เอพี - เซอร์ไพรส์เล็กๆ เมื่อผลงานที่ไม่ได้ชิงในสาขาใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่างหนังเพลงสุดฮิต Dreamgirls ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมากที่สุดถึง 8 สาขา ปล่อยให้ Babel หนังดีกรีสุดยอดดรามาบนเวทีลูกโลกทองคำที่เข้าชิงมา 7 สาขา และรีเมคสุดเยี่ยม The Departed ที่ตามมาที่ 5 สาขาต้องลุ้นกันว่าใครจะคว้ารางวัลที่สุดแห่งวงการภาพยนตร์สหรัฐฯ ในการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ หรือ Academy Award ครั้งที่ 79
แม้จะเข้าชิงมากสุด แต่การที่ Dreamgirls พลาดการเข้าชิงรางวัลใหญ่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ทำให้การเสนอชื่อเข้ามามากๆ กลายเป็นแค่รางวัลปลอบใจ และส่งให้หลายคนจับตามองไปที่เจ้าของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์ดรามาจากเวทีลูกโลกทองคำอย่าง Babel ที่เข้าชิงถึง 7 สาขา รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และ 2 สาวหน้าใหม่อย่างอาเดียนา บาร์ราซาและริงโกะ คิคูจิในสาขานักแสดงสมทบหญิงทั้งคู่ด้วย
และงานรีเมคแก๊งสเตอร์ชั้นเยี่ยม The Departed ที่แม้จะเข้าชิงแค่ 5 แต่เน้นๆ ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม และที่เซอร์ไพรส์เล็กๆ คือการเข้าชิงแบบมาคนเดียวของ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ในสาขานักแสดงสมทบชายอีกด้วย
อีก 3 ผลงานที่ร่วมท้าชิงรางวัลใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนี้ได้แก่ 1 ใน 2 ผลงานย้อนรอยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของปู่คลิน อิสต์วูดใน Letters From Iwo Jima หนังอินดีโรด-ทริปสุดดัง Little Miss Sunshine และหนังที่ตีแผ่ความสั่นคลอนในราชวงศ์อังกฤษอย่าง The Queen
แม้ว่าจะเป็นตัวขโมยซีนตลอดทั้งเรื่อง แต่การที่ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก เป็นนักแสดงรายเดียวจากทัพนักแสดงมากฝีมือของ The Departed ที่ได้เข้าชิงออสการ์ ทั้งแจ็ค นิโคลสัน, แม็ต เดมอน และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (ที่เข้าชิงนักแสดงนำชายจาก Blood Diamond แทน) ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์พอสมควร
"ผมไม่ได้คิดว่าจะได้เข้าชิงเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากจะเชื่อเลย ตอนรับโทรศัพท์ผมยังงวงเงียอยู่ แต่ตันแทนของผมก็โทรมาและตะโกนยกใหญ่ ตอนนั้นได้แต่คิดว่าบ้านผมถูกวางเพลิงซะอีก" วาห์ลเบิร์ก เจ้าของบทบาทเจ้าหน้าที่จอมถากถางใน The Departed กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รับการเสนอชื่อ
ขณะที่สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมยังมองไม่ออกว่าใครเป็นตัวเต็งที่เด่นชัด แต่ในสาขานักแสดงทั้ง 4 สาขาต่างมีผู้จับจองเข้าไปก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เฮเลน เมียร์เรน จากเรื่อง The Queen ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, ฟอร์เรสท์ วิทเทคเกอร์ จากเรื่อง The Last King of Scotland ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ขณะที่สาขานักแสดงสมทบก็ถูกจองโดยแก๊ง Dreamgirls อย่าง เอ็ดดี เมอร์ฟีย์ และสาวอเมริกัน ไอดอล เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน ไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
โดยเฮเลน เมียร์เรนกล่าวว่า เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าการมารับบทเป็นสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ใน The Queen จะสร้างผลกระทบต่อชีวิตการแสดงของเธอเช่นนี้
