xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ "เบนจามิน" บนเส้นทาง "ซิลลี่ฟูลส์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพราะความ "สำเร็จ" และการเป็นเสมือนกับ "สัญลักษณ์" หนึ่งในความเป็น "ซิลลี่ฟูลส์" หนึ่งในวงดนตรีแถวหน้าของบ้านเรา เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดหากการจากไปชนิดที่ไม่ค่อยสวยนักในเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมวงของนักร้องนำ "โต ณัฐพล พุทธภาวนา" จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครหลายคนสนใจต่อการมาของสมาชิกใหม่อย่าง "เบน จามิน จุง ทัฟแนล" มากเป็นพิเศษ

เป็นพิเศษที่ไม่ใช่เฉพาะกระแสข่าวที่เกิดขึ้น หรือความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องส่วนตัวว่าเขาคนนี้เป็นใครเท่านั้น หากแต่มีเรื่องของการเปรียบเทียบและคาดหวังเข้ามาเกี่ยวข้อง

ภายใต้ความรู้สึกที่ว่าและการก้าวเดินไปบนเส้นทางสายซิลลี่ฟูลส์นี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยว่าหนุ่มลูกครึ่งเกาหลี - อเมริกันคนนี้จะก้าวผ่านมันพ้นไปได้อย่างไร?

นักร้องนำคนใหม่ของซิลลี่ฟูลส์บอกว่าตนเองเป็นคนที่มีนิสัยขี้อายมากๆ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปสัก 3 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักร้องอาชีพอย่างเต็มตัวเขาก็คือคนทำงานออฟฟิศและครูสอนภาษาธรรมดาคนหนึ่ง
"ผมอยู่เมืองไทยมาปีนี้ก็เป็นปีที่สิบแล้วครับ ก่อนหน้านี้ผมก็อยู่ที่อเมริกา คืออยู่ที่อเมริกามาตั้งแต่เกิดเลย แล้วพอดีตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกานะครับ ทางมหาวิทยาลัยผมมีโครงการแลกเปลี่ยนกับทางมหาวิทยาลัยเอแบคที่กรุงเทพ พอเรียนจบแล้ว เขามีรับสมัครเป็นอาจารย์สอนภาษาที่เอแบค ผมก็เลยเข้าโครงการนี้ และได้มีโอกาสไปสอนอยู่ที่โรงเรียนทางจังหวัดระยอง"

"เรื่องดนตรีนี่ ผมเริ่มเรียนไวโอลินมาตั้งแต่หกขวบแล้วครับ ส่วนตอนสมัยเด็กๆ ก็มีร้องเพลงในโบสถ์อะไรอย่างนั้น แต่มันจะออกเป็นอีกลักษณะหนึ่ง คือเป็นการคอรัส แบบที่ร้องกันตามโบสถ์ แต่พื้นฐานดนตรีจริงๆ ก็มาจากตรงนี้แหล่ะครับ มาจากไวโอลิน การร้องเพลงตามโบสถ์เป็นส่วนใหญ่"

เมื่อถามถึงพ่อสื่อที่เป็นคนชักพาให้เขารู้จักกับซิลลี่ฟูลส์ ”เบน”เผยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวงดนตรีชื่อดัง "แบล็คเฮด" นั้น เกิดจากการแนะนำของเพื่อน แล้วเจอกันบ่อยขึ้นตอนไปเล่นดนตรีกลางคืน จนกระทั่งเขาตัดสินใจทำอัลบั้มของตัวเองขึ้นมาก็ยังได้ชวน "เอก แบล็คเฮด" มาร่วมแจมด้วย..."พอดีมีเพื่อนแนะนำให้รู้จักครับ แล้วก็มีเจอกันบ้าง ตามผับ แล้วพอผมเริ่มทำอัลบั้มของตัวเอง ผมก็ให้ทางคุณเอก แบล็คเฮดมาเล่นกีตาร์ให้ ก็เลยสนิทกันมากขึ้น"

"อัลบั้มที่ผมทำตอนนั้น สไตล์ที่ออกมาก็ต่างจาก ซิลลี่ฟูลส์ในระดับหนึ่ง ออกจะแรงกว่านิดนึง มันจะออกมาในสไตล์ของทางยุโรปมากกว่า ผมทำด้วยทุนตัวเอง ก็ทำกับเพื่อน จริงๆ ก็ทำเพื่อวางขาย แต่เป็นไปในลักษณะจัดจำหน่ายเอง ไม่ได้มีสังกัดค่าย ตอนนั้นคิดว่าถ้ามีค่ายสนใจค่อยว่ากัน"

