน) นักแสดง พิธีกร
af3 เราได้ นักร้อง(?) พรีเซนเตอร์โฆษณา
af4 ???
ถ้ารายการที่ใช้สื่อสาธารณะและค่าโหวต sms ของประชาชน เพียงเพื่อค้นหาพรีเซนเตอร์หล่อๆ สวยๆ ซักคนสองคน คิดว่าควรถอดการประกวดร้องเพลงในแต่ละอาทิตย์ออกไปเลยดีกว่า เพราะมันจะลำบากใจทั้งคนฟังและผู้สมัครที่จริงๆ อยากจะใช้โอกาสอันนี้ไปทำหน้าที่อย่างอื่นในวงการบันเทิงมากกว่าการเป็นนักร้อง
แต่ถ้าเจตนารมณ์ของผู้จัดที่คิดว่าการร้องเพลงคือวิธีที่ดีที่สุดที่ให้เด็กๆ เหล่านี้ใช้ในการพิสูจน์บุคลิกภาพและการแสดงออกเป็นหลักแล้วละก็ ในฐานะแฟนเพลงคนหนึ่งก็ขอไว้อาลัยกับรายการนี้ไปเลยก็แล้วกัน
-------------------------------------------------------
Dreamgirls ไม่ใช่หนังที่ไม่ควรพลาด แต่เป็นหนังดีที่ใครๆ ก็ดูได้เพราะเนื้อเรื่องเดินตามเหตุการณ์ในชีวิตธรรมดาๆ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟังเพลงจากนักร้องที่มีคุณภาพ เพราะการได้ฟังเสียงร้องที่ยอดเยี่ยมในโรงหนังก็เป็นกำไรชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน
หมายเหตุ* จากข็อมูลที่ได้มา ตามประวัติวิทนีย์ ฮูสตันก็เคยถูกทาบทามให้มาเล่นเป็นตัวเอกใน Dreamgirls มาตั้งแต่ยุค 80 แล้วเหมือนกัน แต่ต้องล้มเลิกโครงการไปซะก่อน เพราะคุณเธอต้องการโชว์เพาว์ด้วยการจะร้องในบทของทั้งเอฟฟีและดีนาไปพร้อมๆ กัน
...ความฝันกับความจริงมันต่างกันอย่างนี้นี่เอง
แต่ถ้าลงรายละเอียดไปที่ตัวเพลง โดยเฉพาะด้านการร้องแล้วละก็ Dreamgirls กินขาด 2 เรื่องที่กล่าวมาไม่เห็นฝุ่น
หนังเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงมาจากรูปแบบละครเวที (ผู้ที่ได้ชมแล้วจะเห็นกลิ่นอายของมันตลอดทั้งเรื่อง) ในเนื้อหาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติของวงประเภท "สาว สาว สาว" ที่โด่งดังที่สุดในยุค 60 อันได้แก่ The Supremes ที่มีนักร้องสาวที่แฟนเพลงบ้านเรารู้จักกันดีอย่าง ไดอานา รอส (รับบทโดยบียอนเซ) เป็นตัวชูโรง
อย่างไรก็ดี หลักใหญ่ใจความหลักของเรื่องอยู่ที่สาวอีกคนที่ความสามารถของเธอต้องพ่ายแพ้แก่ความสวยของเพื่อนร่วมวงอย่าง ฟรอเรนซ์ บัลลาร์ด (รับบทโดยสาวไอดอล เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน) อดีตนักร้องรุ่นดังเดิมที่แยกตัวไปของ The Supremes ที่บทสรุปของเธอนั้นน่าเศร้ากว่าในหนังมากมายนัก
สำหรับตัวหนังเอง กว่าจะมีออกมาให้เห็นกันอย่างนี้ถือว่าลำบากลำบนเอาการ เพราะบทละครเวทีชื่อดังเรื่องนี้วางแผนจะนำมาขึ้นจอใหญ่มาตั้งแต่ยุค 80 แล้ว แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการทำให้โปรเจ็คท์นี้ถูกดองมาเกือบ 3 ทศวรรษ จนกระทั้งในยุคปัจจุบันที่หนังเพลงเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นอีกครั้ง ทางค่ายจึงมอบหมายงานนี้ให้กับ บิล คอนดอน เจ้าของผลงานเขียนบทอันโดนเด่นจาก Chicago มารับหน้าที่กำกับผลงานชิ้นนี้