"มันเป็นหนึ่งในบทที่หินที่สุดที่ต้องแสดง ไม่ใช่แค่ลงรายละเอียดในตัวละครที่มีชีวิตอยู่ แต่ถือเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อคนในอังกฤษแทบจะทุกเมื่อเชื่อวัน ขณะที่เรารู้จักเธอจากแสตมป์ในจดหมายที่สอดอยู่ที่หน้าประตู หรือในเงินที่เราใช้จับจ่ายในแต่ละวัน แต่เราก็รู้จักผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่เราเห็นกันอย่างชินตานี้น้อยเหลือเกิน ฉันหวังว่าการแสดงของฉันจะสามารถถ่ายทอดพระองค์ทั้งในฐานะของสตรีและพระราชินีไปพร้อมๆ กัน"
การเป็นจุดสนใจในฐานะผู้ที่จะคว้ารางวัลออสการ์ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับ เอ็ดดี เมอร์ฟีย์ ที่แม้จะอยู่ในวงการมาอย่างเนิ่นนาน แต่เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่การแสดงของเขาได้รับการเชิดชูอย่างเป็นรูปธรรม ตรงข้ามกับเพื่อนรุ่นน้องอย่าง เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดงหลังจากเปิดตัวต่อชาวโลกในรายการประกวดเพลงสุดฮิตอย่าง American Idol เมื่อ 2 ปีมานี้เอง
ขาประจำที่กลับมาในปีนี้ได้แก่ขาใหญ่อย่าง เมอริล สตรีป ที่เข้าชิงในผลงานเรื่อง The Devil Wears Prada ซึ่งนับเป็นการถูกเสนอชื่อครั้งที่ 14 (ชนะ 2 ครั้ง) ของเธอเข้าไปแล้ว พร้อมทั้งสร้างสถิติกลายเป็นนักแสดงที่ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย
นอกจากจะเป็นการฟาดฟันของสุดยอดนักแสดงอย่าง เมียร์เรนและสตรีป แล้ว อีก 3 คนที่เข้าชิงก็พร้อมที่จะเป็นม้ามืดเสมอทั้ง เพเนโลพี ครูซ ในบทหญิงสาวที่รับมือกับเรื่องประหลาดใน Volver, จูดี เดนช์ ในบทครูมากด้วยอุบายจาก Notes on a Scandal และ เคต วินส์เลต ในบทภรรยาอารมณ์เปลี่ยวที่ไปมีเอี่ยวกับเพื่อนบ้านจาก Little Children
ในฐานะที่ต้องเล่นเป็นคุณแม่ที่ต้องอ้อยอิ่งกับลูกๆ ในสวนสาธารณะ เคต วินส์เลต ซึ่งเป็นแม่ในชีวิตจริงกล่าวว่าเธอได้รับข่าวดีจากออสการ์ขณะที่เธอกำลังส่งลูกไปโรงเรียนด้วยเหมือนกัน
"ฉันแฮปปีมากๆ ฉันได้แต่ตะโกนและหวีดร้องทั้งวีทั้งวัน ฉันคิดไว้แล้วว่ายังไงก็คงไม่ได้เข้าชิงอีก ฉันพยายามที่จะดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่มีความสุขนี้ ฉันพูดไม่ออกเลยจริงๆ มันรู้สึกเหมือนไม่เคยเข้าชิงมาก่อนเลย" วินส์เลต ที่เข้าชิงมาแล้วเป็นครั้งที่ 5 กล่าวอย่างดีใจ
ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมนั้น นอกจากฟอร์เรสท์ วิทเทคเกอร์และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอที่แฟนๆ คาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว อีก 3 รายที่คลาดสายตาไม่ได้ได้แก่ ไรอัน กอสลิง ในบทครูขี้ยาจาก Half Nelson, ปีเตอร์ โอ'ทูล ในบทนักแสดงชราตัณหากลับจาก Venus และ วิล สมิธ ในบทคุณพ่อคนยากจากหนังฮิต The Pursuit of Happyness
หลายฝ่ายต่างยกให้สาขานี้เป็นของวิทเทคเกอร์ไปเรียบร้อยแล้ว แม้หลายคนยังอยากจะเอาใจช่วยนักแสดงขรัวเฒ่าแห่งวงการอย่าง ปีเตอร์ โอ'ทูล ให้ได้รับเกียรติยศจากเวทีนี้เสียที หลังจากที่พ่ายแพ้จากการเข้าชิงมาถึง 7 ครั้งทั้งหมด และมันคงจะเจ็บลึกไม่น้อยสำหรับผู้ที่เกือบจะปฏิเสธที่จะรับรางวัลออสการ์เกียรติยศเมื่อหลายปีก่อน เพราะต้องการที่จะได้มันจากผลงานการแสดงเนื้อๆ เน้นๆ ซึ่งตัวเลขการพลาดเป็นครั้งที่ 8 ในปีนี้ก็พร้อมจะส่งเข้าให้กลายเป็นนักแสดงที่เข้าชิงมากครั้งที่สุดโดยไม่เคยสัมผัสกับชัยชนะเลย
และจะเน้นเข้าไปอีกถ้าจะบอกว่านี่อาจจะเป็นปีสร้างสถิติของคนอกหัก ถ้าผู้กำกับคนดังอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี ที่เสมอกับผู้กำกับอีก 4 ท่านในการร่วมกันครองสถิติแพ้ 5 ครั้งรวดในการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
