ผ่านไปแล้วสำหรับปี 2006 ที่มีหนังฟอร์มใหญ่ในปริมาณพอสมควรผ่านตาให้แฟนๆ ได้ชมกันอย่างเพลิดเพลิน มีสมหวังบ้างและเสียแรงรอลุ้นบาง คละเคล้ากันไป
เมื่อดูจาก 10 อันดับสูงสุดที่ทำเงินในปีนี้ สิ่งที่โดดเด่นจนเป็นที่สังเกตได้ก็คือหนังประเภทภาคต่อ, ผลงานดัดแปลงจากนิยายขายดี และภาพยนตร์แอนนิเมชันที่ติดเข้ามาถึง 4 เรื่อง ถือเป็นเทรนด์ที่แฟนหนังให้การตอบรับเป็นอย่างดีในปีนี้
โดยผลงานที่หลุดโผไปในนาทีสุดท้ายได้แก่ The Devil Wears Prada ผลงานที่ดัดแปลงจากนิยายสุดดังที่ถูกหนังปลายปีแซงไปในที่สุด ขณะที่ผู้ที่คาดว่าจะเข้ามาติดโผแน่ๆ ได้แก่สุดยอดหนังเอาใจครอบครัว Night at the Museum ที่เริ่มฉายช่วงวันคริสต์มาส ซึ่งถ้ารวมผลสุทธิจริงๆ อันดับน่าจะเบียดมาอยู่ที่ 8-9 เป็นอย่างน้อย
(รายได้หน่วยเป็นล้านเหรียญสหรัฐฯ)

10. Happy Feet
รายได้ทั่วโลก: 329.7
ในสหรัฐฯ: 188.2
ทุนสร้าง: 100
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 140
เข้ามาที่อันดับ 10 อย่างฉิวเฉียด เพราะความแรงช่วงปลายปีแบบที่ใครก็ฉุดไม่อยู่จริงๆ กับหนังแอนนิเมชันของค่ายวอร์เนอร์ที่เต็มไปด้วยทีมพากย์ระดับซูปเปอร์สตาร์ทั้งเอไลจาห์ วูด, บริททานีย์ เมอร์ฟีย์, นิโคล คิดแมน, ฮิวจ์ แจ็คแมน และขโมยซีนสุดๆ อย่างโรบิน วิลเลียมส์ กับหนังที่นอกจากจะขายความน่ารักแก่คุณหนูๆ แล้ว ยังมีเพลงเพราะๆ ให้ฟังในหนังอย่างมากมาย และการเป็นพระเอกในการฉายช่วงเทศกาลที่โกยเงินจากแฟนหนังระดับครอบครัวเต็มๆ และยังไม่ได้ฉายที่ประเทศสำคัญอย่างญี่ปุ่นและฮ่องกง ทำให้คาดได้ว่าอันดับน่าจะพุ่งขึ้นไปได้อีกอย่างน้อยอีก 1-2 อันดับทีเดียว

9. Over the Hedge
รายได้ทั่วโลก: 331.6
ในสหรัฐฯ: 155.0
ทุนสร้าง: -
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 133
การผจญภัยของเหล่าสัตว์น้อยสุดกวน ในผลงานแอนนิเมชันเรื่องแรกของค่ายดรีมเวิร์คหลังจากยุบรวมกิจการกับทางพาราเมาท์ ก็มาด้วยสูตรใช้ทีมพากย์ที่มีชื่อเสียงเช่นกัน ที่มีทั้งบรูซ วิลลิส, สตีฟ คาเรล, นิค โนลเต และอวริล ลาวิญ ที่ใช้ช่วงเวลาในการออกฉายกลางเดือนพ.ค.รับทรัพย์จากคุณหนูในช่วงปิดเทอมแบบเต็มๆ จนมาอยู่ที่ 9

8. Superman Returns
รายได้ทั่วโลก: 391.1
ในสหรัฐฯ: 200.1
ทุนสร้าง: 270
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 85
เป็นอันดับที่ 8 ที่ไม่โสภาเอาเสียเลย สำหรับผลงานหมายมั่นปั้นมือว่าจะถล่มโลกในซัมเมอร์นี้ ด้วยทุนสร้างที่มโหฬารที่สุดแห่งปีถึง 270 ล้านเหรียญ ที่กุมบังเหียนโดยผู้กำกับ X-Men อย่างไบรอัน ซิงเกอร์ และพระเอกเฟรชชีหล่อลากดิน แบรนดอน เราท์ มาเป็นหน้าหนังชั้นเยี่ยม แต่ด้วยเนื้อหาที่ออกจะธรรมดาไปซักหน่อยสำหรับการกลับมาครั้งแรกในรอบ 20 ปีของซูเปอร์แมนครั้งนี้ ทำให้มันทำเงินที่คาดว่าจะถอนทุนในสหรัฐฯหล่นหายไปนับสิบๆ ล้าน ยังดีสำหรับสาวกยอดมนุษย์ผู้นี้ที่ตัวเลข 200.1 ล้านเหรียญข้ามเส้นอย่างฉิวเฉียดในการเลือกตัดสินใจของทีมบริหารที่จะสร้างมันต่อในที่สุด

7. Mission: Impossible III
รายได้ทั่วโลก: 397.1
ในสหรัฐฯ: 133.5
ทุนสร้าง: 150
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 83
เป็นอันดับ 7 ที่ไม่เด็ดเช่นกัน สำหรับการกลับมาของทอม ครูสในบทอีธาน ฮันท์ จากภาคที่ 3 ในซีรีส์สายลับประจำตัวของเขาเรื้องนี้ เพราะเมื่อเทียบกับสถิติเก่าๆ ที่หลังเรื่องนี้ทำเอาไว้ทั้ง 2 ภาค (MI:I (1996) ทำรายได้ทั่วโลก 456 ในสหรัฐฯ 180 จากทุนสร้าง 80 / MI:II (2000) ทำรายได้ทั่วโลก 545 ในสหรัฐฯ 215 จากทุนสร้าง 125 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ) จะเห็นได้ว่าทุกอย่างน่าจะไปได้สวย แต่พอถึงภาคที่ 3 ตัวเลขอย่างเดียวที่มากขึ้นกลับเป็นทุนสร้างที่ 150 ล้านเหรียญ ที่รายได้เฉพาะในสหรัฐฯไม่สามารถถอนทุนคืนได้ และนับเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับพาราเมาท์ที่ใช้เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักๆ ในการลอยแพบริษัท Cruise/Wagner Productions ไปหาบ้านใหม่อย่างยูไนเต็ด อาร์ตติส ในที่สุด

6. X-Men: The Last Stand
รายได้ทั่วโลก: 458.8
ในสหรัฐฯ: 234.4
ทุนสร้าง: 210
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 61
