แรงสมกับที่ใครๆ บอกว่าเป็นปี "หมูไฟ" ทีเดียวครับ สำหรับเหตุการณ์ความวุ่นวายหลายต่อหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับบ้านเราในช่วง 2 - 3 สัปดาห์ส่งท้ายปีเก่าต่อเนื่องต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขของผู้เสียชีวิต- ผู้บาดเจ็บ รวมไปถึงทรัพย์สินต่างๆ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ (สาเหตุหลักยังคงอยู่ที่เรื่องของการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์) ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ของรอยต่อระหว่างปี 2548 - 2549 ทั้งๆ ที่มีการรณรงค์กันอย่างหนัก (และทั้งๆ ที่สังคมเราหันมาพูดกันถึงเรื่องของสังคมที่ต้องการให้คนมี "ศีล" ตามแบบอย่างของผู้นำ), เรื่องของเหตุการณ์ความรุนแรงทางภาคใต้ที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง, เหตุการณ์ไฟไหม้โรงเรียนในแถบภาคเหนือและอีสานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน, เรื่องของความขัดแย้งของประชาชนกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐฯ
ที่ช็อกความรู้สึกของใครหลายต่อหลายคนมากที่สุด ก็คือเหตุการณ์การระเบิดถึง 8 จุดในกรุงเทพมหานครฯ ของคืนวันที่ 31 ธันวาคม ที่ได้ส่งผลกระทบตามมาหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขราคาหุ้นที่ลดลงรวมไปถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัยและการตื่นตระหนกของประชาชนโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ ณ เมืองกรุงแห่งนี้
แต่ในขณะที่เรื่องร้ายๆ และเหตุการณ์ความวุ่นวายเหล่านี้นับวันจะกลายเป็น "เชื้อโรค" ที่ต้องใช้ความรัก ความสามัคคี ความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจความเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองของประชาชนคนไทยเป็น "ยา" ทำลาย ทว่ากลับมีคน "กลุ่มหนึ่ง" ฉกฉวยเอาสถานการณ์ที่ว่านี้มาหาผลประโยชน์ใส่ตัวอย่างน่ารังเกียจเป็นที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหน้าเดิมๆ ที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าคะแนนเสียง, นักวิชาการที่อ้างว่าตนเองเป็นนักประชาธิปไตยเต็มขั้น, นายทหาร - นายตำรวจที่ออกข่าวให้สัมภาษณ์ราวกับว่าตนเอง "รู้ดี" ว่าอะไรเป็นอะไร ใครทำ ใครสั่ง เพราะอยากดัง (แต่ท้ายที่สุดสังคมก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากคนพวกนี้) หรือแม้กระทั่งพวก "ป่วนเมือง" ทั้งหลายที่เห็นความวุ่นวายของเจ้าหน้าที่ - คนในสังคมเป็นเรื่องสนุก - สะใจ
ที่น่าเศร้าใจก็คือ "ระบบความคิด" ของเด็กในบ้านเราบางคน ที่กล้าแม้กระทั่งจะโทรไปโกหกเจ้าหน้าที่ฯ ว่าที่โรงเรียน(ตนเอง)มีการวางระเบิด เพียงเพราะเห็นเพื่อนโรงเรียนอื่นๆ ซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์รูปแบบเดียวกันนี้ได้กลับบ้านโดยไม่ต้องเรียนหนังสือ!! และที่น่าเศร้ายิ่งขึ้นไปอีกก็คือ จนถึงวันนี้(8)ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาแถลงข่าวต่อเหตุการณ์บึ้มเมืองกรุงในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาว่า...ถึงตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเองแทบจะไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างไรในการที่จะไปจับกุมหรือดำเนินการเอาผิดต่อผู้ก่อเหตุดังกล่าว
ทั้งหลายทั้งปวงของปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งจะว่าไปแล้วก็คงจะมาจากสาเหตุของคนในบ้านเราเองที่ค่อนข้างจะอ่อนแอทางด้านศีลธรรม ขาดจิตสำนึกที่ดี ไร้ซึ่งความเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการไม่รู้จักสะกดคำว่า "พอ" ต่อลาภ ยศ คำเยินยอ ทรัพย์ - สมบัติ อันเป็นจุดที่มาของการ "เอาเปรียบ" (มาก - น้อยนั้นขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานะของแต่ละคน) ที่น่ากลัวก็คือดูเหมือนว่านับวันคนจำพวกนี้จะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งชวนให้วิตกเป็นอย่างยิ่งต่อสภาพการคงอยู่ร่วมกันอย่าง "ผาสุข" และอนาคตของสภาพสังคมบ้านเรา
จริงอยู่ที่ว่า ณ เวลานี้มันอาจจะยังไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เกิดการล่มสลายในเร็ววัน แต่เอาแค่ปัจจุบันกับการมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง หวั่นวิตกเช่นนี้ ถามหน่อยว่าใช่สังคมที่เราต้องการแล้วหรือ?
