xs
xsm
sm
md
lg

The Pursuit Of Happyness : ชีวิตที่เลือกได้ แม้ในยามอับจน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"คริส การ์ดเนอร์"เฝ้ามองลูกชายตัวน้อย โยนลูกบาสเกตบอลขึ้นไปบนอากาศลูกแล้ว ลูกเล่า ถึงแม้ว่าจะไม่มีลูกไหนใกล้เคียงกับแป้นห่วงด้านบนเลยก็ตาม นัยสายตาของผู้เป็นลูกก็ยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ แต่กับสายตาของผู้เป็นพ่อ เขาไม่เคยมองเห็นว่าลูกชายตัวน้อยของเขาจะสามารถเข้าไปใกล้คำว่า "นักกีฬาบาสเกตบอลมืออาชีพ" ดั่งที่ฝ่ายลูกชายมุ่งหวังได้เลย

"คริส"ปาดเหงื่อที่หน้าผาก แววตาครุ่นคิด ก้มลงมองหน้าของลูกชายนิ่งๆ แล้วกล่าวขึ้นกับผู้เป็นเลือดเนื้อหนึ่งเดียวของเขาว่า "ฟังนะ คริสโตเฟอร์ อย่าปล่อยให้ใครมาบอกว่าลูกทำไม่ได้ แม้กระทั่งตัวพ่อเอง หากลูกมีความฝัน จงปกป้องมัน เมื่อลูกปรารถนาสิ่งใด จงออกไปไขว่คว้ามันมาให้ได้" หนุ่มน้อยนิ่งฟัง แม้ว่าด้วยวัยเพียง 5 ขวบอาจจะทำให้เขาไม่สามารถรับรู้ในสารดังกล่าวของผู้ให้กำเนิดได้อย่างเต็มที่ก็ตามที

บางทีแล้ว ประโยคดังกล่าวนั้น นอกจาก "คริส" ตั้งใจจะบอกกล่าวกับลูกชายอันเป็นที่รักแล้ว ชายผู้กำลังล้มเหลวที่กำลังจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อว่าทำได้อย่างเขา ก็อาจจะกล่าวขึ้นเพื่อเตือนสติตัวเองด้วยก็เป็นได้

"คริส การ์เนอร์"ก็คงเหมือนคนที่ประสบความล้มเหลวทั่วๆไป ที่โอกาสและการตัดสินใจทำให้เขากลายสภาพมาเป็นพนักงานขายเต็มขั้น ในแต่ละวันเขาต้องแบกอุปกรณ์การแพทย์น้ำหนักหลายกิโลรูปร่างใหญ่เทอะทะ เพื่อตระเวนไปเสนอขายตามโรงพยาบาล และเช่นเดียวกับเซลล์แมนทั่วไป ที่จะต้องถูกดูแคลนเชิงปฏิเสธในแรกพบ และเนื่องด้วยสิ่งที่เขาขาย เป็นอุปกรณ์ล้าสมัยที่โรงพยาบาลหลายแห่งไม่ต้องการ วิธีการทำงานของเขาจึงยิ่งเพิ่มความยากเป็นหลายเท่าทวีคูณ
 

นอกจากนั้นแล้ว เขายังเหมือนคนที่ประสบปัญหาชีวิตทั้งเรื่องการเงินทั่วไป ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน จำต้องผัดผ่อนไปหลายเดือน รายได้ที่พอจะหาเข้าสู่ตัวได้จำต้องเจียดไปให้กับค่าสถานรับเลี้ยงเด็ก และด้วยเหตุผลทางการเงินที่ฝืดเคืองยังผลให้เขากลายเป็นเช่นคนที่ประสบปัญหาครอบครัวทั่วไป ภรรยาของเขาต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ควบสองกะ เพื่อทำรายได้เข้าครอบครัวให้มากที่สุด เขาเริ่มมีปากเสียงกับภรรยาบ่อยขึ้น รอยร้าวเริ่มแผ่ขยายเป็นร่องมากขึ้น ท้ายที่สุด ก็นำมาซึ่งการเลิกรา
 