ไม่เหมือนกับเหล่ากองทัพมนุษย์กลายพันธุ์ในภาคที่ 3 ของซีรีส์การ์ตูนสุดฮิต X-Men ที่แม้ทุนสร้างจะเพิ่มขึ้นทุกภาค แต่รายได้ก็แปรผันตามไปด้วย (X-Men (2000) ทำรายได้ทั่วโลก 296 ในสหรัฐฯ 157 จากทุนสร้าง 75 / X2 (2003) ทำรายได้ทั่วโลก 407 ในสหรัฐฯ 214 จากทุนสร้าง 110 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ) จากฐานแฟนหนังที่เหนียวแน่น ประกอบกับการใช้สื่ออย่างชาญฉลาด ทำให้ไตรภาค Mutant รุดม่านลงอย่างสวยงามทีเดียว ก่อนที่แฟนๆ จะได้เตรียมชมภาคเดี่ยวๆ จากตัวละครสำคัญของเรื่องที่ประกาศจะสร้างต่อทั้งเรื่องราวของ Wolverine, Magneto และ X-Men สุดเอ็กซ์อย่าง Mystique ด้วย

5. Cars
รายได้ทั่วโลก: 461.8
ในสหรัฐฯ: 244.1
ทุนสร้าง: 120
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 59
เป็นอันดับที่ 5 ที่ทำเอาหลายๆ ฝ่ายสะอึกไปตามๆ กัน กับหนังแอนิเมชันที่คาดว่าจะเป็น 1 ใน 2 หนังที่ทำรายได้มากที่สุดแห่งปี ที่เริ่มฉายก็กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดในสหรัฐฯแบบสบายๆ แล้ว (ก่อนที่จะถูกเหล่าโจรสลัดแย่งไป) ซึ่งตัวเลข 244.1 ล้านเหรียญ ที่ได้ในสหรัฐฯ การันตีได้ว่าการฉายในทั่วโลกจะต้องกระหึ่มแน่นอน แต่นโยบายการทิ้งช่วงฉายในแต่ละภูมิภาคของดิสนีย์กลับส่งผลกับงานแอนิเมชันเรื่องนี้อย่างเต็มๆ เพราะในสภาวะที่วงการภาพยนตร์ต้องเผชิญกับการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างทุกรูปแบบเช่นนี้ ทำให้เสียแฟนๆ ในโรงไปกับแผ่นผีและการดาวน์โหลดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เห็นได้ชัดจากรายได้ทั่วโลกที่ท้ายที่สุดก็น้อยกว่ารายได้ในสหรัฐฯแห่งเดียวด้วยซ้ำ ทำให้มันเป็นหนังของพิกซาร์ที่น้อยหน้าเรื่องก่อน(ในช่วงหลัง)อย่างเห็นได้ชัด แม้จะเป็นผลงานที่นายใหญ่แห่งพิกซาร์อย่างจอห์น ลาสเซตเตอร์กลับมาคุมงานในฐานะผู้กำกับเองเลยก็ตาม (Finding Nemo ทำรายได้ 864 จากทุนสร้าง 94, The Incredibles ทำรายได้ 631 จากทุนสร้าง 92, Monsters, Inc. ทำรายได้ 525 จากทุนสร้าง 115, Toy Story 2 ทำรายได้ 485 จากทุนสร้าง 90, A Bug's Life ทำรายได้ 363 จากทุนสร้าง 120 และ Toy Story ทำรายได้ 361 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ)

4. Casino Royale
รายได้ทั่วโลก: 533.7
ในสหรัฐฯ: 162.5
ทุนสร้าง: 150
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 39
แม้จะถูกแรงต่อต้านตั้งแต่ยังไม่ออกฉายถึงการคัดตัวเจมส์ บอนด์คนใหม่อย่างนักแสดงอังกฤษหน้าเล็กแต่หุ่นบึ้กแดเนียล เคร็ก จากเหล่าสาวก แต่ก็เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า 007 เป็นชื่อที่เป็นอมตะของแฟนหนังทั่วโลกจริงๆ เพราะจะทำรายได้พอหอมปากหอมคอในสหรัฐฯ แต่รายได้จากแฟนหนังทั่วโลกก็ทำให้หนังสายลับผู้นี้ทะลุหลัก 531 ล้านเหรียญแบบสบายๆ กลายเป็น 007 ที่ทำรายได้มากที่สุดไปโดยปริยาย และแซงทั้ง 4 ภาคที่อดีต 007 คนที่แล้วอย่างเพียร์ซ บรอสแนนได้สำเร็จ (GoldenEye (1995) ทำรายได้ทั่วโลก 352 / Tomorrow Never Dies (1997)ทำรายได้ทั่วโลก 333 / The World Is Not Enough (1999) ทำรายได้ทั่วโลก 361 จากทุนสร้าง 135 / Die Another Day (2002) ทำรายได้ทั่วโลก 431 จากทุนสร้าง 142 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ)

3. Ice Age: The Meltdown
รายได้ทั่วโลก: 647.3
ในสหรัฐฯ: 195.3
ทุนสร้าง: 80
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 28
แม้ผลงานจะสมบูรณ์แบบกว่า แต่เป็นอีกครั้งที่ค่ายหนังการ์ตูนดังอย่างพิกซาร์ต้องพ่ายกับการ์ตูนที่ขายความสนุกสนานเฮฮาเป็นหลัก และคราวนี้การกลับมาอีกครั้งของ 3 สหายแห่งโลกน้ำแข็งก็ได้รับการตอบรับจากคุณหนูๆ จนกลายเป็นผลงานแอนนิเมชันที่ทำรายได้สูงที่สุดในปีนี้ได้สำเร็จ ด้วยองค์ประกอบที่เด็กๆ ทุกคนต้องชอบทั้งเรื่องราวการผจญภัย, มุกขำๆ ,ตลกล้อเลียน แถมด้วยเพลงเพราะๆ ทำให้รายได้ของมันแซงหน้าภาคเปิดตัวแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว (Ice Age ทำรายได้ 383 จากทุนสร้าง 59 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ)

2. The Da Vinci Code
รายได้ทั่วโลก: 756.7
ในสหรัฐฯ: 217.5
ทุนสร้าง: 125