หลายคนน่าจะมีคำตอบอยู่แล้วในใจ หรือแม้กระทั่งวิธีการที่จะจัดการกับเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นเองก็ตามที
ถามความคิดเห็นโดยส่วนส่วนตัว ผมเชื่อว่าความเลว ความชั่ว ความเห็นแก่ตัวเพราะมองแต่ความสุขสบายของตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้แข็งแกร่งหรือแข็งแรงขึ้นหรอกครับ
เพียงแต่ที่ปัจจุบันมันค่อนข้างจะโดดเด่นจนก่อให้เกิดความวุ่นวายหลายอย่างก็เพราะว่าเรายอมให้ ความดี ความเอื้อเฟื้อ ความเสียสละ ในตัวเราอ่อนแอลงต่างหาก....
เห็นบรรยากาศของบ้านเมืองเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยทหาร - ตำรวจ ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด รัฐสภา ตึกใหญ่ๆ สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ฯลฯ นัยว่าเพื่อป้องกันเหตุร้ายไม่ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ให้นึกไปถึงความรู้สึกเมื่อครั้งที่ผู้เขียนพร้อมกับเพื่อนๆ สะพายเป้ไปเที่ยวเมืองหลวงพระบางของประเทศลาวช่วงก่อนปีใหม่ที่ผ่านมาไม่ได้ (ใครอยากได้บรรยากาศท่ามกลางสายน้ำและขุนเขาที่สนุกแบบเบื่อนิดๆ หนาวมากๆ แนะนำว่าให้เดินทางทางเรือโดยสารของลาว จากท่าห้วยทราย – ปากแบ่ง – หลวงพระบาง รวมระยะเวลา 2 วัน 1 คืนในช่วงประมาณเดือนธันวาคมดู รับรองถูกใจแน่นอนครับ)
นอกจากจะเป็นสินค้ายอดฮิตของนักท่องเที่ยว(โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบ้านเรา)ทั้งประเภทสะพายเป้ กรุ๊ปทัวร์ ทัวร์คนแก่ ทัวร์คนมีเงิน และสารพัดทัวร์แล้ว หลายปีที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านของเราประเทศนี้ยังถือได้ว่าเป็นแหล่งเงิน - ทองของนักธุรกิจแขนงต่างๆ และด้วยเหตุผลที่ว่านี้เองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ "จุดขาย" อันมาจากเสน่ห์ของความ "ดิบ" ทั้งในเรื่องของสภาพภูมิอากาศ - ประเทศ สังคม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของลาวเองต้องเผชิญกับการท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดมา
การเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวที่สุดในความรู้สึกของทางการลาวและจากการพูดคุยกับเพื่อนคนลาวที่ทำงานหนังสือพิมพ์อยู่ก็คือการเข้ามาของแฟชั่น ค่านิยม ผ่านรายการทีวีจากประเทศไทยในรูปแบบของละคร ภาพยนตร์ เพลง มิวสิกวิดีโอ ฯลฯ หลายต่อหลายช่องทั้งฟรีทีวี รวมถึงเคเบิ้ลทีวี ที่วัยรุ่นจำนวนมากของเขาให้ความนิยม(โดยแทบจะไม่แตะทีวีช่องเดียวของประเทศตนเอง)กระทั่งยึดเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งการด้านแต่งกาย เพลง ท่าเต้น โดยมองว่านี่คือความโก้เก๋และทันสมัย
จะว่าไปแล้วก็คงจะเหมือนกับสังคมทุกๆ สังคมที่ต้องเผชิญกับห้วงกระแสธารของกาลเวลาที่ไหลเข้ามาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งยากจะหลีกเลี่ยงการกระทบกันของคลื่นลูกเก่ากับคลื่นลูกใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าสังคมไหนจะหา "จุดร่วม" ที่พอใจของทั้งสองฝ่ายโดยไม่ทำลายซึ่งกันและกัน
