น่าจับตาทีเดียวสำหรับความเปลี่ยนแปลงทางหน้าจอทีวีในช่วงปีหมู พ.ศ.2550 นี้
เพราะนอกจากจะเป็นช่วง "ปกติ" ของห้วงระยะเวลาที่แต่ละช่องแต่ละสถานีฯ จะมีการปรับเปลี่ยนการนำเสนอรายการของตนเองอยู่แล้ว ต้องถือว่ากรณีการเกิดเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจากการเข้าทำการปฏิวัติต่อรัฐบาล "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ด้วย 4 ข้อหาร้ายแรงทั้งการคอรัปชั่น, การจวบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์, ประชาชนคนในสังคมเกิดความแตกแยกและการเข้าแทรกแซงองค์กรต่างๆ โดยคณะคมช.เองก็ได้มีผลต่อ "รูปแบบ" ของการเปลี่ยนแปลงที่ว่าอยู่มิใช่ไม่น้อย
เริ่มกันที่ช่อง 3 ปีซึ่งในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าสถานีโทรทัศน์ช่องนี้จะมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางด้านตัวเลขผลกำไรและการตอบรับจากผู้บริโภคทีวีที่ค่อนข้างเป็นไปในทิศทางที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของทีวีช่องอื่นๆ แม้ภาพโดยรวมของตัวเลขเรตติ้งที่ออกมาถึงความนิยมที่ยังไม่สามารถแซงแชมป์อันดับที่หนึ่งอย่างช่อง 7 ได้ก็ตาม
ปีนี้ช่อง 3 ตัดรายการเก่าออกไปเยอะพอสมควร โดยเฉพาะรายการที่ผลิตโดยบ.ลักษณ์ ของ 2 พี่น้องตระกูล "แมคอินทอช" อย่าง "วิลลี่ - คัทลียา" ร่วมกับ "หอย เกียรติศักดิ์" และ "เปิ้ล นาคร" แต่ที่เป็นที่สนใจของคนส่วนใหญ่ก็คือข่าวลือของการเข้ามานั่งเก้าอี้ตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายข่าวของ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" รวมไปถึงการที่เจ้าตัวได้เวลาไปทำรายการ "เรื่องเล่า - เสาร์ อาทิตย์" ในเวลา 11.00 น. คู่กับ "สู่ขวัญ" เพิ่มขึ้นมา
นอกจากนี้ ในส่วนของรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ที่ "สรยุทธ" จัดอยู่ในตอนเช้าวันจันทร์ - ศุกร์เองก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ด้วยการดึงเอาบุตรชายของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างหนุ่ม "ปลื้ม ณัฐกรณ์ เทวกุล" มานั่งพูดคุยเรื่องความเคลื่อนไหวจากต่างประเทศทั้งในส่วนของข่าวบันเทิงรวมทั้งเรื่องของการเงิน เศรษฐกิจต่างๆ ในทุกวันอังคารและพฤหัสบดี ซึ่งน่าจับตาดูเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยสไตล์การพูดจาด้วยความมั่นใจแบบนักเรียนนอกของทายาทผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนนี้ซึ่งยอมรับว่าตนเป็นคน "ไฮเปอร์" และ "อยากดัง" อย่างมีสาระจะสามารถเข้าขากับพิธีกรดังได้มากน้อยเพียงใด
มากันที่ช่อง 5 ด้วยความที่ถือได้ว่าเป็นช่อง "ทหาร" ในยุคที่ทหารค่อนข้างจะมีอำนาจในการสั่งการนี้เองที่ทำให้ทีวีช่อง 5 ดูจะมีความคึกคักขึ้นมาทันที โดยเฉพาะในเรื่องของ "ข่าว" ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าค่อนข้างจะมีความหลากหลายและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของที่เป็นสกู๊ปพิเศษและการรายงานที่ค่อนข้างจะฉับไว (แม้หลายฝ่ายจะมองว่าเอื้อให้กับคนในเครื่องแบบทั้งหลายในการสร้างภาพทางบวกก็ตาม) รวมถึงการเข้าไปจับมือกับทีมข่าวเนชั่นทีวี ร่วมผลิตรายการ "สยามเช้านี้" ออกอากาศสดทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 06.15-07.25 น. นำโดย เทพชัย หย่อง, ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์, จอมขวัญ หลาวเพ็ชร และ มนัส ตั้งสุข ขณะที่ภาคบันเทิงเองที่ถูกตัดไปเสียเหี้ยนก็คือค่ายอาร์เอสฯ โดยมีรายการใหม่เอี่ยมของบ.โพลีพลัสเข้ามา อาทิ "ทีเด็ด...จัง" (วันพุธ 21.20 น.) และ "บัลลังก์ดาว" (วันอังคาร 22.15 น.)