ซึ่งหน้าที่ของคอนดอนอย่างแรกเลยก็คือการดัดแปลงบท ที่เดิมทีทำให้ผู้คนที่สัมผัสผลงานชิ้นนี้ได้เห็นภาพลางๆ ของค่ายเพลงโมทาวน์ในยุคตั้งไข่ กลายเป็นภาพที่ชัดเจนเสียจนเกือบจะกลายเป็นหนังประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ไปเลย โดยเฉพาะการย้ายสถานที่ในท้องเรื่องเดิมจากชิคาโก มาดำเนินเรื่องกันที่เมืองดีทรอยต์ ถิ่นกำเนิดของโมทาวน์กันเลยทีเดียว
จากรายชื่อนักแสดงเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า เป็น "Dreamteam" ของหนังเพลงเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งจริงๆ แล้วกว่าจะได้ชุดนี้มาก็เอาเรื่องไม่ใช่เล่น โดยเฉพาะหนุ่มออสการ์อย่าง เจมี ฟ็อกซ์ นักแสดงคนแรกที่ถูกทาบทามให้มารับบทเป็น เคอร์ติส เทย์เลอร์ ผู้ที่ต่อมาจะได้เป็นเจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในเรื่อง แต่หนุ่มเจมีก็บอกปัดข้อเสนอดังกล่าวเพราะตกลงเรื่องค่าตัวไม่ได้ เช่นเดียวกับนักแสดงผิวหมึกแถวหน้าทั้งแดนเซล วอชิงตัน, วิล สมิธ และเทอร์เรนซ์ ฮาวเวิร์ดที่ปฏิเสธบทนี้กันถ้วนหน้า แต่พอคนดังอย่าง บียอนเซ และ เอ็ดดี เมอร์ฟีย์ ตกปากรับคำร่วมงานดังกล่าว หนุ่มเจมีก็กลับคำหันมาร่วมงานด้วยทันที (ซะงั้น)
แต่บทที่เขี้ยวและหินที่สุดในเรื่องนี้ต้องตกเป็นของ เอฟฟี ตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจมากจาก ฟรอเรนซ์ บัลลาร์ด นักร้องสาวผู้ทรงพลัง ที่มีสาวๆ เข้ามาคัดตัวแสดงถึง 783 ราย ซึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 2 คนสุดท้ายได้แก่ แฟนเทเซีย บาร์ริโน และ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน 2 สาวเสียงทรงพลังจากเวทีอเมริกัน ไอดอล
จำได้ว่าตอนที่ชมอเมริกัน ไอดอลซีซันที่ 3 เมื่อ 3 ปีก่อน รู้สึกอึ้งทึ่งเสียวกับพลังและลีลาการร้องของแฟนเทเซีย บาร์ริโน, ลาโทยา ลอนดอน และเจนนิเฟอร์ ฮัดสัน อย่างมาก รู้สึกเลยว่า 3 คนนี้ใครชนะก็ไม่น่าเกลียด (ทั้ง 3 ได้รับฉายาจากเอลตัน จอห์นกรรมการรับเชิญในปีนั้นว่าเป็น divas แห่งการประกวดในปีนั้น) แต่หลังจากตัดคะแนนกันเอง (และลือกันว่าเป็นการเหยียดผิว) เลยทำให้ฮัดสันตกรอบตั้งแต่ไก่โห่ ปล่อยให้สาวแฟนเทเซียคว้าแชมป์ปีนั้นไปครองได้สำเร็จ จนกลายเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง ออกผลงานมาแล้ว 2 อัลบั้มในทุกวันนี้
แต่ในการคัดเลือกบท เอฟฟี นั้น แม้แฟนเทเซียจะมีดีกรีไอดอลพ่วงท้ายมาด้วย แต่ผู้สร้างก็เลือกที่จะให้โอกาสกับรองแชมป์อย่าง ฮัดสัน มากกว่า ซึ่งเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน
แม้จะได้บทมาแล้ว การบ้านที่เหลืออยู่และไม่ใช่ง่ายๆ สำหรับทั้งฮัดสันและบียอนเซ ซึ่งได้แก่เรื่องของน้ำหนักตัว ขณะที่บียอนเซต้องลดน้ำหนักลงถึง 20 ปอนด์เพื่อให้เหมือนกับดีนา โจนส์ (หรือไดอานา รอส ) ฮัดสันซึ่งอวบระยะสุดท้ายอยู่แล้ว ต้องเพิ่มน้ำหนักอีกถึง 20 ปอนด์เพื่อให้เหมาะกับบท เอฟฟี ไวท์ (หรือฟรอเรนซ์ บัลลาร์ด) ทีเดียว
สำหรับเรื่องการแสดงนั้น การกลับมารับบทในหนังเพลงอีกครั้งของเจมี ฟ็อกซ์ เหมือนกับการฆ่าตัวตายทางการแสดงเลยทีเดียว หลังจากที่เขารับบทตำนานเพลงโซลอย่างเรย์ ชาร์ล จนได้ออสการ์ไปครองเมื่อ 2 ปีก่อน กลับมาครั้งนี้เขาเปลี่ยนบทบาทตัวเองจาก ศิลปินที่ "ขอ" โอกาส มาเป็นนายทุนที่ "ให้" โอกาส (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางตรงกันข้าม) แล้วการเปลี่ยนมารับบทตัวละครที่ผู้ชมไม่ชอบหน้าครั้งนี้ ฟ็อกซ์ ทำได้อย่างเก้ๆ กังๆ ดูไม่เป็นธรรมชาติตลอดทั้งเรื่อง จึงถูกเพื่อนร่วมแสดงทุกคนขโมยซีนจากเขาไปจนหมด
บียอนเซ เล่นเรื่องนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โชว์น้ำเสียงที่สวยตามคาแร็กเตอร์ และมีพลังเมื่อบทต้องการได้อย่างดี อาจเป็นเพราะเธอคุ้นเคยกับบทที่ต้องอยู่ในวง 3 สาว ในฐานะอดีตสมาชิกของวง 3 สาวที่โด่งดังวงล่าสุดที่เพิ่งจะแยกตัวกันไปอย่าง Destiny's Child นั่นเอง
ที่โดดเด่นอย่างไม่น่าเชื่อเห็นจะได้แก่ เอ็ดดี เมอร์ฟีย์ ในบท เจมส์ ธันเดอร์ เออร์ลีย์ นักร้องโซล ฟังกี ผู้ยึดมั่นในสไตล์ตัวเองจนนาทีสุดท้าย ที่เมอร์ฟีย์โชว์น้ำเสียงของเขาเองได้อย่างดีเยี่ยม ไม่นึกเลยว่านักแสดงตลกรุ่นเก๋าผู้นี้จะมีเสียงที่หวานหยดปานน้ำผึ่ง ไม่เสียทีที่มีผลงานเพลงกับเขามาเหมือนกัน
แต่ที่โดดเด้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ต้องยกให้กับ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน กับบทตัวละครอันเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องอย่าง เอฟฟี
เอฟฟี เป็นตัวละครที่เป็นสาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่มีเสียงอันทรงพลัง ถอดแบบมาจาก ฟรอเรนซ์ บัลลาร์ด อดีตวง The Supremes ซึ่งแมรี วิลสัน อดีตเพื่อนร่วมวงของเธอระลึกถึงพลังอันน่าเกรงขามในน้ำเสียงของบัลลาร์ดว่า ระหว่างที่เธอและไดอานา รอสต้องยืนร้องเอาปากแนบไมค์นั้น บัลลาร์ดจำเป็นต้องยืนห่างจากไมค์ถึง 17 ฟุตเพื่อที่ทำให้เสียงที่ออกมากลมกลืนกันเลยทีเดียว
ซึ่งพลังเสียงและสไตล์การร้องที่ถอดแบบมาจากอริธา แฟรงคลินของฮัดสันถือว่าเอาบทนี้ได้อยู่หมัด ทุกๆ เพลงที่เธอร้องเปี่ยมไปด้วยพลัง แม้จะไม่สมบูรณ์พร้อมด้วยเส้นเสียงที่สวยงาม แต่ก็ทำให้ผู้ชมที่ฟังอยู่ในโรงขนลุกไปตามๆ กัน
พูดถึงนักร้องที่มีพลังเสียง และเสียงเพราะพร้อมๆ กัน ทำให้นึกไปถึงเสียงร้องอันหาที่เปรียบไม่ได้ของวิทนีย์ ฮูสตัน* ตอนที่นั่งดูก็ได้แต่นึกไปว่าถ้าได้เสียงของวิทนีย์มาอาจจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้อีก