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 21
เป็นผลงานที่มาแรงตั้งแต่ไม่ออกฉาย ด้วยฐานแฟนจากฉบับหนังสือจำนวนมหาศาล แถมด้วยข่าวการประท้วงที่ทำให้มันเป็นหนังที่ใครๆ ไม่รู้จักไม่ได้ ถือเป็นผลงานที่นอนมาจริงๆ สำหรับโซนีในปีนี้ และกำลังเตรียมจะสร้างฉบับภาพยนตร์ของนิยายอีกเรื่องจากการประพันธ์ของแดน บราวน์อย่าง "เทวากับซาตาน" ที่รับรองความอื้อฉาวไม่แพ้ภาคนี้อย่างแน่นอน

1. Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest
รายได้ทั่วโลก: 1,065.4
ในสหรัฐฯ: 423.3
ทุนสร้าง: 225
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 3
หลังจากให้แฟนรอมาถึง 3 ปี ในที่สุดการกลับมาอีกครั้งของโจรสลัดสุดหล่อใน Pirates of the Caribbean ไม่เพียงแต่จะได้เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินได้มากที่สุดแห่งปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่มันยังเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ที่ได้ชื่อว่า "หนังพันล้าน" เมื่อสามารถทำรายได้ทั่วโลกอย่างถล่มทลายถึง 1,065.4 ล้านเหรียญตามรอยมหากาพย์ The Lord of the Rings: The Return of the King (1,118.9 ล้านเหรียญ)ในอันดับที่ 2 และชู้รักเรือล่ม Titanic (1,845 ล้านเหรียญ) ที่นำโด่งในอันดับ 1 อย่างไร้คู่ต่อกรในระยะอันใกล้นี้
ซึ่งนอกจากจะทำลายสถิติภาคที่แล้วอย่าง Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl เมื่อปี 2003 ที่ทำรายได้ไป 653 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 140 ล้านเหรียญแล้ว ยังแชงหน้าแชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้วอย่าง Harry Potter and the Goblet of Fire ที่ทำรายได้สูงสุดไปที่ 892.2 ล้านเหรียญเช่นกัน
จากตัวเลขมหาศาลดังกล่าว น่าจะทำให้ผู้สร้างใจชื้นในการทุ่มทุนสร้างจำนวนมหาศาลอย่างหลัก 225 ล้านเหรียญนี้ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะภาคต่ออย่าง Pirates of the Caribbean: At Worlds End ที่จอคิวให้แฟนๆ ได้ชมกันในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว
อันดับค่ายยักษ์แห่งปี 2006
1. Sony / Columbia
ส่วนแบ่งรายได้ 18.5%
รายได้ทั้งหมด 1,704.6 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 31 / 27
อันดับปีที่แล้ว 5
ด้วยสถิติการส่งหนังขึ้นอันดับ 1 บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศได้ถึง 13 เมื่อเรื่องเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าทางค่ายจะมีหนังที่ทำรายได้แบบบ้านๆ ทั้ง The Pink Panther,The Holiday หรือ Monster House และฝันร้ายอย่าง Basic Instinct 2 แต่ด้วยกองทัพหนังดังทั้ง Open Season, Talladega Nights: The Ballad of Ricky Bobby, The Pursuit of Happyness และ The Grudge 2 (กำไรเพราะทุนน้อย) แถมด้วยหนังอันดับ 4 และ 2 แห่งปีอยู่ในมืออย่าง Casino Royale และ The Da Vinci Code ทำให้ปีนี้ผู้บริหารของโซนีอาจจะฉลองกันยังไม่เสร็จก็ได้
2. Buena Vista
ส่วนแบ่งรายได้ 16.2%
รายได้ทั้งหมด 1,492.6 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 25 / 19
อันดับปีที่แล้ว 4
เป็นปีที่ดิสนีย์ปล่อยหนังที่ทำรายได้ประปรายอยู่พอสมควร แต่แค่รายได้จากหนังแค่ 2 เรื่องอย่าง Cars และ Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest หนังอันดับ 1 และ 2 ที่ทำรายได้สูงสุดของอเมริกา ก็เพียงพอจะส่งพวกเขามาอยู่ที่ 2 ได้ในปีนี้
3. 20th Century Fox
ส่วนแบ่งรายได้ 15.2%
รายได้ทั้งหมด 1,398.4 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 28 / 24
อันดับปีที่แล้ว 2
เป็นปีที่ไม่ตูมตามอะไรมากสำหรับฟ็อกซ์ แต่เมื่อหนังดังทั้งหลายทำเงินตามเป้าไม่ว่าจะเป็น X-Men: The Last Stand หรือ The Devil Wears Prada แถมด้วยเซอร์ไพรส์แห่งปีอย่าง Borat โดยมีตัวชูโรงของค่ายอย่าง Ice Age: The Meltdown การลงมาจากปีที่แล้วหนึ่งอันดับก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายสำหรับค่ายยักษ์แห่งนี้แต่อย่างใด ขณะที่ทางค่ายกำลังเริ่มปีใหม่ด้วยความร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่ของ Night at the Museum ในขณะนี้ด้วยเช่นกัน