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ "คริส การ์ดเนอร์" ต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไป คือ "เขาเชื่อในสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อ" และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา
 

ในช่วงเวลาที่ชีวิตมืดมน "คริส"มองเห็นแสงสว่างเรืองรองมาจากใบหน้าของผู้คนที่เดินอยู่แถวๆ หน้าบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง และเมื่อเขาเอ่ยถามถึงอาชีพของชายใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งขับรถสปอร์ตโก้หรูมาเทียบด้านหน้าอาคารแห่งนั้น คำตอบที่ได้รับก็กลายเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของ "คริส"ทันที

อาจจะดูเป็นความคิดตื้นๆ ในการเลือกอนาคตของ "คริส"แต่เขาก็ขุดเจาะระบบร่องตื้นให้กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ด้วยความมุ่งมั่น ในวินาทีที่ชีวิตอับจนสิ้นไร้หนทาง จะมีสักกี่คนที่กล้าจะปักธงแล้วมุ่งหน้าไปอย่างที่เขาทำ
 
 ขายของไม่ได้มิหนำซ้ำของที่เขาแบกไปขายยังถูกขโมย ทะเลาะกับภรรยาจนเธอขอแยกทาง ปัญหาหนี้สินรุมเร้าจนไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าห้อง ลงเอยที่สองพ่อลูกต้องกลายเป็นคนไร้ที่ซุกหัวนอน ปัญหาใหญ่ในสายตาทุกคนเหล่านี้ไม่ใช่ตัวขวางกั้นให้ "คริส" เดินหน้าไปหาธงที่ปักเอาไว้แต่อย่างใด

"วิล สมิธ"กับบท "คริส การ์เนอร์" ทั้งโดดเด่น ทั้งกลมกลืน ไม่น่าแปลกที่เขาจะถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงนำฝ่ายชาย ตลอดทั้งเรื่อง "วิล สมิธ" ถอดคราบของตำรวจหนุ่มบ้าระห่ำ, ชายในสูทสีดำผู้ปราบมนุษย์ต่างดาว, ทหารหนุ่มผู้ขับยานออกไปต่อกรกับสัตว์ประหลาดนอกโลก ฯลฯ ทิ้งไว้เบื้องหลัง แล้วหันมาสวมชุดเซลล์แมนหนุ่มผิวสี ที่ตกอับในชีวิตสุดๆ ทั้งโทรม ทั้งเคร่งเครียดจริงจัง ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกจรดลึกไปถึงแววตาที่แสดงออกมา ยิ่งเขาได้มาแสดงร่วมกับ "จาเดน คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ" บุตรชายแท้ๆ ในชีวิตจริงของเขาด้วยแล้ว การรับส่งในส่วนของสายสัมพันธ์ ยิ่งมีพลังสูงพอที่จะทำให้คนดูเชื่อและเอาใจช่วยกันได้ไม่ยาก
 
นอกจากนี้ ยังมี "เทนดี้ นิวตัน" ที่มารับบท"ลินดา" ภรรยาของ "คริส" ในเรื่อง ก็แสดงได้ดีมาก ทั้งลักษณะภายนอก (ที่เธอสามารถโทรมได้โดยง่ายอยู่แล้ว) ตลอดไปถึงสีหน้าและแววตายามที่เข้าประชันกันกับ "วิล สมิธ" ในเรื่อง ต้องบอกว่าแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เธอปรากฏตัวบนฉาก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความทรงพลังแผ่ออกมาจนผู้ชมรู้สึกได้