ในส่วนของความสำเร็จของหนัง ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ ทั้งรายได้บนตารางออฟฟิศที่เกือบร้อยล้านเหรียญแล้ว (ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะหน้าหนังเป็นนักแสดงและนักร้องชื่อดังทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นหนังเพลงก็ตาม) และรางวัลที่กวาดมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะรางวัลหนังเพลงหรือตลกยอดเยี่ยมจากลูกโลกทองคำ และเป็นผลงานที่เข้าชิงออสการ์มากที่สุดประจำปีนี้ที่ 8 สาขาอีกด้วย
แต่ 8 รางวัลบนเวทีออสการ์กลับไม่มีรายชื่อในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแต่อย่างใด
และพอได้ดูแล้วก็เข้าใจว่าเพราะอะไร Dreamgirls อาจจะเป็นหนังเพลงที่ลงตัวที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่ยังขาดองค์ประกอบสำคัญหลายๆ อย่างที่จำเป็นในการเข้าเป็นหนึ่งใน 5 ผู้คว้ารางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ในปีนี้
จุดสนใจบนเวทีออสการ์ของเรื่องนี้จึงอยู่ที่การเป็นตัวเต็งคว้ารางวัลประเภทนักแสดงสมทบชายและหญิงจากเอ็ดดี เมอร์ฟีย์และเจนนิเฟอร์ ฮัดสันแทน
ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นด้วยว่าการแสดงของทั้งสองโดดเด่นกว่าทุกคนในเรื่อง แต่ด้วยตัวละครที่ขาดความลึกที่ทั้งสองคนได้รับ อาจจะไม่เพียงพอที่จะ "ขโมยซีน" ผู้เข้าแข่งขันอีก 4 รายในการเข้าชิงออสการ์ปีนี้ก็เป็นได้
เมอร์ฟีย์ ในบท เจมส์ ธันเดอร์ เออร์ลีย์ นักร้องที่ไม่ยอมแลกอะไรกับสไตล์ดนตรีที่เขารัก ดูจะเป็นบทที่ท้าทายที่สุดของเขาตั้งแต่เล่นหนังมา แต่ด้วยความน้อยของปริมาณฉากที่เขาออก ความแรงตรงนี้อาจจะส่งไปไม่ถึงใจของคณะกรรมการ
ขณะที่เต็งจ๋ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงในปีนี้อย่างฮัดสันยิ่งแล้วใหญ่ เอฟฟี ของเธอนั้นเป็นตัวละครหัวรั้นเสียจนขาดมิติทางอารมณ์สำหรับการแสดงที่ต้องใช้ฝีมืออันยอดเยี่ยมในการถ่ายทอดออกมา
แต่ถ้ามองในมุมของนักแสดงละครเวทีนั้น ฉากหลายๆ ฉากที่เธอมีส่วนร่วมซึ่งเป็นฉากร้องเพลง มีความยาวในการถ่ายทำอย่างมาก คล้ายๆ กับนักแสดงละครเวทีที่ต้องด้นสดครั้งล่ะนานๆ ซึ่งสำหรับนักแสดงมือใหม่ถอดด้ามอย่างฮัดสันที่ต้องเผชิญหน้ากับตัวจริงทั้งแอนนิกา โนนี โรส(เจ้าของรางวัลโทนี) ,เจมมี ฟ็อกซ์ (เจ้าของรางวัลออสการ์) และบียอนเซ (เจ้าของรางวัลแกรมมี) เธอกลับแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในเพลง It's All Over กับซีนที่บีบคั้นอารมณ์ที่สุด ฮัดสันได้มอบทั้งการแสดงและเสียงร้องที่หาที่ติไม่ได้จนกลายเป็นฉากที่น่าจดจำที่สุดของหนังไปโดยปริยาย