4. Warner Bros.
ส่วนแบ่งรายได้ 11.6%
รายได้ทั้งหมด 1,065.8 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 27 / 21
อันดับปีที่แล้ว 1
เป็นปีที่ย่ำแย่ทีเดียวสำหรับแชมป์เก่าอย่างวอร์เนอร์ เมื่อหนังที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้อย่าง Superman Returns ทำรายได้ไม่ตามเป้า รวมทั้งหนังรักรีเมคอย่าง The Lake House ก็ไม่เกิด รวมทั้งโปรเจ็คท์หายนะที่เรียงหน้ากันขูดเลือดจากบริษัทไล่ตั้งแต่ Poseidon, Lady in the Water, The Ant Bully, The Wicker Man และ The Fountain เดชะบุญที่ปลายปีได้หนังการ์ตูนขวัญใจหนูๆ อเมริกันอย่าง Happy Feet มากอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้บ้าง ซึ่งรางวัลปลอบใจเห็นจะได้แก่ความสำเร็จด้านกล่อง ที่ต้องหวังพึ่งลูกรักอย่างลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ที่ส่งหนังคุณภาพ 2 เรื่องอย่าง The Departed และ Blood Diamond เข้าชิงรางวัลต่างๆ มากมายแล้วนั่นเอง (เช่นเดียวกับที่จะหวังจาก Letters from Iwo Jima ด้วย)
5. Paramount
ส่วนแบ่งรายได้ 10.3%
รายได้ทั้งหมด 947.3 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 19 / 16
อันดับปีที่แล้ว 6
หลังจากการทุ่มทุนมหาศาลของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Viacom ในการซื้อกิจการของค่ายดังของผู้กำกับสตีเวน สปิลเบิร์กอย่าง Dreamworks มาเป็นของพาราเมาท์แล้ว สิ่งที่ได้ตอบแทนมาก็คืออันดับทำเงินที่เพิ่มจากปีที่แล้วแค่ขั้นเดียวเท่านั้น ขณะที่ Mission: Impossible III และ Charlotte's Web 2 โปรเจ็กท์ดังก็ไม่เป็นไปตามเป้าอย่างแรง หนังที่ดูเหมือนจะเรียกร้องความสนใจของสาธารณชนอย่าง World Trade Center ผู้ชมก็ไม่เล่นด้วยเท่าไหร่ แม้จะมีหนังการ์ตูนสุดดังอย่าง Over the Hedge ทำเงินได้ดีช่วงกลางปี แต่ก็มาเสียฟอร์มจากอีก 2 เรื่องทั้ง Barnyard: The Original Party Animals และ Flushed Away ที่เพิ่งจะถอนทุนจากการฉายทั่วโลกมาได้ทั้งคู่(เรื่องหลังมีทุนสร้างถึง 149 ล้านเหรียญซึ่งมโหฬารมากๆ สำหรับหนังการ์ตูนที่แทบไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้)
ที่ถือว่าเป็นตัวทำเงินของจริงของพาราเมาท์กลับเป็นหนังสุดสัปดนทุนต่ำอย่าง Jackass: Number Two อย่างไรก็ตามแก๊งหนังจากค่ายนี้ถือเป็นตัวเต็งที่จะกวาดหลายๆ รางวัลจากออสการ์ปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น Flags of Our Fathers, Dreamgirls หรือ An Inconvenient Truth
6. Universal
ส่วนแบ่งรายได้ 8.9%
รายได้ทั้งหมด 815.2 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 21 / 17
อันดับปีที่แล้ว 3
เป็นปีที่เงียบเหงาทีเดียวสำหรับค่ายดังอย่างยูนิเวอร์ซัล เพราะแม้จะมีหนังดังประเภทเซอร์ไพสร์เล็กๆ อย่าง The Break-Up หรือ Inside Man แต่หนังดับเซอร์ไพรส์มากๆ ทั้ง Miami Vice, The Black Dahlia และ American Dreamz ก็ฉุดให้พวกเขามารั้งท้ายในปีนี้นั่นเอง
(ตัวเลขรายได้จาก boxofficemojo.com)
33 หนังทำเงินแดนสยามปี 2549
เมื่อดูจาก 10 อันดับสูงสุดที่ทำเงินในปีนี้ สิ่งที่โดดเด่นจนเป็นที่สังเกตได้ก็คือหนังประเภทภาคต่อ, ผลงานดัดแปลงจากนิยายขายดี และภาพยนตร์แอนนิเมชันที่ติดเข้ามาถึง 4 เรื่อง ถือเป็นเทรนด์ที่แฟนหนังให้การตอบรับเป็นอย่างดีในปีนี้
โดยผลงานที่หลุดโผไปในนาทีสุดท้ายได้แก่ The Devil Wears Prada ผลงานที่ดัดแปลงจากนิยายสุดดังที่ถูกหนังปลายปีแซงไปในที่สุด ขณะที่ผู้ที่คาดว่าจะเข้ามาติดโผแน่ๆ ได้แก่สุดยอดหนังเอาใจครอบครัว Night at the Museum ที่เริ่มฉายช่วงวันคริสต์มาส ซึ่งถ้ารวมผลสุทธิจริงๆ อันดับน่าจะเบียดมาอยู่ที่ 8-9 เป็นอย่างน้อย
(รายได้หน่วยเป็นล้านเหรียญสหรัฐฯ)
10. Happy Feet
รายได้ทั่วโลก: 329.7
ในสหรัฐฯ: 188.2
ทุนสร้าง: 100
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 140