ช่อง 7 ต้องบอกว่ายังคงกินบุญและชื่อเสียงเก่าๆ อยู่ ปีนี้ไม่ค่อยจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่หวือหวามากนัก ที่เด่นๆ เห็นจะเป็นการจับมือกันให้แน่นขึ้นไปอีกระหว่าง "เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล" แห่ง "เวิร์คพอยท์" กับ “ชาลอต โทณวณิก” ในชื่อของ “เวิร์คมีเดีย” ทำรายการใหม่ที่ชื่อว่า“มหานคร” ในรูปแบบของวาไรตี้ออกอากาศ 2 ชั่วโมงเต็มชนกับ “ตีสิบ” ของช่อง 3 โดยดึงเอา "น้องเดียว" จากรายการ "เกมทศกัณฐ์" มาหวังแจ้งเกิดกับ 4 พิธีกร กนก รัตน์วงศ์สกุล(ที่ทำรายการ "จมูกมด" อยู่แล้วในช่วงทุกๆ เช้า), เชียร์ ทิฆัมพร, หม่ำ จ๊กมก และธงชัย ประสงค์สันติ ออกอากาศให้เห็นไปแล้วเมื่อคืนวันอังคารที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเนื้อหาและบรรยากาศโดยรวมถือว่ายังไม่มีอะไรที่แแปลกใหม่พอที่จะ "โดน" สักเท่าไหร่
เพราะเหตุที่พิธีกรที่เคยเรียกแขกและสร้างเรตติ้งได้อย่าง "สรยุทธ" ไม่ยอมต่อสัญญานั่นเองที่ทำให้หลายฝ่ายจับตาดูว่าจะมี "ใคร" มาแทนรายการในช่วงเวลาที่เขาจัดอยู่ ทั้ง "คุยคุ้ยข่าว" และ "ถึงลูกถึงคน" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี...
ผลที่ออกมาก็คือ รายการ “คุยคุ้ยข่าว” ถูกเปลี่ยนเป็นรายการ "ข่าวข้น คนข่าว" โดยดึงเอา 2 คนข่าวจากเนชั่นฯ "กนก รัตน์วงศ์สกุล" กลับมานั่งที่เดิมคู่กับคู่หู "ธีระ ธัญไพบูลย์" ซึ่งแม้ทั้งคู่จะดู "หน้าช้ำ" ไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าขี้เหร่สักเท่าไหร่ ผิดกับรายการที่มาแทนในช่วงเวลาของรายการ "ถึงลูกถึงคน" เดิมซึ่งต้องลุ้นกันว่าจะไปรอดหรือเปล่ากับ 5 รายการที่มีผู้หญิงนำ ไล่ไปตั้งแต่ คืนวันจันทร์กับ "จันทร์ชวนคิด" โดยคนของโมเดิร์นไนน์ฯ เอง อย่าง "อรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล" กับ "หมอนิด กิจจา ทวีกุลกิจ" วันอังคารโมเดิร์นไนน์ฯ ผลิตรายการร่วมกับสำนักข่าวเนชั่นชื่อรายการ "จุดชวนความคิด" โดย "วีณารัตน์ เลาหภคกุล"
ถัดมาวันพุธเป็นรายการ "ผู้มาเยือน" สไตล์ตามถนัดของบ.ทีวีบูรพาที่สะท้อนเรื่องราวต่างๆ ในสังคมผ่านรายการทอล์กโชว์ วันพฤหัสฯ เป็น "คน คม คิด" ดำเนินรายการโดย "อ้อ กฤติกา คงสมพงษ์" และที่ฮือฮาปิดท้ายวันศุกร์ก็คือการทำหน้าที่ของอดีตสส.พรรคชาติไทย "แบม จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์" ในรายการ "เธอถึงเธอ" ซึ่งจะเน้นไปที่การแบ่งปันประสบการณ์ความคิด และบอกเล่าปัญหาของผู้หญิงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
ด้านช่อง 11 ของกรมประชาสัมพันธ์หลังปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานมาเป็นในรูปแบบที่เรียกว่า “ทีวีสาธารณะ” โดยเปิดให้ประชาชน องค์กรต่างๆ สามารถนำรายการที่ผลิตขึ้นมาขอใช้สื่อได้โดยไม่เสียค่าเช่าเวลามากขึ้นก็ยังไม่ถือว่ามีอะไรที่เห็นเด่นชัดมากนัก ส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะการอ่อนด้อยในเรื่องของการโฆษณาและประชาสัมพันธ์นั่นเองซึ่งน่าเสียดายในทรัพยากรทั้งที่เป็นบุคคลและเครื่องไม้เครื่องมือเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ดูน่าห่วงที่สุดก็คือ "ไอทีวี" ทีวีของกองทุนเทมาเส็กจากประเทศสิงคโปร์
เพราะหลังจากที่มีข่าวฮือฮากรณีคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดที่มีผลให้ทีวีช่องนี้ต้องเสียเงินค่าปรับให้กับ สปน.คู่กรณีเกือบจะแสนล้านบาทกระทั่งเป็นเหตุให้พนักงานบางส่วนออกมาสวมเสื้อขาว ร้องห่มร้องไห้ ประท้วงรัฐบาลไปแล้ว หลังจากนั้นทางไอทีวีเองก็ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรที่เป็นรูปธรรมสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อข้อสัญญาในเรื่องของการออกอากาศที่ถูกกำหนดไว้ว่าไอทีวีจะต้องออกอากาศรายการที่เป็นข่าวหรือรายการที่มีสาระในอัตราส่วน 70% ต่อรายการบันเทิง 30% ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเสียค่าปรับดังกล่าวนั่นเอง