ส่วนการเข้ามาร่วมงานกับซิลลี่ฟูลส์นั้น เบนบอกว่าเป็นการใช้เวลาการตัดสินใจที่ไม่นานเลย..."ประมาณสองวันเอง ตอนเจอกันครั้งแรก พวกเขาก็ฟังเสียงผมที่อยู่ในอัลบั้มของผม แล้วพวกเขาก็ชอบเนื้อเสียง ตั้งแต่วันนั้นเลย ผมก็ต้องไปเคลียร์กับทางวงเก่านิดหน่อยว่า จะเข้ามาเป็นนักร้องของซิลลี่ฟูลส์นี่...พวกเขา(ซิลลี่ ฟูลส์)บอกว่าก็แค่ฟังเสียง แล้วเขารู้สึกว่าใช่ แล้วพอมาเจอกันก็พูดคุยกันรู้เรื่อง เหมือนรู้จักกันมานาน แล้วนิสัยก็คล้ายๆ กัน เข้ากันได้ดีด้วยครับ"

เรื่องเสียงร้องที่มีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าคล้ายคลึงกับนักร้องดังๆ ทางฝั่งตะวันตกหลายคนนั้น "เบน" ยืนยันว่าตัวเองร้องออกมาตามธรรมชาติ ไม่ได้ตั้งใจจะไปลอกเลียนใครทั้งสิ้น
"ผมก็ร้องไปตามธรรมชาตินะครับ คือเนื้อเสียงมันก็อาจจะคล้ายกันนะครับ ซึ่งมันมีหลายวงเหมือนกัน ถ้าจะว่าไปแล้ว ที่นักร้องนำเสียงคล้ายๆ กับเสียงของผม เรื่องเนื้อเสียงนะครับ แต่ว่าผมก็ไม่ได้ไปลอกเขา ร้องแล้วมันออกมาอย่างนั้นเอง ผมไม่ได้ตั้งใจให้เสียงเหมือน เพราะจริงๆ มันก็ไม่ได้เหมือนเสียทีเดียว มันก็มีความแตกต่างอยู่"

รับรู้ถึงการเปรียบเทียบกับนักร้องคนเก่าที่จะเข้ามา แต่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่กดดัน..."ไม่รู้สึกกดดันนะครับ เพราะว่าทางวงเขาก็ไม่ได้ให้ผมมาเป็นเหมือนคนเก่า ผมก็ร้องออกมาของผม ผมก็ไม่ได้คิดที่จะมาแทนที่ใคร ผมก็รู้จักว่าตัวตนของผมเป็นใคร และผมก็ต้องการที่จะร้องแบบนี้ ไม่ได้ต้องการที่จะร้องเลียนแบบใครด้วย ก็เหมือนกับกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกรอบ"

"คือสามคนนี้เขาดีตรงที่ว่า พอรับผมมาก็เปิดรับเลย ไม่มีการวางท่า ไม่มีลักษณะรับน้องใหม่ ไม่มีอะไรแบบนั้นหน่ะครับ เขาให้มาเต็มที่ แล้วผมก็ให้ไปเต็มที่เหมือนกัน...เขาก็ไม่ได้เห็นเหมือนผมเป็นคนเข้ามาใหม่เลยนะครับ ซึ่งตามความเป็นจริงเขาอาจจะทำแบบนั้นได้ ถ้าเขาเป็นคนแบบนั้น คือเขาอาจจะเห็นว่า นี่น้องใหม่นะ น้ำหนักก็ไม่เท่ากัน เรื่องสิทธิ์ต่างๆ ก็ไม่เท่ากัน แต่ว่าพวกเขาไม่เป็นอย่างนั้นเลย ทุกอย่างให้เท่ากันหมดครับ และเรามีอะไรก็ปรึกษากันเรื่อยๆ อย่างเรื่องต่างๆ เรื่องแนวทางอะไรอย่างนี้ด้วยครับ"

เรื่องหน้าตาไม่ใช่ปัญหา แต่ที่ดูจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้างก็คือนิสัยขี้อาย..."อืม โน้ต อุดม ก็มีบอกว่าเหมือนหลายๆ คน (หัวเราะ) บางคนก็บอกเหมือนเจ เจตรินบ้าง เหมือนเฉินหลง บ้าง มันอาจจะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ก็มีหลายๆ คนคล้าย"