เข้ามาที่อันดับ 10 อย่างฉิวเฉียด เพราะความแรงช่วงปลายปีแบบที่ใครก็ฉุดไม่อยู่จริงๆ กับหนังแอนนิเมชันของค่ายวอร์เนอร์ที่เต็มไปด้วยทีมพากย์ระดับซูปเปอร์สตาร์ทั้งเอไลจาห์ วูด, บริททานีย์ เมอร์ฟีย์, นิโคล คิดแมน, ฮิวจ์ แจ็คแมน และขโมยซีนสุดๆ อย่างโรบิน วิลเลียมส์ กับหนังที่นอกจากจะขายความน่ารักแก่คุณหนูๆ แล้ว ยังมีเพลงเพราะๆ ให้ฟังในหนังอย่างมากมาย และการเป็นพระเอกในการฉายช่วงเทศกาลที่โกยเงินจากแฟนหนังระดับครอบครัวเต็มๆ และยังไม่ได้ฉายที่ประเทศสำคัญอย่างญี่ปุ่นและฮ่องกง ทำให้คาดได้ว่าอันดับน่าจะพุ่งขึ้นไปได้อีกอย่างน้อยอีก 1-2 อันดับทีเดียว
9. Over the Hedge
รายได้ทั่วโลก: 331.6
ในสหรัฐฯ: 155.0
ทุนสร้าง: -
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 133
การผจญภัยของเหล่าสัตว์น้อยสุดกวน ในผลงานแอนนิเมชันเรื่องแรกของค่ายดรีมเวิร์คหลังจากยุบรวมกิจการกับทางพาราเมาท์ ก็มาด้วยสูตรใช้ทีมพากย์ที่มีชื่อเสียงเช่นกัน ที่มีทั้งบรูซ วิลลิส, สตีฟ คาเรล, นิค โนลเต และอวริล ลาวิญ ที่ใช้ช่วงเวลาในการออกฉายกลางเดือนพ.ค.รับทรัพย์จากคุณหนูในช่วงปิดเทอมแบบเต็มๆ จนมาอยู่ที่ 9
8. Superman Returns
รายได้ทั่วโลก: 391.1
ในสหรัฐฯ: 200.1
ทุนสร้าง: 270
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 85
เป็นอันดับที่ 8 ที่ไม่โสภาเอาเสียเลย สำหรับผลงานหมายมั่นปั้นมือว่าจะถล่มโลกในซัมเมอร์นี้ ด้วยทุนสร้างที่มโหฬารที่สุดแห่งปีถึง 270 ล้านเหรียญ ที่กุมบังเหียนโดยผู้กำกับ X-Men อย่างไบรอัน ซิงเกอร์ และพระเอกเฟรชชีหล่อลากดิน แบรนดอน เราท์ มาเป็นหน้าหนังชั้นเยี่ยม แต่ด้วยเนื้อหาที่ออกจะธรรมดาไปซักหน่อยสำหรับการกลับมาครั้งแรกในรอบ 20 ปีของซูเปอร์แมนครั้งนี้ ทำให้มันทำเงินที่คาดว่าจะถอนทุนในสหรัฐฯหล่นหายไปนับสิบๆ ล้าน ยังดีสำหรับสาวกยอดมนุษย์ผู้นี้ที่ตัวเลข 200.1 ล้านเหรียญข้ามเส้นอย่างฉิวเฉียดในการเลือกตัดสินใจของทีมบริหารที่จะสร้างมันต่อในที่สุด
7. Mission: Impossible III
รายได้ทั่วโลก: 397.1
ในสหรัฐฯ: 133.5
ทุนสร้าง: 150
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 83
เป็นอันดับ 7 ที่ไม่เด็ดเช่นกัน สำหรับการกลับมาของทอม ครูสในบทอีธาน ฮันท์ จากภาคที่ 3 ในซีรีส์สายลับประจำตัวของเขาเรื้องนี้ เพราะเมื่อเทียบกับสถิติเก่าๆ ที่หลังเรื่องนี้ทำเอาไว้ทั้ง 2 ภาค (MI:I (1996) ทำรายได้ทั่วโลก 456 ในสหรัฐฯ 180 จากทุนสร้าง 80 / MI:II (2000) ทำรายได้ทั่วโลก 545 ในสหรัฐฯ 215 จากทุนสร้าง 125 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ) จะเห็นได้ว่าทุกอย่างน่าจะไปได้สวย แต่พอถึงภาคที่ 3 ตัวเลขอย่างเดียวที่มากขึ้นกลับเป็นทุนสร้างที่ 150 ล้านเหรียญ ที่รายได้เฉพาะในสหรัฐฯไม่สามารถถอนทุนคืนได้ และนับเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับพาราเมาท์ที่ใช้เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักๆ ในการลอยแพบริษัท Cruise/Wagner Productions ไปหาบ้านใหม่อย่างยูไนเต็ด อาร์ตติส ในที่สุด
6. X-Men: The Last Stand
รายได้ทั่วโลก: 458.8
ในสหรัฐฯ: 234.4
ทุนสร้าง: 210
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 61
ไม่เหมือนกับเหล่ากองทัพมนุษย์กลายพันธุ์ในภาคที่ 3 ของซีรีส์การ์ตูนสุดฮิต X-Men ที่แม้ทุนสร้างจะเพิ่มขึ้นทุกภาค แต่รายได้ก็แปรผันตามไปด้วย (X-Men (2000) ทำรายได้ทั่วโลก 296 ในสหรัฐฯ 157 จากทุนสร้าง 75 / X2 (2003) ทำรายได้ทั่วโลก 407 ในสหรัฐฯ 214 จากทุนสร้าง 110 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ) จากฐานแฟนหนังที่เหนียวแน่น ประกอบกับการใช้สื่ออย่างชาญฉลาด ทำให้ไตรภาค Mutant รุดม่านลงอย่างสวยงามทีเดียว ก่อนที่แฟนๆ จะได้เตรียมชมภาคเดี่ยวๆ จากตัวละครสำคัญของเรื่องที่ประกาศจะสร้างต่อทั้งเรื่องราวของ Wolverine, Magneto และ X-Men สุดเอ็กซ์อย่าง Mystique ด้วย
