xs
xsm
sm
md
lg

10 ข่าวร้อนบันเทิงเทศ 2006 (2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อันดับที่ 5 วิวาห์สีขาวของสาว "นิโคล"

หลังจากตกเป็นข่าวเมาท์มาตลอด 2 ปีที่ทั้งคู่ควงกัน ในที่สุดดาราสาวผิวขาวเนียนสวย "นิโคล คิดแมน" และหนุ่มคันทรีบ้านเดียวกันอย่าง "คีธ เออร์บัน" ก็กลายเป็นของกันและกันในที่สุด

หลังจากถูกสามีเก่าอย่างทอม ครูสตีจากทั้งๆ ที่ตั้งท้องได้ 3 เดือน เพียงไม่กี่วันก่อนฉลองครบรอบแต่งงาน 10 ปี จนเป็นเหตุให้แท้งลูกในที่สุด ชีวิตรักของสาวนิโคลก็ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด ทั้งข่าวเมาท์ว่าไปกิ๊กกับจู๊ด ลอว์ในกองถ่ายจนทำบ้านเขาแตกบ้าง (ซึ่งสาวนิโคลชนะในการฟ้องกลับ แล้วนำค่าเสียหายไปเลี้ยงเด็กกำพร้าที่โรมาเนีย) รวมทั้งข่าวกุ๊กกิ๊กกับนักแสดงหน้าผอมอย่างเอเดรียน โบรดีอีก ซึ่งก็ไม่มีใครยืนยันเรื่องดังกล่าวได้ จนกระทั้งเธอมาควงกับร็อกเกอร์เสน่ห์แรงอย่างเลนนี คราวิทซ์ในช่วงปี 2004

ขณะที่คีธ เออร์บัน เคยแต่งงานมาแล้วกับลอรา ซิกเลอร์ สัตวแพทย์สาวเมื่อปี 2001 หลังจากที่คบๆ เลิก ๆ มากว่า 8 ปี เนื่องจากเขาประกาศเลิกเหล้าและมุ่งหน้าออกอัลบั้มชุดแรกจนสาวเจ้าตายใจ แต่ทั้งคู่ก็ต้องหย่ากันในปีต่อมาเนื่องจากเขากลับไปติดเหล้าอีก หลังจากนั้นเขาก็คบๆ เลิกๆ กับนางแบบสาวนิคกี เทย์เลอร์ และเลิกกันในปี 2005

จนกระทั้งทั้งสองได้มาพบกันในงานเลี้ยงเมื่อต้นปี 2005 และเริ่มควงกันนับแต่นั้น จนกระทั้งวันอาทิตย์ที่ 25 มิ.ย. 2006 ทั้งสองซึ่งมีอายุ 39 เท่ากันก็ได้เข้าพิธีวิวาห์กันที่บ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งมีแขกเป็นคนดังชาวออสซีเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง นับเป็นงานวิวาห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรเลียทีเดียว
แล้วยังไงต่อ...

ภาพงานแต่งที่สุดประทับใจของทั้งคู่ยังไม่ทันเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน แต่ความจริงในการใช้ชีวิตคู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อ 4 เดือนให้หลังจากที่ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน ความจริงที่ว่าหนุ่มคีธยังคงเป็นสิงห์กรำสุราก็เริ่มปรากฏ เมื่อสาวนิโคลเป็นคนพาสามีของตัวเองไปเข้ารับบำบัดอาการติดเหล้าด้วยตัวเอง (ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายชายน่าจะทำตั้งแต่ก่อนแต่งแล้ว) ที่นอกจากจะส่งผลต่อชีวิตคู่แล้ว ยังส่งผลถึงการระงับโปรแกรมออกเดินสายโปรโมทผลงานชุดใหม่ที่กำลังจะออกจำหน่ายในตอนนั้นด้วย

ยังโล่งใจอยู่อย่างที่หนนี้ดูท่าทางหนุ่มคีธจะจริงจังกับการงดเหล้าของเขาเสียที เพราะไม่อย่างนั้นถึงแม้จากการจัดอันดับล่าสุดที่มีการยกให้สาวนิโคลเป็นดาราสาวที่มีค่าตัวสูงที่สุดในวงการที่รายได้ 17 ล้านเหรียญต่อหนังหนึ่งเรื่อง แต่มาได้สามีขี้เหล้าก็คงไม่ไหวเหมือนกัน เพราะถึงเงินไม่หมดไปกับขวดเหล้า ก็ต้องมาเฝ้าเลี้ยงสามีตับแข็ง!