บรรยากาศของหลวงพระบางในยามค่ำคืนที่พวกเราไปเยือนในเธคที่ชื่อ "ดาวฟ้า" ซึ่งมีวัยรุ่นหญิงใส่สายเดี่ยวสวมกางเกงยีนส์แทนผ้าซิ่น วัยรุ่นชายรวมทั้งเพศที่ 3 รวมตัวกันขี่มอร์เตอร์ไซค์เข้ามา ดื่ม กิน ภาพของเด็กหนุ่มสาวออกมายืนซบกอดกันเป็นคู่ๆ กลางฟลอร์ในเพลงช้าๆ หรือเต้นกันอย่างสนุกสนานในจังหวะแดนซ์ แม้จะอารมณ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพแห่งความสงบของวัด และความน่าศรัทธาของพระจำนวนมากเกือบจะ 300 รูปที่ออกมาบิณฑบาตรในยามเช้า...แต่มันก็คือสถานที่เดียวกัน คนสังคมเดียวกัน
ลาวในวันนี้จะว่าไปแล้วคงไม่ผิดอะไรนักกับสาวใจแตก! หากแต่เป็นการแตกที่ต้องบอกว่าเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ที่สำคัญถึงจะแตกอย่างไรแต่ก็ไม่สามารถทำให้เอกลักษณ์ที่น่ารักของเขาแตกตามไปด้วย (ยกตัวประเพณีการเต้นท่าเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงของคนลาวที่เข้าไปเที่ยวในเธค คาราโอเกะ หรือจะเป็นลานเบียร์ ที่เรียกกันว่า "บัสสโลบ")
มองด้วยตาเปล่าเราอาจจะสรุปเอาเองว่าคนที่นี่ขี้เกียจ ไม่มีความฝัน ไม่มีความทะเยอทะยาน สภาพบ้านเมืองถนนหนทางยังดูล้าหลัง ไม่ทันสมัย แต่ลึกๆ จากใจจริงอย่างน้อยผมคนนึงละครับที่ค่อนข้างจะรู้สึกอิจฉาในความเรียบง่ายแต่มากด้วยความปลอดภัยและความปรองดองซึ่งกันและกัน น้อยครั้งที่จะมีการทะเลาะเบาะแว้งหรือเหตุอาชญากรรมเช่นนี้ (ยิ่งน่าเจ็บใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมาคิดว่าแต่ก่อนเราเองก็ "เคย" เป็นเช่นนั้นมาก่อน)
เชื่อมั้ยครับว่า ช่วงระยะเวลาของการเที่ยว 4 วัน ในตัวเมืองหลวงพระบาง ผมเห็นตำรวจเพียงครั้งเดียว และคนเดียวเท่านั้น(กำลังทำหน้าที่ขี่รถจักรยานยนต์นำหน้ารถยนต์ที่คาดว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล)
ทั้งที่จะว่าไปแล้วสภาพการจราจรที่หลวงพระบางก็ค่อนข้างวุ่นวายเอาการทีเดียว บนถนนที่ทางแยกไม่มีสัญญาณไฟ มีทั้งชาวบ้านที่ออกมาวางของขาย รถจักรยานยนต์ รถสามล้อรับจ้างซึ่งพลขับแต่ละคนต่างก็ไม่ค่อยจะมีระเบียบและเอาแต่ใจตนเองใช้ได้ระดับหนึ่งทีเดียว เรียกว่านึกจะเลี้ยวก็เลี้ยว นึกจะจอดก็จอด แต่ถึงแม้จะไม่มีทั้งตำรวจจราจร ไม่มีตำรวจบ้าน ไม่มีทั้งตำรวจที่เอาไว้ดูแลหรือบริการนักท่องเที่ยวเช่นนี้ เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ พวกเรา(หรืออาจจะรวมถึงนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ด้วย) กลับไม่รู้สึกเลยว่าการไร้ซึ่งคนที่เรียกตนเองว่า "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" นี้จะทำให้เกิดความรู้สึกถึงอันตราย
ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงในบ้านเราเอง ยิ่งเห็นคนพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน เมื่อไหร่ก็ตามที ความอบอุ่นใจ ความสนุก ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งลดน้อยหายลงไปเท่านั้น
คงไม่ต้องบอกมั้งครับว่าทำไม?
ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขของผู้เสียชีวิต- ผู้บาดเจ็บ รวมไปถึงทรัพย์สินต่างๆ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ (สาเหตุหลักยังคงอยู่ที่เรื่องของการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์) ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ของรอยต่อระหว่างปี 2548 - 2549 ทั้งๆ ที่มีการรณรงค์กันอย่างหนัก (และทั้งๆ ที่สังคมเราหันมาพูดกันถึงเรื่องของสังคมที่ต้องการให้คนมี "ศีล" ตามแบบอย่างของผู้นำ), เรื่องของเหตุการณ์ความรุนแรงทางภาคใต้ที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง, เหตุการณ์ไฟไหม้โรงเรียนในแถบภาคเหนือและอีสานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน, เรื่องของความขัดแย้งของประชาชนกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐฯ
ที่ช็อกความรู้สึกของใครหลายต่อหลายคนมากที่สุด ก็คือเหตุการณ์การระเบิดถึง 8 จุดในกรุงเทพมหานครฯ ของคืนวันที่ 31 ธันวาคม ที่ได้ส่งผลกระทบตามมาหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขราคาหุ้นที่ลดลงรวมไปถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัยและการตื่นตระหนกของประชาชนโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ ณ เมืองกรุงแห่งนี้
แต่ในขณะที่เรื่องร้ายๆ และเหตุการณ์ความวุ่นวายเหล่านี้นับวันจะกลายเป็น "เชื้อโรค" ที่ต้องใช้ความรัก ความสามัคคี ความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจความเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองของประชาชนคนไทยเป็น "ยา" ทำลาย ทว่ากลับมีคน "กลุ่มหนึ่ง" ฉกฉวยเอาสถานการณ์ที่ว่านี้มาหาผลประโยชน์ใส่ตัวอย่างน่ารังเกียจเป็นที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหน้าเดิมๆ ที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าคะแนนเสียง, นักวิชาการที่อ้างว่าตนเองเป็นนักประชาธิปไตยเต็มขั้น, นายทหาร - นายตำรวจที่ออกข่าวให้สัมภาษณ์ราวกับว่าตนเอง "รู้ดี" ว่าอะไรเป็นอะไร ใครทำ ใครสั่ง เพราะอยากดัง (แต่ท้ายที่สุดสังคมก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากคนพวกนี้) หรือแม้กระทั่งพวก "ป่วนเมือง" ทั้งหลายที่เห็นความวุ่นวายของเจ้าหน้าที่ - คนในสังคมเป็นเรื่องสนุก - สะใจ
ที่น่าเศร้าใจก็คือ "ระบบความคิด" ของเด็กในบ้านเราบางคน ที่กล้าแม้กระทั่งจะโทรไปโกหกเจ้าหน้าที่ฯ ว่าที่โรงเรียน(ตนเอง)มีการวางระเบิด เพียงเพราะเห็นเพื่อนโรงเรียนอื่นๆ ซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์รูปแบบเดียวกันนี้ได้กลับบ้านโดยไม่ต้องเรียนหนังสือ!! และที่น่าเศร้ายิ่งขึ้นไปอีกก็คือ จนถึงวันนี้(8)ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาแถลงข่าวต่อเหตุการณ์บึ้มเมืองกรุงในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาว่า...ถึงตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเองแทบจะไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างไรในการที่จะไปจับกุมหรือดำเนินการเอาผิดต่อผู้ก่อเหตุดังกล่าว
ทั้งหลายทั้งปวงของปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งจะว่าไปแล้วก็คงจะมาจากสาเหตุของคนในบ้านเราเองที่ค่อนข้างจะอ่อนแอทางด้านศีลธรรม ขาดจิตสำนึกที่ดี ไร้ซึ่งความเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการไม่รู้จักสะกดคำว่า "พอ" ต่อลาภ ยศ คำเยินยอ ทรัพย์ - สมบัติ อันเป็นจุดที่มาของการ "เอาเปรียบ" (มาก - น้อยนั้นขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานะของแต่ละคน) ที่น่ากลัวก็คือดูเหมือนว่านับวันคนจำพวกนี้จะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งชวนให้วิตกเป็นอย่างยิ่งต่อสภาพการคงอยู่ร่วมกันอย่าง "ผาสุข" และอนาคตของสภาพสังคมบ้านเรา
จริงอยู่ที่ว่า ณ เวลานี้มันอาจจะยังไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เกิดการล่มสลายในเร็ววัน แต่เอาแค่ปัจจุบันกับการมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง หวั่นวิตกเช่นนี้ ถามหน่อยว่าใช่สังคมที่เราต้องการแล้วหรือ?