นักแสดงนำทั้งสาม ทำหน้าที่ดำเนินเรื่องได้อย่างลื่นไหลไร้ข้อกังขา "วิล สมิธ"สามารถแจ้งเกิดเป็นดาราดราม่าได้เต็มตัว โดยเฉพาะฉากที่เขาจำต้องพาลูกชายเข้าไปในนอนในห้องน้ำสาธารณะที่สถานีรถไฟ น้ำตาหยาดนั้นที่รินไหล ตอบทุกคำถามที่มีแก่ชีวิตตัวเองและลูกชายที่นอนหนุนอยู่ที่ตักได้เป็นอย่างดี

ถึงแม้เรื่องราวจะตกอับอาภัพเพียงใด แต่ในยามที่วิกฤตตกตะกอน ความสุขก็จะมาเยือน หนังสามารถแทรกแฝงมุขตลกเรียกรอยยิ้มเล็กๆ ระหว่างเรื่องได้ดี ลดทอนความเศร้าและคลายความตึงเครียดของสถานการณ์ได้เรื่อยๆ อย่างน้อยที่สุดสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกที่เกี่ยวโยงกันมากกว่ามือที่ยื่นมาเกาะนั้น ก็คงทำให้หลายต่อหลายคนอมยิ้มทั้งน้ำตาได้

แทบจะไม่มีใครเชื่อว่า ชายผู้ไม่เคยมีสถานะใดๆ ทางสังคมเลย ไม่เคยศึกษามาทางด้านเกี่ยวกับการเงิน การตลาด แถมยังแทบจะไม่มีที่ซุกหัวนอนยามอยู่ในช่วงอบรมเพื่อคัดเลือกขึ้นมาเป็น "โบรคเกอร์" อย่าง "คริส" จะก้าวผ่านคนกว่าสามร้อยคน ขึ้นมาทำอาชีพนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย เพียงเพราะว่าชายผู้นี้เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อ และทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำ
 
ไม่มีที่นอนเมื่อยามเวลาพักผ่อนมาถึง จนต้องพาลูกชายเข้าไปซุกกายอยู่ในห้องน้ำสาธารณะ, แบกอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ขายไม่ออกกลับมาห้องพัก แล้วพบว่าข้าวของสัมภาระทั้งหมดของตนถูกขนย้ายมาไว้นอกห้อง, มีเงินติดกระเป๋าเพียงหนึ่งดอลล่าร์ จนกระทั่งภรรยาผู้เป็นที่รักจำจากเขาไป ลองคิดดู ถ้าเราต้องพบเจอฉากชีวิตอย่าง "คริส การ์เนอร์" ไม่ต้องทุกฉากหรอก เพียงแค่ฉากใดฉากหนึ่ง เราก็ก้าวเดินต่อไปไม่เป็นแล้ว

หลายคนอาจบอกว่า อย่าไปใส่ใจอะไรมาก นี่เป็นเพียงแค่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเท่านั้น ก็อาจจริงอย่างที่เขากล่าว แต่ถ้าคุณรู้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของชายที่มีตัวตนอยู่จริง คุณจะว่าอย่างไร ในบทภาพยนตร์อาจจะมีหลายฉากที่เสริมเพิ่มเข้าไปเพื่อให้เรื่องราวน่าสนใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว โดยแก่นที่เกิดขึ้น มันก็คือเรื่องราวการต่อสู้จากศูนย์ของชายที่ชื่อว่า "คริส การ์ดเนอร์" อยู่ดี

ถึงเวลาที่จะเลือกแล้วว่า เราจะเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ที่ยกมือยอมแพ้ก่อนความสำเร็จจะมาเยือน หรือจะเป็นอย่าง "คริส การ์เนอร์"ที่ไม่ว่าจะพานพบอุปสรรคมากเท่าไรก็ยังจะลุกขึ้นมาใหม่ เราจะยอมให้คำปรามาสของคนอื่น มาทำให้เราหยุดเดิน หรือจะเลือกฟังเสียงข้างในจิตใจ แล้วมุ่งไปหาธงที่ปักเอาไว้เบื้องหน้า เลือกเอา เพราะชีวิตของเรา เรามีสิทธ์ที่จะเลือกเสมอ







กำลังโหลดความคิดเห็น