The Departed ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นทั้งผลงานที่สกอร์เซซีหวนคืนมาสู่สไตล์เด็ดขาดที่เขาเป็นต้นตำรับเมื่อทศวรรษที่แล้ว และเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่จะคว้าออสการ์ไปได้สำเร็จ แต่ถ้าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย การแพ้รวด 6 ครั้งจะทำให้เขาครองแชมป์ผู้กำกับที่แพ้มากที่สุดตลอดกาล
"เขาสมควรจะได้มันมานาน....มากแล้ว" วาห์ลเบิร์กกล่าวถึงเจ้านายใหญ่
เป็นอีกครั้งที่ออสการ์แสดงความหมางเมินต่อผลงานตลกชวนหัว จึงมองข้ามผลงานตลกล้อเลียนระดับมาสเตอร์พิสของ ซาชา บารอน โคเฮน จากเรื่อง Borat: Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan แต่ยังใจดีให้หนุ่มหน้าเป็นคนนี้ได้เข้าชิงในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมอยู่
ขณะที่นักแสดงนำในหนังตลกที่ได้เข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบได้แก่ 2 หน่อจากหนังอินดีสุดดัง Little Miss Sunshine ทั้ง อลัน อาร์กิน ในบทคุณปู่ปากร้ายและหนูน้อย อาบีเกล เบรสลิน ขณะที่นักแสดงหลักของเรื่องทั้งเกร็ก คินเนียร์, โทนี คอลเล็ต และสตีฟ คาเรล ต่างไม่ติดชื่อเข้าชิงทั้งหมด
การเข้าชิงของหนูน้อย อาบีเกล เบรสลิน วัย 10 ขวบ ทำให้เธอเป็นนักแสดงหญิงอายุน้อยที่สุดอันดับ 4 ที่เข้าชิงออสการ์ ตามหลังตาตั้ม โอ'นีล ที่คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงจาก Paper Moon กับ 2 ผู้เข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงอย่างแมรี แบดแฮม จาก To Kill a Mockingbird และ ควิน คัมมิงส์ จาก The Goodbye Girl ซึ่งทั้ง 3 ต่างอ่อนกว่าเบรสลินเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
ด้วยการที่มีนักแสดงผิวดำ 5 ราย,เชื้อสายสเปน 2 ราย และชาวเอเชีย ทำให้การเสนอชื่อของนักแสดงจากจำนวนทั้งหมด 20 คนในปีนี้ถือเป็นปีที่มีความหลากหลายทางเชื่อชาติมากที่สุด หลังจากที่ออสการ์ถูกมองว่าเป็นเวทีสงวนไว้สำหรับคนขาวมานับทศวรรษ แต่เริ่มมีการกระจายการเสนอชื่อและมอบรางวัลไปสู่นักแสดงเชื้อชาติอื่นๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหลังๆ มานี้
นักแสดงผิวดำถือว่าประสบความสำเร็จบนเวทีออสการ์อย่างต่อเนื่อง ทั้ง ฮัลลี แบรี, แดนเซล วอชิงตัน, เจมมี ฟ็อกซ์ และ มอร์แกน ฟรีแมน ซึ่ง 3 จาก 5 ที่เข้าชิงในปีนี้ก็เป็นตัวเต็งที่จะคว้ารางวัลด้วย
ขณะที่นักแสดงเชื้อสายสเปนและเอชียยังไม่ค่อยมีโอกาสบนเวทีออสการ์เท่าไหร่ แต่จากการเข้าชิงในปีนี้ทั้ง เพเนโลพี ครูซ, อาเดียนา บาร์ราซา และริงโกะ คิคูจิ แสดงให้เห็นว่าฮอลลีวูดกำลังอ้าแขนรับนักแสดงนอกวงการมากขึ้น
แต่แม้ว่าเพเนโลพี ครูซ จะได้เข้าชิงในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม แต่ผลงานของเธออย่าง Volver ของผู้กำกับสเปนขวัญใจออสการ์อย่าง เปโดร อัลโมโดวาร์ กลับไม่มีชื่อเข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมอย่างพลิกโผ ซึ่งตัวแทนของชาวลาตินจึงกลายเป็น Pan's Labyrinth ผลงานของผู้กำกับเลือดเม็กซิกัน กิลเลอร์โม เดล โทโร ที่ได้เข้าชิงท่วมท้นถึง 6 สาขา ทั้งภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, การถ่ายภาพยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
ผู้กำกับเม็กซิกันที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวจังโกอีกรายได้แก่ อเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู จากการเข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Babel นั่นเอง
ผู้กำกับที่มาท้าชิงรางวัลกับอินาร์ริตูกับสกอร์เซซีในปีนี้ได้แก่ คลินต์ อีสต์วูด จาก Letters from Iwo Jima, สตีเฟน เฟรียร์ส จาก The Queen และ พอล กรีนกราส จากผลงานย้อนรอยเหตุการณ์ 11 กันยาฯใน United 93