หลายคนน่าจะมีคำตอบอยู่แล้วในใจ หรือแม้กระทั่งวิธีการที่จะจัดการกับเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นเองก็ตามที
ถามความคิดเห็นโดยส่วนส่วนตัว ผมเชื่อว่าความเลว ความชั่ว ความเห็นแก่ตัวเพราะมองแต่ความสุขสบายของตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้แข็งแกร่งหรือแข็งแรงขึ้นหรอกครับ
เพียงแต่ที่ปัจจุบันมันค่อนข้างจะโดดเด่นจนก่อให้เกิดความวุ่นวายหลายอย่างก็เพราะว่าเรายอมให้ ความดี ความเอื้อเฟื้อ ความเสียสละ ในตัวเราอ่อนแอลงต่างหาก....
เห็นบรรยากาศของบ้านเมืองเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยทหาร - ตำรวจ ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด รัฐสภา ตึกใหญ่ๆ สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ฯลฯ นัยว่าเพื่อป้องกันเหตุร้ายไม่ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ให้นึกไปถึงความรู้สึกเมื่อครั้งที่ผู้เขียนพร้อมกับเพื่อนๆ สะพายเป้ไปเที่ยวเมืองหลวงพระบางของประเทศลาวช่วงก่อนปีใหม่ที่ผ่านมาไม่ได้ (ใครอยากได้บรรยากาศท่ามกลางสายน้ำและขุนเขาที่สนุกแบบเบื่อนิดๆ หนาวมากๆ แนะนำว่าให้เดินทางทางเรือโดยสารของลาว จากท่าห้วยทราย – ปากแบ่ง – หลวงพระบาง รวมระยะเวลา 2 วัน 1 คืนในช่วงประมาณเดือนธันวาคมดู รับรองถูกใจแน่นอนครับ)
นอกจากจะเป็นสินค้ายอดฮิตของนักท่องเที่ยว(โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบ้านเรา)ทั้งประเภทสะพายเป้ กรุ๊ปทัวร์ ทัวร์คนแก่ ทัวร์คนมีเงิน และสารพัดทัวร์แล้ว หลายปีที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านของเราประเทศนี้ยังถือได้ว่าเป็นแหล่งเงิน - ทองของนักธุรกิจแขนงต่างๆ และด้วยเหตุผลที่ว่านี้เองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ "จุดขาย" อันมาจากเสน่ห์ของความ "ดิบ" ทั้งในเรื่องของสภาพภูมิอากาศ - ประเทศ สังคม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของลาวเองต้องเผชิญกับการท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดมา
การเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวที่สุดในความรู้สึกของทางการลาวและจากการพูดคุยกับเพื่อนคนลาวที่ทำงานหนังสือพิมพ์อยู่ก็คือการเข้ามาของแฟชั่น ค่านิยม ผ่านรายการทีวีจากประเทศไทยในรูปแบบของละคร ภาพยนตร์ เพลง มิวสิกวิดีโอ ฯลฯ หลายต่อหลายช่องทั้งฟรีทีวี รวมถึงเคเบิ้ลทีวี ที่วัยรุ่นจำนวนมากของเขาให้ความนิยม(โดยแทบจะไม่แตะทีวีช่องเดียวของประเทศตนเอง)กระทั่งยึดเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งการด้านแต่งกาย เพลง ท่าเต้น โดยมองว่านี่คือความโก้เก๋และทันสมัย
จะว่าไปแล้วก็คงจะเหมือนกับสังคมทุกๆ สังคมที่ต้องเผชิญกับห้วงกระแสธารของกาลเวลาที่ไหลเข้ามาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งยากจะหลีกเลี่ยงการกระทบกันของคลื่นลูกเก่ากับคลื่นลูกใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าสังคมไหนจะหา "จุดร่วม" ที่พอใจของทั้งสองฝ่ายโดยไม่ทำลายซึ่งกันและกัน