...แฟนๆ สาวนิโคลต้องเอาใจช่วยกันหน่อย

********************
อันดับที่ 4 "ซูริ" และการกลับมาของ "ทอม ครูส"

ปี 2005 ถึงปี 2006 ถือเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงที่สุดของทอม ครูส แต่ใครจะเชื่อว่าพระเอกอย่างเขาจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ในที่สุด

การถูกนักข่าวเอาปืนฉีดน้ำล้อเล่นเมื่อปีก่อน ไม่ทำให้เขาฉาวได้มากไปกว่าการที่เขาไปกระโดดลิงโลดบนโซฟาในรายการของโอปราห์ วินฟรีย์ เพื่อแสดงความรักที่มีต่อแฟนสาว(กว่ามาก)อย่างเคที โฮล์มส์ ซึ่งอาการเวอร์ดังกล่าวทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าเขากำลังแสดงเป็นตัวละครอะไรให้เราดูอยู่หรือเปล่า จนคำว่า Jumping the Couch กลายเป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกอาการของคนที่สติ "หลุด" ในที่สาธารณะไปเลย

ยังไม่นับการเป็นไซแอนโทโลจีสที่เคร่งครัดขนาดไปวิจารณ์ชาวบ้านชาวช่องเสียๆ หายๆ ผิดกับเวลาไปเปิดตัวหนังที่แทบจะไม่พูดถึงอะไรเลยนอกจากแฟนสาวสุดที่รัก ซึ่งวิธีการรักโปรโมทนี้พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวเพราะผลงานชิ้นล่าสุดอย่าง MI:3 ก็ล้มเหลวขนาดที่ถอนทุนจากรายได้ในอเมริกาไม่ได้ด้วยซ้ำ (ทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญ แต่ทำรายได้ไป 133 ล้านเหรียญ) เป็นเหตุให้ทางพาราเมาท์ค่ายยักษ์ใหญ่ที่ร่วมงานกับหนุ่มทอมมานานทนไม่ไหวปฎิเสธที่จะต่อสัญญาใหม่กับบริษัท Cruise/Wagner Productions ของทอมที่ร่วมงานกันมากว่า 14 ปีแบบไม่มีเยื่อใย

อย่างไรก็ดี แม้เรื่องฉาวๆ ดังกล่าวจะส่งผลให้การสำรวจเมื่อช่วงที่ผ่านมาส่งให้เขามีชื่อติดอยู่ในอันดับที่ 4 ของ สุดยอดคนอเมริกันหน้าโง่และครองแชมป์สุดยอดดาราน่ารำคาญของนิตยสารเอมไพร์ แต่จากการจับอันดับคนดังที่มีอิทธิพลสูงสุดของวงการ หนุ่มทอมก็ทะลวงเรื่องฉาวต่างๆ กลับมาคว้าแชมป์ไปได้อยู่ดี

แต่แสงสว่างก็กลับมาเกิดกับทอม ครูสอีกครั้ง เมื่อการมาถึงของลูกสาวของเขากับเคที ที่ชื่อว่า "ซูริ" เมื่อเดือนเม.ย ได้ทำให้เขากลับมาเป็นข่าวหน้าหนึ่งด้วยเรื่องในแง่บวกอีกครั้ง โดยใช้โอกาสในการเปิดตัวลูกสาวในไม่กี่เดือนต่อมาในการเปิดใจถึงเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นที่ไม่ถูกกับบ้านของฝ่ายหญิงให้หมด จนทำให้งานแต่งที่หลายคนลุ้น ๆว่าจะล้มนั้นมีความเป็นไปได้อีกครั้ง แถมยังเรียกคะแนนสงสารได้เป็นกำ หลังจากไปขอโทษบรู๊ค ชีลด์สที่เคยด่าออกสื่อถึงที่บ้าน จนสาวเจ้าใจอ่อนไปเป็นแขกในงานแต่งของเขาด้วย
และเมื่อได้รังใหม่อย่างยูไนเต็ด อาร์ทิสต์เป็นที่ผลิตผลงานเรียบร้อยแล้ว เขาจึงจูงแฟนสาวอย่างสาวเคทีไปแต่งด้วยกันที่ปราสาทสุดหรูในอิตาลีเมื่อพ.ย ที่ผ่านมา และสานต่อพิธีวิวาห์แสนหวานนั้นด้วยการไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ด้วยเรือยอร์ชส่วนตัว นับเป็นการกลับมาปิดฉากปี 2006 ได้อย่างสวยงามตามแบบฉบับพระเอกอมตะอย่างเขา

แล้วยังไงต่อ...