5. Cars
รายได้ทั่วโลก: 461.8
ในสหรัฐฯ: 244.1
ทุนสร้าง: 120
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 59
เป็นอันดับที่ 5 ที่ทำเอาหลายๆ ฝ่ายสะอึกไปตามๆ กัน กับหนังแอนิเมชันที่คาดว่าจะเป็น 1 ใน 2 หนังที่ทำรายได้มากที่สุดแห่งปี ที่เริ่มฉายก็กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดในสหรัฐฯแบบสบายๆ แล้ว (ก่อนที่จะถูกเหล่าโจรสลัดแย่งไป) ซึ่งตัวเลข 244.1 ล้านเหรียญ ที่ได้ในสหรัฐฯ การันตีได้ว่าการฉายในทั่วโลกจะต้องกระหึ่มแน่นอน แต่นโยบายการทิ้งช่วงฉายในแต่ละภูมิภาคของดิสนีย์กลับส่งผลกับงานแอนิเมชันเรื่องนี้อย่างเต็มๆ เพราะในสภาวะที่วงการภาพยนตร์ต้องเผชิญกับการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างทุกรูปแบบเช่นนี้ ทำให้เสียแฟนๆ ในโรงไปกับแผ่นผีและการดาวน์โหลดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เห็นได้ชัดจากรายได้ทั่วโลกที่ท้ายที่สุดก็น้อยกว่ารายได้ในสหรัฐฯแห่งเดียวด้วยซ้ำ ทำให้มันเป็นหนังของพิกซาร์ที่น้อยหน้าเรื่องก่อน(ในช่วงหลัง)อย่างเห็นได้ชัด แม้จะเป็นผลงานที่นายใหญ่แห่งพิกซาร์อย่างจอห์น ลาสเซตเตอร์กลับมาคุมงานในฐานะผู้กำกับเองเลยก็ตาม (Finding Nemo ทำรายได้ 864 จากทุนสร้าง 94, The Incredibles ทำรายได้ 631 จากทุนสร้าง 92, Monsters, Inc. ทำรายได้ 525 จากทุนสร้าง 115, Toy Story 2 ทำรายได้ 485 จากทุนสร้าง 90, A Bug's Life ทำรายได้ 363 จากทุนสร้าง 120 และ Toy Story ทำรายได้ 361 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ)
4. Casino Royale
รายได้ทั่วโลก: 533.7
ในสหรัฐฯ: 162.5
ทุนสร้าง: 150
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 39
แม้จะถูกแรงต่อต้านตั้งแต่ยังไม่ออกฉายถึงการคัดตัวเจมส์ บอนด์คนใหม่อย่างนักแสดงอังกฤษหน้าเล็กแต่หุ่นบึ้กแดเนียล เคร็ก จากเหล่าสาวก แต่ก็เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า 007 เป็นชื่อที่เป็นอมตะของแฟนหนังทั่วโลกจริงๆ เพราะจะทำรายได้พอหอมปากหอมคอในสหรัฐฯ แต่รายได้จากแฟนหนังทั่วโลกก็ทำให้หนังสายลับผู้นี้ทะลุหลัก 531 ล้านเหรียญแบบสบายๆ กลายเป็น 007 ที่ทำรายได้มากที่สุดไปโดยปริยาย และแซงทั้ง 4 ภาคที่อดีต 007 คนที่แล้วอย่างเพียร์ซ บรอสแนนได้สำเร็จ (GoldenEye (1995) ทำรายได้ทั่วโลก 352 / Tomorrow Never Dies (1997)ทำรายได้ทั่วโลก 333 / The World Is Not Enough (1999) ทำรายได้ทั่วโลก 361 จากทุนสร้าง 135 / Die Another Day (2002) ทำรายได้ทั่วโลก 431 จากทุนสร้าง 142 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ)
3. Ice Age: The Meltdown
รายได้ทั่วโลก: 647.3
ในสหรัฐฯ: 195.3
ทุนสร้าง: 80
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 28
แม้ผลงานจะสมบูรณ์แบบกว่า แต่เป็นอีกครั้งที่ค่ายหนังการ์ตูนดังอย่างพิกซาร์ต้องพ่ายกับการ์ตูนที่ขายความสนุกสนานเฮฮาเป็นหลัก และคราวนี้การกลับมาอีกครั้งของ 3 สหายแห่งโลกน้ำแข็งก็ได้รับการตอบรับจากคุณหนูๆ จนกลายเป็นผลงานแอนนิเมชันที่ทำรายได้สูงที่สุดในปีนี้ได้สำเร็จ ด้วยองค์ประกอบที่เด็กๆ ทุกคนต้องชอบทั้งเรื่องราวการผจญภัย, มุกขำๆ ,ตลกล้อเลียน แถมด้วยเพลงเพราะๆ ทำให้รายได้ของมันแซงหน้าภาคเปิดตัวแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว (Ice Age ทำรายได้ 383 จากทุนสร้าง 59 :หน่วยเป็นล้านเหรียญ)
2. The Da Vinci Code
รายได้ทั่วโลก: 756.7
ในสหรัฐฯ: 217.5
ทุนสร้าง: 125
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 21
เป็นผลงานที่มาแรงตั้งแต่ไม่ออกฉาย ด้วยฐานแฟนจากฉบับหนังสือจำนวนมหาศาล แถมด้วยข่าวการประท้วงที่ทำให้มันเป็นหนังที่ใครๆ ไม่รู้จักไม่ได้ ถือเป็นผลงานที่นอนมาจริงๆ สำหรับโซนีในปีนี้ และกำลังเตรียมจะสร้างฉบับภาพยนตร์ของนิยายอีกเรื่องจากการประพันธ์ของแดน บราวน์อย่าง "เทวากับซาตาน" ที่รับรองความอื้อฉาวไม่แพ้ภาคนี้อย่างแน่นอน
1. Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest
รายได้ทั่วโลก: 1,065.4
ในสหรัฐฯ: 423.3
ทุนสร้าง: 225
อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาล 3
หลังจากให้แฟนรอมาถึง 3 ปี ในที่สุดการกลับมาอีกครั้งของโจรสลัดสุดหล่อใน Pirates of the Caribbean ไม่เพียงแต่จะได้เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินได้มากที่สุดแห่งปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่มันยังเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ที่ได้ชื่อว่า "หนังพันล้าน" เมื่อสามารถทำรายได้ทั่วโลกอย่างถล่มทลายถึง 1,065.4 ล้านเหรียญตามรอยมหากาพย์ The Lord of the Rings: The Return of the King (1,118.9 ล้านเหรียญ)ในอันดับที่ 2 และชู้รักเรือล่ม Titanic (1,845 ล้านเหรียญ) ที่นำโด่งในอันดับ 1 อย่างไร้คู่ต่อกรในระยะอันใกล้นี้
ซึ่งนอกจากจะทำลายสถิติภาคที่แล้วอย่าง Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl เมื่อปี 2003 ที่ทำรายได้ไป 653 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 140 ล้านเหรียญแล้ว ยังแชงหน้าแชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้วอย่าง Harry Potter and the Goblet of Fire ที่ทำรายได้สูงสุดไปที่ 892.2 ล้านเหรียญเช่นกัน
จากตัวเลขมหาศาลดังกล่าว น่าจะทำให้ผู้สร้างใจชื้นในการทุ่มทุนสร้างจำนวนมหาศาลอย่างหลัก 225 ล้านเหรียญนี้ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะภาคต่ออย่าง Pirates of the Caribbean: At Worlds End ที่จอคิวให้แฟนๆ ได้ชมกันในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว
อันดับค่ายยักษ์แห่งปี 2006
1. Sony / Columbia
ส่วนแบ่งรายได้ 18.5%
รายได้ทั้งหมด 1,704.6 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 31 / 27
อันดับปีที่แล้ว 5
ด้วยสถิติการส่งหนังขึ้นอันดับ 1 บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศได้ถึง 13 เมื่อเรื่องเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าทางค่ายจะมีหนังที่ทำรายได้แบบบ้านๆ ทั้ง The Pink Panther,The Holiday หรือ Monster House และฝันร้ายอย่าง Basic Instinct 2 แต่ด้วยกองทัพหนังดังทั้ง Open Season, Talladega Nights: The Ballad of Ricky Bobby, The Pursuit of Happyness และ The Grudge 2 (กำไรเพราะทุนน้อย) แถมด้วยหนังอันดับ 4 และ 2 แห่งปีอยู่ในมืออย่าง Casino Royale และ The Da Vinci Code ทำให้ปีนี้ผู้บริหารของโซนีอาจจะฉลองกันยังไม่เสร็จก็ได้
2. Buena Vista
ส่วนแบ่งรายได้ 16.2%
รายได้ทั้งหมด 1,492.6 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 25 / 19
อันดับปีที่แล้ว 4
เป็นปีที่ดิสนีย์ปล่อยหนังที่ทำรายได้ประปรายอยู่พอสมควร แต่แค่รายได้จากหนังแค่ 2 เรื่องอย่าง Cars และ Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest หนังอันดับ 1 และ 2 ที่ทำรายได้สูงสุดของอเมริกา ก็เพียงพอจะส่งพวกเขามาอยู่ที่ 2 ได้ในปีนี้
3. 20th Century Fox
ส่วนแบ่งรายได้ 15.2%
รายได้ทั้งหมด 1,398.4 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 28 / 24
อันดับปีที่แล้ว 2
เป็นปีที่ไม่ตูมตามอะไรมากสำหรับฟ็อกซ์ แต่เมื่อหนังดังทั้งหลายทำเงินตามเป้าไม่ว่าจะเป็น X-Men: The Last Stand หรือ The Devil Wears Prada แถมด้วยเซอร์ไพรส์แห่งปีอย่าง Borat โดยมีตัวชูโรงของค่ายอย่าง Ice Age: The Meltdown การลงมาจากปีที่แล้วหนึ่งอันดับก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายสำหรับค่ายยักษ์แห่งนี้แต่อย่างใด ขณะที่ทางค่ายกำลังเริ่มปีใหม่ด้วยความร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่ของ Night at the Museum ในขณะนี้ด้วยเช่นกัน