Dreamgirls นั้นถูกมองไว้ว่าจะสามารถเดินรอยตามหนังเพลงรุ่นพี่อย่าง Chicago ที่ประสบความสำเร็จบนเวทีออสการ์เมื่อปี 2002 แต่สุดท้ายหนังเพลงก็ยังไม่ใช่ลูกรักของออสการ์ต่อไป เช่นเดียวกับหนังที่มีหน้าหนังเป็นเพลงอย่าง Walk the Line ที่มาดีๆ เมื่อปีที่แล้ว แต่ตกม้าตายอดชิงสาขาใหญ่ไปเสียเฉยๆ
โดย 8 รางวัลที่เข้าชิงของ Dreamgirls นั้นถือว่าเป็นรางวัลที่ไม่ใหญ่นัก โดยเฉพาะ 3 ใน 8 ที่มาจากการเข้าชิงในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ล้วนๆ ขณะที่นักแสดงนำของเรื่องทั้งเจมมี ฟ็อกซ์และบิยอนเซ โนว์ส รวมทั้งผู้กำกับอย่างบิล คอนดอนก็อดชิงถ้วนหน้า
ซึ่งหลายฝ่ายต่างฟันธงว่า หนังที่เบียดพื้นที่ของ Dreamgirls ในการเข้าชิงรางวัลใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในนาทีสุดท้ายได้แก่ผลงานของผู้กำกับรุ่นลายครามอดีตผู้ชนะ 2 สมัยอย่างปู่คลินต์ อีสต์วูดจากผลงานเรื่อง Letters from Iwo Jima ที่เข้าชิงมา 4 สาขา รวมทั้งหนังแฝดคนละฝาอย่าง Flags of Our Fathers ที่ชิงอีก 2 สาขาในด้านเทคนิกด้วย
หนังขวัญใจมหาชนเมื่อปีกลายอย่าง Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest ก็เข้าชิง 4 สาขาเช่นกัน ซึ่งเป็นสาขาในด้านเทคนิกล้วนๆ
อีกหนึ่งความภูมิใจของชาวเอเชียในปีนี้ได้แก่ผลงานของผู้กำกับหญิงสัญชาติแคนาดาเชื้อสายอินเดียอย่าง ดีปา เมห์ธา ที่ส่งตอนสุดท้ายในหนังไตรภาคของเธอที่เป็นที่กล่าวขวัญอย่างมากอย่าง Water เข้าชิงภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศบนเวทีออสการ์ในปีนี้ได้สำเร็จ
พิธีมอบรางวัลออสการ์ หรือ Academy Award ครั้งที่ 79 จะมีขึ้นในวันที่ 25 ก.พ. 2550 นี้
สรุปจำนวนสาขาที่เข้าชิงของแต่ละเรื่อง
1. Dreamgirls 8 สาขา
2. Babel 7 สาขา
3. The Queen 6 สาขา
Pan's Labyrinth
4. The Departed 5 สาขา
Blood Diamond
5. Letters From Iwo Jima 4 สาขา
Little Miss Sunshine
Notes On A Scandal
Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest
6. Apocalypto 3 สาขา
Children of Men
Little Children
รายชื่อผู้ที่ได้เข้าชิงรางวัลสำคัญของออสการ์ครั้งที่ 79
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
Babel
The Departed
Letters From Iwo Jima
Little Miss Sunshine
The Queen
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ จาก Blood Diamond
ไรอัน กอสลิง จาก Half Nelson
ปีเตอร์ โอ'ทูล จาก Venus
วิลล์ สมิธ จาก The Pursuit of Happyness
ฟอร์เรสท์ วิทเทคเกอร์ จาก The Last King of Scotland
นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
เพเนโลพี ครูซ จาก Volver
จูดี เดนช์ จาก Notes on a Scandal
เฮเลน เมียร์เรน จากThe Queen
เมอริล สตรีป จาก The Devil Wears Prada
เคต วินส์เลต จาก Little Children
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
อลัน อาร์กิน จาก Little Miss Sunshine
แจ็คกี เอิร์ล เฮลีย์ จาก Little Children
จิมอน ฮอนซู จาก Blood Diamond
เอ็ดดี เมอร์ฟีย์ จาก Dreamgirls
มาร์ค วาห์ลเบิร์ก จาก The Departed
นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
อาเดรียนา บาร์ราซา จาก Babel
เคท แบลนเชตต์ จาก Notes on a Scandal
อาบีเกล เบรสลิน จาก Little Miss Sunshine
เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน จาก Dreamgirls
ริงโกะ คิคูจิ จาก Babel
ผู้กำกับยอดเยี่ยม
อเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู จาก Babel
มาร์ติน สกอร์เซซี จากThe Departed
คลินต์ อีสต์วูด จาก Letters From Iwo Jima
สตีเฟน เฟรียร์ส จาก The Queen
พอล กรีนกราส จาก United 93
รายชื่อผู้ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 79