แม้การวางแผนแต่งงานที่หลังจะดูเหมือนเป็นการหัวเราะทีหลังดังกว่า แต่ตามรายงานของ Google เมื่อเร็วๆ นี้พิสูจน์แล้วว่าผู้คนสนใจในข่าวงานแต่งของสาวนิโคล อดีตภรรยาของเขามากกว่า เช่นเดียวกับภาพถ่ายของลูกสาวสุดที่รักที่ทาง Vanity Fair ซื้อสิทธิ์ในการตีพิมพ์ไปได้นั้น มูลค่าก็น้อยกว่าภาพของสาว "ไชโลห์ นูเวล" ของคู่รักแบรนเจลินาเป็นไหนๆ

แต่แฟนๆ ของพี่ทอมไม่ต้องกลัวไป เพราะถ้าข่าวลือตามหนังสือพิมพ์หัวสีทั้งหลายเป็นจริง ที่ว่าผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกประเดิมค่ายใหม่ของเขาจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับลัทธิไซแอนโทโลจี ที่จะได้ภรรยาของซี้ใหม่อย่างวิคตอเรีย เบ็คแฮม มาเล่นเป็นเมียของผู้นำเอเลียน ที่ชาวไซแอนโทโลจีสเชื่อว่าเป็นดวงวิญญาณอมตะ รับรองว่าได้เป็นข่าวใหญ่ประจำปีหน้าอย่างแน่นอน

...เรื่องเป็นข่าวเวอร์ๆ พี่ทอมเรารับประกันความผิดหวังอยู่แล้ว

********************
อันดับที่ 3 จุดจบของแมงดา! และการกลับมาของบริทนีย์?

ถ้าตำแหน่งคนสร้างข่าวฝ่ายชายคือทอม ครูส ฝ่ายหญิงก็คงเป็นของใครไม่ได้นอกจากอดีตเจ้าหญิงเพลงป็อป บริทนีย์ สเปียร์ส

เพราะแค่เรื่องต่างๆ ที่เธอทำมาในรอบปีก็พอจะส่งให้เธอมาอยู่ในลิสต์ได้อยู่แล้ว ทั้งเรื่องการเป็นคุณแม่จอมสะเพร่า หลังจากถูกถ่ายภาพว่าเอาลูกชายตัวน้อยอย่างณอน เพรสตันไปนั่งบนตักขณะที่ตัวเองกำลังขับรถ และเกือบทำลูกตกหัวฟาดพื้นหลังจากที่เธออุ้มเขาแค่มือเดียว ด้วยมืออีกข้างที่ไม่ว่างเพราะถือแก้วน้ำอยู่ ซึ่งเธอออกมาแก้ตัวเรื่องนี้ว่าสมัยเธอเด็กๆ เธอก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างนี้ โดยชี้ว่ามันเป็นการเลี้ยงดูสไตล์บ้านๆ แถวๆ บ้านเกิดของเธอที่มิสซิสซิปปีและหลุยเซียนา

รวมทั้งการอุ้มท้องโย้ไปถ่ายนู๊ดขึ้นปกนิตยสาร Harper's Bazaar และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินปั้นรูปเธอกำลังให้กำเนิดลูกคนแรก ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างมากเพราะรูปปั้นดังกล่าวเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังให้กำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งจริงๆ แล้วทั้ง 2 ท้องของเธอเกิดจากการคลอดด้วยการผ่าตัด ซึ่งเธอเป็นผู้เลือกเพราะเธออ้างว่าเธอกลัวที่จะต้องเจ็บนั่นเอง

แต่ข่าวการเป็นคนแม่ลูกสองตั้งแต่ยังไม่ 25 หลังจากให้กำเนิดเจย์เดน เจมส์ ก็กลายเป็นข่าวเล็กไปเลย เมื่อเธอเป็นฝ่ายฟ้องหย่าพ่อของลูกทั้งสองของเธอหลังจากนั้นไม่นาน

ไม่ใช่เรื่องแปลกใจซักเท่าไหร่ที่คู่นี้จะเลิกกัน เพราะสื่อหลายๆ ฝ่ายต่างคาดเดากันไปในทางนี้ทั้งสิ้น แต่คงไม่มีใครคิดว่ามันจะออกมาในรูปนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ทุกคนเชื่อแล้วว่าเธอจะใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะคุณนายเฟเดอร์ไลน์จริงๆ เพราะเธอออกมาโต้ทุกๆ สื่อที่ลงว่าชีวิตสมรสของเธอกำลังจะมีปัญหา โดยย้ำอย่างหนักแน่นว่าชีวิตรักของเธอกับเควินเป็นไปด้วยดีเสมอมา แถมยังเพิ่มน้ำหนักด้วยการมีลูกกันเป็นคนที่ 2 ในการแต่งงานรอบ 2 ปีด้วย ซึ่งก่อนหน้านั้นทั้งสองก็เพิ่งจะจูงมือกันไปออกงานอย่างหวานทั้งงาน Teen Choice Awards และ MTV Video Music Awards อีกด้วย