4. Warner Bros.
ส่วนแบ่งรายได้ 11.6%
รายได้ทั้งหมด 1,065.8 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 27 / 21
อันดับปีที่แล้ว 1
เป็นปีที่ย่ำแย่ทีเดียวสำหรับแชมป์เก่าอย่างวอร์เนอร์ เมื่อหนังที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้อย่าง Superman Returns ทำรายได้ไม่ตามเป้า รวมทั้งหนังรักรีเมคอย่าง The Lake House ก็ไม่เกิด รวมทั้งโปรเจ็คท์หายนะที่เรียงหน้ากันขูดเลือดจากบริษัทไล่ตั้งแต่ Poseidon, Lady in the Water, The Ant Bully, The Wicker Man และ The Fountain เดชะบุญที่ปลายปีได้หนังการ์ตูนขวัญใจหนูๆ อเมริกันอย่าง Happy Feet มากอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้บ้าง ซึ่งรางวัลปลอบใจเห็นจะได้แก่ความสำเร็จด้านกล่อง ที่ต้องหวังพึ่งลูกรักอย่างลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ที่ส่งหนังคุณภาพ 2 เรื่องอย่าง The Departed และ Blood Diamond เข้าชิงรางวัลต่างๆ มากมายแล้วนั่นเอง (เช่นเดียวกับที่จะหวังจาก Letters from Iwo Jima ด้วย)
5. Paramount
ส่วนแบ่งรายได้ 10.3%
รายได้ทั้งหมด 947.3 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 19 / 16
อันดับปีที่แล้ว 6
หลังจากการทุ่มทุนมหาศาลของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Viacom ในการซื้อกิจการของค่ายดังของผู้กำกับสตีเวน สปิลเบิร์กอย่าง Dreamworks มาเป็นของพาราเมาท์แล้ว สิ่งที่ได้ตอบแทนมาก็คืออันดับทำเงินที่เพิ่มจากปีที่แล้วแค่ขั้นเดียวเท่านั้น ขณะที่ Mission: Impossible III และ Charlotte's Web 2 โปรเจ็กท์ดังก็ไม่เป็นไปตามเป้าอย่างแรง หนังที่ดูเหมือนจะเรียกร้องความสนใจของสาธารณชนอย่าง World Trade Center ผู้ชมก็ไม่เล่นด้วยเท่าไหร่ แม้จะมีหนังการ์ตูนสุดดังอย่าง Over the Hedge ทำเงินได้ดีช่วงกลางปี แต่ก็มาเสียฟอร์มจากอีก 2 เรื่องทั้ง Barnyard: The Original Party Animals และ Flushed Away ที่เพิ่งจะถอนทุนจากการฉายทั่วโลกมาได้ทั้งคู่(เรื่องหลังมีทุนสร้างถึง 149 ล้านเหรียญซึ่งมโหฬารมากๆ สำหรับหนังการ์ตูนที่แทบไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้)
ที่ถือว่าเป็นตัวทำเงินของจริงของพาราเมาท์กลับเป็นหนังสุดสัปดนทุนต่ำอย่าง Jackass: Number Two อย่างไรก็ตามแก๊งหนังจากค่ายนี้ถือเป็นตัวเต็งที่จะกวาดหลายๆ รางวัลจากออสการ์ปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น Flags of Our Fathers, Dreamgirls หรือ An Inconvenient Truth
6. Universal
ส่วนแบ่งรายได้ 8.9%
รายได้ทั้งหมด 815.2 ล้านเหรียญ
จำนวนหนังทั้งหมดและที่เริ่มฉายในปีที่แล้ว 21 / 17
อันดับปีที่แล้ว 3
เป็นปีที่เงียบเหงาทีเดียวสำหรับค่ายดังอย่างยูนิเวอร์ซัล เพราะแม้จะมีหนังดังประเภทเซอร์ไพสร์เล็กๆ อย่าง The Break-Up หรือ Inside Man แต่หนังดับเซอร์ไพรส์มากๆ ทั้ง Miami Vice, The Black Dahlia และ American Dreamz ก็ฉุดให้พวกเขามารั้งท้ายในปีนี้นั่นเอง
(ตัวเลขรายได้จาก boxofficemojo.com)
33 หนังทำเงินแดนสยามปี 2549