"ผมก็เป็นมิตรก็ในระดับหนึ่งนะครับ เป็นคนที่ไม่ค่อยกังวลอะไร ถือว่าเป็นบวกในระดับหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าผมจะต้องนู่นนี่นั่น อะไร เป็นคนเรียบง่ายครับ เรื่องขี้อาย ครับ ผมเป็นคนขี้อายนิดนึงครับ ตอนอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตมันก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยนะครับ เพราะว่าแรกๆ สองสามครั้งแรกก็มีบ้าง เพราะว่าผมไม่ค่อยจะพูดครับ แต่ว่าพอได้การตอบรับที่ดี พอผมมาเปิดตัวแล้ว ผมก็รู้สึกว่านี่คือส่วนหนึ่งของหน้าที่ของผม ผมก็จะต้องทำให้ดีที่สุด ตอนที่อยู่บนเวที มองลงมาเห็นคนดูมากมาย รู้สึกว่าโชคดีที่มีโอกาสอย่างนี้เข้ามา รู้สึกว่ามันคงจะเป็นสิ่งที่หายากเหมือนกัน"

ก้าวต่อไปของหนุ่มคนนี้กับ "ซิลลี่ฟูลส์" ก็คืออัลบั้มเต็มภาคภาษาไทย ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าถึงจะยังพูดไทยไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่เขาก็ไม่มีปัญหาในการร้องเพลงไทย แถมยังแอบบอกแฟนเพลงว่าอาจจะร้องชัดกว่าพูดเสียด้วยซ้ำ
"ไม่มีปัญหาเรื่องการร้องภาษาไทยนะครับ การร้องง่ายกว่าการพูด เพราะมันมีเมโลดี้คล้องไว้ มีทำนอง แล้วอย่างวรรณยุกต์ในภาษาไทยมันจะกลมกลืนกับทำนองด้วยนะครับ ถ้าร้องตามทำนองมันก็ออกมาถูกต้อง ผมคิดว่าผมน่าจะร้องชัดกว่าพูดเป็นสิบๆ เท่านะครับ(หัวเราะ)"

"อัลบั้มน่าจะเสร็จกลางปีนี้ พอมารวมตัวกันก็เริ่มทำงานกันนิดหน่อยแล้ว แต่ช่วงนี้ก็อาจจะยุ่งๆ นิดหน่อย แต่คิดว่าอีกไม่นานเราจะเริ่มทำอีกห้าเพลงที่เหลือแล้ว แล้วเดี๋ยวผมจะช่วยร่วมกันทำทำนอง เพราะว่าห้าเพลงที่ออกมานั้น ผมก็ยังไม่ได้มีส่วนร่วมในการแต่งเพลงนะครับ...คือถ้าเป็นเนื้อร้องภาษาอังกฤษนั้น อย่างในอัลบั้มที่ผมทำเอง ผมก็แต่งเองคนเดียวครับ ทำทำนองแล้วก็แต่งเนื้อร้อง พอดีผมจบมหาวิทยาลัยมาทางด้านนี้เลย จบมาทางด้านครีเอท ออฟ ไรท์ติ้ง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ด้วยครับ"

หลังจากที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว เบนยอมรับว่ากระแสที่ตอบรับกลับมาดีกว่าที่เขาคาดไว้มากมายทีเดียว..."ก็ดีเกินที่คาดไว้ ดีเกินคาดจริงๆ ครับ จริงๆ แล้วผมคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก ในการที่จะได้กระแสเท่านี้ แต่ว่าพอออกมา แฟนเพลงก็ต้อนรับเลย ผมก็ดีใจมาก ดูท่าทางจากที่ไปเล่นมาที่ต่างๆ กระแสตอบรับมาค่อนข้างดีครับ ส่วนเรื่องทัวร์คอนเสิร์ตก็มีเข้ามาเรื่อยๆ นะครับ"

"สำหรับแฟนๆ ก็อยากจะขอบคุณมากๆ สำหรับการต้อนรับที่ดีเกินคาด และอบอุ่นมาก สำหรับคนที่ยังไม่ได้ฟัง ก็อยากจะให้ลองฟังดูนะครับ แล้วถ้าจะต้องมีการเปรียบเทียบของใหม่กับของเก่าก็คงแล้วแต่ แล้วแต่คนครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะว่ามันก็แตกต่างกันมากในการร้อง และเรื่องเนื้อเสียงมันก็ออกมาคนละแบบเลย เหมือนส้มกับแอ๊ปเปิ้ลหน่ะครับคือทั้งสองอย่างมันก็อร่อยได้ในขณะเดียวกัน แต่ว่ามันอร่อยคนละแบบ"


กำลังโหลดความคิดเห็น