ความยอดเยี่ยมของฮัดสันในฐานะผลิตผลของ American Idol (AI) ทำให้ย้อนไปนึกถึงรายการประกวดร้องเพลงที่โด่งดังที่สุดของประเทศไทยอย่าง Academy Fantasia (AF) อย่างช่วยไม่ได้
ยอมรับว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่ติดตามการประกวดซีซั่นแรกของรายการนี้แทบจะทุกอาทิตย์ เพราะชื่นชอบในความสามารถของ 3 ผู้ชนะของปีนั้นทั้งจีน, อ๊อฟ และวิท ถือว่าเป็นเด็กที่มีความสามารถในแนวทางของตนอย่างดี ซึ่งในปีแรกทำออกมาได้อย่างนี้ถือว่าเป็นรายการที่สอบผ่านทีเดียว
แต่ในซีซั่นต่อๆ มา ความคาดหวังที่เกิดกับชุดแรกไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่ควรจะเป็นเลย รายการที่ให้ผู้สมัครขึ้นมาประกวดร้องเพลงทุกสัปดาห์โดยมีกรรมการที่มีความรู้ด้านดนตรีค่อยวิจารณ์ กลับหาคุณภาพของผู้เข้าประกวดแทบไม่เจอมากขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆ แล้วรายการประเภทนี้ จุดประสงค์ในการมีอยู่ของมันก็คือแสวงหาบุคลากรที่วงการเพลงถูกกดไว้ด้วยข้อแม้ทางธุรกิจ โดยใช้ประโยชน์จากการเป็นรายการเรียลิตีที่ผู้คนสนใจ ค้นหานักร้องคุณภาพป้อนตลาดในยุคที่คุณภาพนักร้องในวงการเพลงอยู่ในช่วงวิกฤตทุกวันนี้
แต่สิ่งที่เราได้มาจากรายการนี้มีอะไรบ้าง?
af1 เราได้ นักร้อง(โอเคหลายคน) นักแสดง
af2 เราได้ นักร้อง(โอเคบางคน) นักแสดง พิธีกร
af3 เราได้ นักร้อง(?) พรีเซนเตอร์โฆษณา
af4 ???
ถ้ารายการที่ใช้สื่อสาธารณะและค่าโหวต sms ของประชาชน เพียงเพื่อค้นหาพรีเซนเตอร์หล่อๆ สวยๆ ซักคนสองคน คิดว่าควรถอดการประกวดร้องเพลงในแต่ละอาทิตย์ออกไปเลยดีกว่า เพราะมันจะลำบากใจทั้งคนฟังและผู้สมัครที่จริงๆ อยากจะใช้โอกาสอันนี้ไปทำหน้าที่อย่างอื่นในวงการบันเทิงมากกว่าการเป็นนักร้อง
แต่ถ้าเจตนารมณ์ของผู้จัดที่คิดว่าการร้องเพลงคือวิธีที่ดีที่สุดที่ให้เด็กๆ เหล่านี้ใช้ในการพิสูจน์บุคลิกภาพและการแสดงออกเป็นหลักแล้วละก็ ในฐานะแฟนเพลงคนหนึ่งก็ขอไว้อาลัยกับรายการนี้ไปเลยก็แล้วกัน
-------------------------------------------------------
Dreamgirls ไม่ใช่หนังที่ไม่ควรพลาด แต่เป็นหนังดีที่ใครๆ ก็ดูได้เพราะเนื้อเรื่องเดินตามเหตุการณ์ในชีวิตธรรมดาๆ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟังเพลงจากนักร้องที่มีคุณภาพ เพราะการได้ฟังเสียงร้องที่ยอดเยี่ยมในโรงหนังก็เป็นกำไรชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน
หมายเหตุ* จากข็อมูลที่ได้มา ตามประวัติวิทนีย์ ฮูสตันก็เคยถูกทาบทามให้มาเล่นเป็นตัวเอกใน Dreamgirls มาตั้งแต่ยุค 80 แล้วเหมือนกัน แต่ต้องล้มเลิกโครงการไปซะก่อน เพราะคุณเธอต้องการโชว์เพาว์ด้วยการจะร้องในบทของทั้งเอฟฟีและดีนาไปพร้อมๆ กัน
...ความฝันกับความจริงมันต่างกันอย่างนี้นี่เอง