ดูเหมือนจะมีการวางแผนการณ์มาอย่างดีอยู่แล้ว ทันทีที่หนุ่มเควินไปโปรโมทผลงานของตัวเองที่ประเทศแคนนาดา สาวบริทนีย์ก็ยืนฟ้องหย่ากับสามีผู้นี้ทันที โดยให้เหตุผลสุดฮิตว่าเกิดจากความแตกต่างที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ซึ่งหนุ่มเควินได้รับข่าวร้ายดังกล่าวจาก text message ของเขาเอง ซึ่งภาพการอึ้งกิมกีของเขาก็ถูกบันทึกแล้วไปปล่อยทางเน็ตให้ดูกันขำๆ ด้วย
หลังจากหย่ากัน สิ่งที่ทั้งคู่ต่อสู้กันในชั้นศาลก็คือสิ่งเดียวกันคือเรื่องลูก เพราะต่างต่อสู้ในการแย่งสิทธิ์ในการเลี้ยงดูแต่เพียงผู้เดียวกันทั้งคู่ ซึ่งฝ่ายบริทนีย์ซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วก็มีทนายมือดีคอยหนุนหลังเธอ ขณะที่หนุ่มเควินไม่มีอะไรจะสู้ได้แต่ขู่ว่าจะเอาคลิปโป๊หรือเขียนหนังสือแฉความเหลวแหลกของบริทนีย์ไปตามเรื่องตามราว

ส่วนในประเด็นเรื่องสินสมรสนั้น ฝ่ายเควินที่แต่แรกเหมือนหนูตกถังข้าวสาร(ที่ใหญ่มากๆ)คงต้องทำใจ เพราะสัญญาที่ทำไว้ก่อนแต่งส่งผลให้เขาได้รับสินสมรสจากการหย่าเป็นเงินแค่ 3 แสนเหรียญเท่านั้น ตามที่สัญญาระบุไว้ว่าเขาจะได้เงิน 3 แสนต่อปี จากครึ่งหนึ่งของจำนวนปีที่พวกเขาแต่งงาน (2 ปี) และได้ 50% จากรายได้ 7 ล้านเหรียญจากการขายอพาร์ตเมนต์ในมาลิบูที่ทั้งคู่เคยใช้เป็นรังรักด้วยกัน ส่วนของต่างๆ ที่สาวบริทนีย์ซื้อให้เขาในราคาที่ต่ำกว่าหมื่นเหรียญก็จะเป็นของเขาทั้งหมด

แล้วยังไงต่อ...

หลังจากข่าวการหย่าร้างนี้เผยแพร่ออกไป หลายๆ ฝ่ายก็พร้อมใจกันเอาใจช่วยสาวบริทนีย์กันอย่างถ้วนหน้า แต่สิ่งพฤติกรรมที่สาวบริทมีต่อกำลังใจเหล่านั้นก็คือการเลือกคบเพื่อนใหม่อย่างสาวไฮโซรอบจัด ปาริส ฮิลตัน และพากันออกตระเวนราตรีอย่างสนุกสนาน จนถูกตากล้องมือดีเอาภาพถ่าย "น้องสาว" ของเธอไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ให้คนเข้ามาดูความเหลวแหลกกันทั่วโลก จนคนต้องออกมาทักว่าพฤติกรรมเยี่ยงนี้อาจจะทำให้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตรของเธอต้องตกไปก็ได้ ซึ่งเธอก็ออกมาแก้ตัวให้ตัวเองอีกว่ามันเป็นแค่การออกมาสนุกกับเพื่อนๆ ซึ่งเธอไม่ได้ทำมานานแล้วสมัยอยู่กับเควินนั่นเอง

ขณะที่ฝ่ายเควินนั้น ตามรายงานแจ้งว่าเขากำลังจะปลูกบ้านที่ย่านฮอลลีวูด ฮิลส์ เพื่อตัวเขาและลูกๆ โดยจะมีห้องเฉพาะสำหรับทั้งฌอนและเจย์เดนทีเดียว รวมทั้งติดต่อเนอเซอรีให้กับลูกๆ แล้วด้วย แต่ในรายงานไม่ได้เอ่ยถึงห้องสำหรับลูกๆ ทั้งสองคนก่อนหน้านี้ของเขาทั้งโคลีและคาเล็บ ที่เกิดจากอดีตแฟนสาวชาร์ แจ็คแมนแม้แต่คำเดียว