บรรยากาศของหลวงพระบางในยามค่ำคืนที่พวกเราไปเยือนในเธคที่ชื่อ "ดาวฟ้า" ซึ่งมีวัยรุ่นหญิงใส่สายเดี่ยวสวมกางเกงยีนส์แทนผ้าซิ่น วัยรุ่นชายรวมทั้งเพศที่ 3 รวมตัวกันขี่มอร์เตอร์ไซค์เข้ามา ดื่ม กิน ภาพของเด็กหนุ่มสาวออกมายืนซบกอดกันเป็นคู่ๆ กลางฟลอร์ในเพลงช้าๆ หรือเต้นกันอย่างสนุกสนานในจังหวะแดนซ์ แม้จะอารมณ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพแห่งความสงบของวัด และความน่าศรัทธาของพระจำนวนมากเกือบจะ 300 รูปที่ออกมาบิณฑบาตรในยามเช้า...แต่มันก็คือสถานที่เดียวกัน คนสังคมเดียวกัน
ลาวในวันนี้จะว่าไปแล้วคงไม่ผิดอะไรนักกับสาวใจแตก! หากแต่เป็นการแตกที่ต้องบอกว่าเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ที่สำคัญถึงจะแตกอย่างไรแต่ก็ไม่สามารถทำให้เอกลักษณ์ที่น่ารักของเขาแตกตามไปด้วย (ยกตัวประเพณีการเต้นท่าเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงของคนลาวที่เข้าไปเที่ยวในเธค คาราโอเกะ หรือจะเป็นลานเบียร์ ที่เรียกกันว่า "บัสสโลบ")
มองด้วยตาเปล่าเราอาจจะสรุปเอาเองว่าคนที่นี่ขี้เกียจ ไม่มีความฝัน ไม่มีความทะเยอทะยาน สภาพบ้านเมืองถนนหนทางยังดูล้าหลัง ไม่ทันสมัย แต่ลึกๆ จากใจจริงอย่างน้อยผมคนนึงละครับที่ค่อนข้างจะรู้สึกอิจฉาในความเรียบง่ายแต่มากด้วยความปลอดภัยและความปรองดองซึ่งกันและกัน น้อยครั้งที่จะมีการทะเลาะเบาะแว้งหรือเหตุอาชญากรรมเช่นนี้ (ยิ่งน่าเจ็บใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมาคิดว่าแต่ก่อนเราเองก็ "เคย" เป็นเช่นนั้นมาก่อน)
เชื่อมั้ยครับว่า ช่วงระยะเวลาของการเที่ยว 4 วัน ในตัวเมืองหลวงพระบาง ผมเห็นตำรวจเพียงครั้งเดียว และคนเดียวเท่านั้น(กำลังทำหน้าที่ขี่รถจักรยานยนต์นำหน้ารถยนต์ที่คาดว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล)
ทั้งที่จะว่าไปแล้วสภาพการจราจรที่หลวงพระบางก็ค่อนข้างวุ่นวายเอาการทีเดียว บนถนนที่ทางแยกไม่มีสัญญาณไฟ มีทั้งชาวบ้านที่ออกมาวางของขาย รถจักรยานยนต์ รถสามล้อรับจ้างซึ่งพลขับแต่ละคนต่างก็ไม่ค่อยจะมีระเบียบและเอาแต่ใจตนเองใช้ได้ระดับหนึ่งทีเดียว เรียกว่านึกจะเลี้ยวก็เลี้ยว นึกจะจอดก็จอด แต่ถึงแม้จะไม่มีทั้งตำรวจจราจร ไม่มีตำรวจบ้าน ไม่มีทั้งตำรวจที่เอาไว้ดูแลหรือบริการนักท่องเที่ยวเช่นนี้ เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ พวกเรา(หรืออาจจะรวมถึงนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ด้วย) กลับไม่รู้สึกเลยว่าการไร้ซึ่งคนที่เรียกตนเองว่า "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" นี้จะทำให้เกิดความรู้สึกถึงอันตราย
ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงในบ้านเราเอง ยิ่งเห็นคนพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน เมื่อไหร่ก็ตามที ความอบอุ่นใจ ความสนุก ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งลดน้อยหายลงไปเท่านั้น
คงไม่ต้องบอกมั้งครับว่าทำไม?