...สงสารเด็กๆ จริงๆ

********************
อันดับที่ 2 อำลาอาลัย "คร็อกคอไดล์ ฮันเตอร์"

ทำเอาผู้คนทั่วโลกช็อกไปตามๆ กัน เมื่อ สตีฟ เออร์วิน พิธีกรรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมคนดังชาวออสเตรเลีย ผู้ที่มีชื่อเสียงในการใกล้ชิดกับบรรดาสัตว์ที่อันตรายมาแล้วนับไม่ถ้วน กลับมาเสียชีวิตจากสัตว์น้ำที่ปกติจะไม่ค่อยทำร้ายใครอย่างปลากระเบน

เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดเกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศออสเตรเลีย ในวันที่ 4 ก.ย. 2006 ซึ่งเออร์วินและคณะได้เดินทางไปที่ แบต รีฟ อันเป็นส่วนหนึ่งของเขตเกรต บาร์ริเออร์ ริฟ นอกชายฝั่งควีนส์แลนด์ เพื่อถ่ายทำสารคดีในที่ดังกล่าวในชื่อตอนว่า The Ocean's Deadliest แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่อำนวย เขาจึงเปลี่ยนแผนมาถ่ายทำฉากใต้น้ำตื้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายการที่ลูกสาวของเขาดำเนินรายการอยู่แทน

โดยในเหตุการณ์ดังกล่าวเออร์วินได้ลงไปว่ายน้ำโดยมีตากล้องคอยจับภาพเขาอยู่ข้างหน้า แต่ในบริเวณดังกล่าวเป็นที่อาศัยของเหล่าปลากระเบน ซึ่งหนึ่งในปลากระเบนดังกล่าวนั้นว่ายอยู่ข้างใต้ใกล้ๆ กับตัวของเออร์วิน ซึ่งหลังจากที่เขาเอามือไปโดยมันอย่างไม่ตั้งใจ เจ้าปลากระเบนตัวนั้นก็หยุดว่ายและเริ่มหมุนตัว หลังจากนั้นก็พุ่งหางที่มีปลายแหลมแทงเข้าที่หน้าอกของเออร์วินทันที

หางของมันที่มีความยาวประมาณ 10 นิ้วมีปลายแหลมที่คมกริบและมีพิษได้ทะลวงเข้าไปที่หัวใจของเออร์วินโดยตรง ก่อนที่เออร์วินจะดึงมันออกจากหน้าอกด้วยตนเอง

ทีมงานที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วยกันนำร่างของเออร์วินขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปยังศูนย์บำบัดที่ใกล้ที่สุด แต่ตอนที่ทีมแพทย์มาถึงสตีฟ เออร์วินก็เสียชีวิตแล้วด้วยอาการหัวใจหยุดทำงาน

ตามปกติแล้วปลากระเบนจะเป็นสัตว์ที่สงบเสงี่ยมไม่ทำร้ายใครก่อน จากภาพเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ได้แสดงให้เห็นว่าการกระทำของมันเป็นการป้องกันตัวจากความตกใจที่ทั้งตัวเออร์ วินและตากล้องมาอยู่ใกล้มันมากเกินไปนั่นเอง

ซึ่งพิษของปลากระเบนแม้จะสร้างความเจ็บปวดรุนแรง แต่ก็ไม่ถึงกับให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย แต่ในกรณีของเออร์วินเขาถูกแทงตรงเข้าที่หัวใจพอดี และที่หน้ากลัวกว่ากลับไม่ใช่การถูกแทง แต่เป็นตอนที่ดึงเอาเอาปลายแหลมออกมามากกว่า เพราะปลายแหลมเหล่านั้นจะมีเงี่ยงแหลมที่จะเกี่ยวถูกเนื้อของผู้เจ็บจนทำให้บาดแผลรุนแรงขึ้น ซึ่งสร้างความเจ็ดปวดเป็นอย่างมาก ซึ่งคาดกันว่าทั้งพิษและบาดแผลจากการถูกแทงที่ไปตัดเอาเส้นเลือดต่างๆ ในบริเวณหน้าอกจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเออร์วินนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์ได้เกิดขึ้นซ้ำรอยในไม่กี่เดือนต่อมากับชายคนหนึ่งในรัฐฟลอริดาที่ถูกหางปลากระเบนแทงเข้าที่หัวใจเช่นกัน แต่เขากลับมีชีวิตรอดทั้งๆ ที่ปลายแหลมยังแทงคาอกอยู่ จึงเป็นไปได้ว่าสาเหตุที่ทำให้เออร์วินต้องเสียชีวิตอาจจะมาจากการที่เขาดึงปลายแหลมออกมาจากอกนั่นเอง

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีคนพบซากปลากระเบนอย่างน้อย 10 ตัวที่นอนตายอยู่ชายฝั่งควีนส์แลนด์ ซึ่งทุกตัวต่างถูกตัดหางออกทั้งสิ้น จึงเป็นไปได้ว่าเกิดจากการกระทำเพื่อเป็นการแก้แค้นให้แก่เออร์วิน ซึ่งทางตัวแทนของเออร์วินได้ออกมาโจมตีต่อการกระทำดังกล่าวว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เออร์วินต้องการเลยแม้แต่น้อย

หลังจากข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเออร์วินได้ถูกเผยแพร่ออกไป ปฏิกิริยาของผู้คนทั่วโลกต่างรู้สึกช็อคและเสียใจต่อการสูญเสียกันอย่างถ้วนหน้า โดยเฉพาะในประเทศออสเตรเลียบ้านเกิด และในสหรัฐฯซึ่งเป็นที่ๆ มีแฟนรายการของเขาอยู่มากที่สุดด้วย
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ทางการออสเตรเลียได้จัดพิธีไว้อาลัยแก่เออร์วินอย่างยิ่งใหญ่ ภายในคร็อกโคเซียม อารีน่าสถานที่ที่เขาเคยจัดการแสดงนั่นเอง ซึ่งแขกในวันนั้นรวมไปทั้งเทอร์รีภรรยา และลูกๆ ทั้งสอง, จอห์น โฮเวิร์ด นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย แถมด้วยดาราฮอลลีวูดที่มาร่วมไว้อาลัยผ่านทางจอมอนิเตอร์ทั้ง เควิน คอสเนอร์, คาเมรอน ดิแอซ, รัสเซล โครว์, ฮิวจ์ แจ็คแมน, จัสติน ทิมเบอร์เลค และลาร์รี คิง ร่วมกับแฟนๆ อีก 5 พันคนที่มาร่วมไว้อาลัยเออร์วินเป็นครั้งสุดท้าย โดยในงานได้เว้นที่นั่งของเออร์วินเอาไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาด้วย

โดยล่าสุดออสเตรเลีย กำลังพิจารณาสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีที่ "คร็อกคอไดล์ ฮันเตอร์" ผู้นี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศออสเตรเลียอย่างมากมายนั่นเอง

แล้วยังไงต่อ...

การจากไปของเออร์วินอาจจะสร้างความเศร้าโศกให้กับหลายๆ คน แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคน โดยเฉพาะรายของแดน แมทธิวส์ รองประธานของหน่วยงานเพื่อสิทธิของสัตว์ ที่เผยว่าเขาไม่รู้สึกช็อคแต่อย่างใดที่เออร์วินสมควรจะตายจากการไปยั่วยุสัตว์ที่อันตรายอยู่เสมอๆ ซึ่งตลอดเส้นทางอาชีพของเขาที่ไปล้อเล่นกับสัตว์ป่าที่ดุร้ายเหล่านั้นเหมือนเป็นการส่งสารที่ผิดๆ แก่เยาวชนมากกว่า ซึ่งเมื่อเทียบกับนักสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อเสียงและมีความรับผิดชอบอย่างชาคส์ คูสโตแล้ว เออร์วินก็เป็นแค่นักแสดงรายการเรียลิตีโชว์คนหนึ่งเท่านั้นเอง

เช่นเดียวกับลูกชายของชาคส์ คูสโต ที่เป็นนักสิ่งแวดล้อมชื่อดังอีกคนอย่าง ฌอง-มิเชล คูสโต ก็ไม่เห็นด้วยกับการล่วงลำธรรมชาติมากเกินไปของเออร์วิน ซึ่งเขาเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติต่างๆ เราควรจะสัมผัสได้จากการเฝ้ามองดูเท่านั้น โดยชี้ว่าการแสดงโลดโผนของเออร์วินต่อบรรดาสัตว์ต่างๆ เป็นไปเพื่อสร้างจุดขายในรายการของเขาเท่านั้น ซึ่งเขาเชื่อว่ามันเป็นการสื่อสารที่ผิดๆ แก่ประชาชน

อย่างไรก็ดี ฟิลลิป คูสโต หลานชายของชาคส์ คูสโตที่เป็นหนึ่งในลูกทีมของเออร์วินนั้นมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เออร์วินต้องการทำก็คือปรับเปลี่ยนความเชื่อของผู้คนที่คิดว่าสัตว์พวกนี้เป็นพวกที่น่ากลัวดุร้ายอยู่ตลอดเวลา และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมันในระบบนิเวศนั่นเอง

จะอย่างไรก็แล้วแต่ ความขัดแย้งดังกล่าวเป็นสิ่งที่พอจะยอมรับได้สำหรับแฟนๆ ของเออร์วิน แต่บรรดาคนที่หาผลประโยชน์จากการตายของเขาบางรายก็ถูกสังคมวิพากษ์ไปแล้วไม่น้อยเช่นกัน ทั้งแร็ปเปอร์ แรส แคสส์ ที่แต่งเพลงเยาะเย้ยการตายของเขา, บิลล์ มาร์ พิธีกรดังที่หวังจะเรียกเสียงหัวเราะในงานฮัลโลวันจากการแต่งเสื้อสีกากีตามสไตล์ของเออร์วิน โดยมีปลากระเบนจำลองแทงเลือดอาบอยู่ที่หน้าอก และที่โด่งดังที่สุดได้แก่การล้อเลียนเขาในการ์ตูนกวนประสาท South Park ที่แม้มุกจะเด็ด แต่ก็ผิดกาลเทศะอย่างยิ่ง ซึ่งหลังจากถูกวิจารณ์ทั้งจากสังคมและคนในครอบครัวของเออร์วินไปแล้ว ผู้สร้างก็สนองกับกระแสดังกล่าวด้วยการเพิ่มฉากที่เกี่ยวกับเออร์วินเข้าไปอีก 2 ตอนซะเลย!

และที่มาตามคาดได้แก่แผนการสร้างหนังเกี่ยวกับตัวของเออร์วิน ซึ่งผู้ที่ออกมาปฏิเสธการรับบทคร็อกคอไดล์ ฮันเตอร์ไปเรียบร้อยได้แก่ รัสเซล โครว์ เพื่อนรักของเออร์วินนั่นเอง เพราะเขาไม่อยากจะได้ชื่อว่าหาประโยชน์จากการตายของเพื่อนรัก ส่งผลให้ความเป็นไปได้มาตกที่พระเอกหนุ่ม เอริค บานา ซึ่งตัวเออร์วินเคยเอยปากเองว่าอยากให้มาแสดงเป็นตัวเขาหลังจากที่เขาลาโลกนี้ไปแล้ว

...แต่แน่นอนว่า "คร็อกคอไดล์ ฮันเตอร์" จะมีแค่คนเดียวเท่านั้น

********************
อันดับที่ 1 ปรากฏการณ์ "ดาวินชี โคด"

ถ้า "แฮร์รี พ็อตเตอร์" คือนิยายที่โด่งดังที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ช่วงต้นศตวรรษที่ 21 นี้คงไม่มีงานเขียนเรื่องไหนจะโด่งดังไปกว่าผลงานของแดน บราวน์ นักเขียนอเมริกันอย่างเรื่อง "The Da Vinci Code" หรือ "รหัสลับดาวินชี" ไปได้

เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในงานเขียนที่ได้ชื่อว่า "ว่างไม่ลง" สมคำล่ำลือแล้ว สิ่งที่ทำให้มันโด่งดังจนเข้าขั้นอื้อฉาวได้แก่การพาดพิงถึงศาสตร์คริสต์ในหลายประเด็น โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่หนังสือยืนยันว่า จอกศักดิ์สิทธิ์คือแมรี แม็กดาลีน และเธอก็เป็นพระชายาของพระเยซูเจ้าด้วย

และเป็นอีกครั้งที่สื่ออย่างภาพยนตร์ได้แสดงให้เห็นถึงพลังในการสื่อสารของมัน เพราะประเด็นดังกล่าวที่อยู่ในหนังสือที่ตีพิมพ์มากว่า 3 ปีนั้นแทบจะไม่มีใครออกมาต่อต้านกับแนวคิดดังกล่าว แต่ทันทีที่ฉบับภาพยนตร์จะออกฉาย แรงต้านจากชาวคริสต์ทั่วโลกต่างพร้อมใจกันพุ่งเป้ามาที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เรื่องเดียวเลยก็ว่าได้

หลังจากกลุ่มโอปุส เดอีซึ่งออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้เขียนที่กล่าวหากลุ่มของตนในหนังสืออย่างผิดๆ ว่าพวกตนเป็นพวกที่หัวโบราณและโหดร้าย ทางศูนย์กลางของคาธอริคอย่างวาติกันก็ออกมาเรียกร้องให้ชาวคริสต์ทั่วโลกพร้อมใจกันคว่ำบาตรภาพยนตร์เรื่องนี้ จนทำให้กระแสการต่อต้านภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวระบาดไปทั่วโลก ทั้งกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนนิกายแองกลิกันในซิดนีย์ ออสเตรเลียที่รณรงค์ให้ชาวคริสต์ช่วยกันหาความจริงมาหักล้างแนวคิดของหนังสือดังกล่าว, กลุ่มออร์ธอด็อกซ์ในกรีซแจกใบปลิวประณาม, คาธอลิกในเปรูแนะชาวคริสต์ว่าอย่าไปดู, ทางการฟิลิปปินส์ประกาศจะแบน, ชาวคริสต์ในอินเดียร่วมอดอาหารเพื่อประท้วงการฉาย, การห้ามไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าชมในสิงคโปร์ ฯลฯ

สำหรับในเมืองไทยนั้น ก็มีองค์กรชาวคริสต์ออกมาประท้วงในการออกฉายภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน โดยเรียกร้องให้มีการเซนเซอร์ 10 นาทีสุดท้ายที่พาดพิงถึงพระเยซูออกไป ซึ่งมติของกองเซ็นเซอร์ 6 ต่อ 5 สรุปว่าหนังเรื่องนี้สามารถฉายได้โดยไม่ต้องเซนเซอร์ แต่ต้องมีคำเตือนทั้งก่อนและหลังการฉายว่า "เรื่องราวทั้งหมดถูกแต่งมาจากจินตนาการของผู้เขียน" นั่นเอง
สำหรับในประเทศจีนนั้นก็มีการยกเลิกฉายเช่นกัน ซึ่งแม้จะผ่านการพิจารณาของกองเซนเซอร์และเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้ฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ (ก่อนหน้าเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ที่หนังไปฉายเปิดเทศกาลด้วยซ้ำ) แต่ทางจีนก็ระงับการฉายทั่วประเทศในวันที่ 9 มิ.ย. 2006 หลังจากผลงานชิ้นนี้เก็บรายได้ไปกว่า 13 ล้านเหรียญไปแล้วในเวลาอันสั้น โดยทางการปฏิเสธที่จะให้เหตุผลใดๆ ตามระเบียบ

แล้วยังไงต่อ...

หลังจากถูกต่อต้านจากทางศาสนามาเดือนเต็มๆ แต่การกระทำดังกล่าวกลับส่งผลในทางตรงกันข้ามกับตัวหนัง เพราะนอกจากแฟนหนังสือที่พร้อมใจกันต่อคิวกันเข้าโรงอยู่แล้ว แต่มันได้กลายเป็นประเด็นสนใจของผู้ที่ไม่เคยรู้จักมันมาก่อนเป็นอย่างดี จนทำให้หนังที่จริงๆ แล้วโดนนักวิจารณ์ส่วนใหญ่สับแหลกด้านคุณภาพงานล้วนๆ เรื่องนี้ กลายเป็นหนังที่ทำรายได้ทั่วโลกมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของปีที่ 756.6 ล้านเหรียญไปเลย ขณะที่เมืองไทยก็ทำรายได้เกือบร้อยล้านทีเดียว (เช่นเดียวกับประเทศที่ออกมาประท้วงอื่นๆ ที่ทำรายได้จากการฉายเป็นกอบเป็นกำ)

ซึ่งความร้อนแรงบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศดังกล่าว ส่งผลให้ทางโซนี พิกเจอร์ส เจ้าของผลงานว่าจ้างให้นักเขียนบทมือทองอย่าง อากีวา โกลด์สแมน ที่ดัดแปลงผลงานในรหัสลับดาวินชีมาแล้ว เดินหน้าในการดัดแปลงอีกผลงานชิ้นหนึ่งของแดน บราวน์อย่าง Angels and Demons หรือ "เทวากับซาตาน" เพื่อนำมาสร้างในฉบับภาพยนตร์ต่อไป โดยวางตัวให้พระเอกหนุ่มใหญ่อย่างทอม แฮงส์มารับบทเป็น โรเบิร์ต แลงดอน อีกครั้ง

สำหรับผลงานชิ้นต่อไปของ แดน บราวน์ ที่มีชื่อตอนแล้วว่า The Solomon Key จะยังไม่มีกำหนดออกวางจำหน่ายให้แฟนหนังสือได้อ่านกันในปีหน้าที่จะถึงนี้ แต่มันจะเป็นเรื่องราวการผจญภัยครั้งที่ 3 ของ โรเบิร์ต แลงดอน นั่นเอง

...ท่าทางเรื่องนี้จะต้องลุ้นกันยาวๆ ซะแล้ว

********************

10 ข่าวร้อนบันเทิงเทศ 2006 (1)
กำลังโหลดความคิดเห็น