xs
xsm
sm
md
lg

"ต๋อย ไตรภพ" กับช่วงวัดใจที่ไอทีวี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากจะหาคนในแวดวงทีวีที่มี "เรื่องราว" เป็นเฉกเช่นคำว่า "ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน" หนึ่งในชื่อนั้นคงจะต้องบรรจุชื่อของ "ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์" ลงไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

จากคนที่เคยให้ความฝันกับคนอื่น จากพิธีกรที่เคยขึ้นชั้นระดับหัวแถวของเมืองไทย จากผู้จัดฯ ที่เคยได้ชื่อว่ามีฝีไม้ลายมือ มีหน้ามีตา และเครดิตของชื่อที่ไว้ใจได้ในเรื่องการทำรายการที่ "ทำเงิน" ทุกอย่างในวันนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า ซึ่งหากจะนับช่วงเวลากันจริงๆ มันเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เขาเดินจากช่อง 3 สู่ไอทีวีพร้อมด้วยรอยยิ้ม ความมั่นใจ และค่าหุ้นที่ถีบตัวสูงขึ้น จนถึงวันนี้วันที่ไอทีวีมีปัญหาเรื่องเงินค่าปรับเฉียดแสนล้านบาทให้เป็นปัญหาหนักอกอยู่นั่นเอง

มองกันแบบภายนอก จริงอยู่ที่ว่าถึงตอนนี้ผลกระทบอาจจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักในฐานะของการเป็นเพียง "ผู้จัดคนหนึ่ง" เหมือนที่เจ้าตัวพยายามบอก ทว่าการพลิกรายการเกมโชว์ที่เขาจัดอยู่ อย่าง "เกมเศรษฐี" ให้เป็น "รายการสาระ" ตามความเชื่อด้วยการเปลี่ยนชื่อและรูปแบบบางส่วนเพื่อให้เป็นไปตามสัญญาที่ถูกต้องในการที่ไอทีวีจะต้องออกอากาศรายการที่เป็นข่าว/สาระในช่วงเวลา 19.00-21.00 น.ที่เป็นอยู่นี้ ดูจะเป็นการ "ท้าทาย" การก่อให้เกิดความรู้สึก "เชิงลบ" ที่มีกับเขาของคนจำนวนไม่น้อยทีเดียว

"คือถ้าใครได้ดูเกมเศรษฐีจะเห็นว่ามันชัดเจนมาก ไม่มีเล่นอย่างอื่นไม่มีพูดอย่างอื่น ถามแต่เรื่องความรู้อย่างเดียว แล้วข้อสำคัญอย่างเดียวคือคนที่ชนะในรายการนี้ชนะแล้วได้รางวัลตามความชนะไม่ได้รางวัลตามสรุปหรือโชคและดวง จริงๆ คำว่าเกมในกฎหมายแล้วคือ เกมอะไรซักอย่างแล้วคุณชนะมันมาได้แล้วคุณไปล่ารางวัลโดยรางวัลได้ตามโชค เช่น ไปจับเปิดแผ่นป้ายได้เท่านี้บาท อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้ตามความสามารถ การที่ได้ไม่ได้ตามความสามารถอย่างนั้นเป็นเรื่องของดวงไม่ได้" เป็นคำบอกเล่าที่แสดงถึงเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำได้เป็นอย่างดี

"ถ้ามองแล้วจะเห็นว่ารายการเกมเศรษฐีในทีวีเกมเดียวที่เอาความรู้มาคุยกันในทุกๆ สาขา ในทุกๆ ด้าน เพื่อให้คนแสวงหาความรู้ใส่ตัว เวลาที่ทำรายการผมจะพูดอยู่เสมอว่า ความรู้มันเป็นขุมทรัพย์ มันเป็นเงินทอง และอนาคต และเราก็ทำงานอย่างนั้นมาตลอด มันก็อยู่ที่เขาแล้วว่าจะให้ทำตามแบบนี้หรือเปล่า"

"ตอนนี้เกมเศรษฐียังเป็นความรู้อยู่เหมือนเดิม แต่ว่ารายละเอียดอย่างที่บอกเรื่องแจกเงินว่าการที่คนทำได้ตามความรู้ตามความสามารถที่ตัวเองมีรัฐจะยอมหรือสนับสนุนได้หรือเปล่า ว่าถ้ามันเป็นเพียงแค่ความรู้ที่เห็นกันอยู่นี้ แล้วถ้าคนที่เขาทำได้ตามความรู้สามารถ รัฐจะยอมหรือเปล่าให้คนที่มีความรู้ความสามารถได้เงินหรือเปล่า เท่านั้นเองตอนนี้มันอยู่แค่ขั้นตอนนี้ จะเคาะหรือเมื่อไหร่ผมก็ไม่ทราบมันอยู่ที่สปน. ทางสถานีก็ส่งไปแล้ว"

"เรารอคำสั่งสถานีอยู่ แต่คำสั่งที่ได้รับจากสถานีคือเราเปลี่ยนบางอย่างนิดหน่อย ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ก็มีเกมเศรษฐีที่เปลี่ยน ตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีความรู้ เปลี่ยนแค่ชื่อรายการ กับในตอนต้นนี้มีแผนที่จะทำสองอย่าง คือแผนแรกได้รับคำปฎิบัติการของศาลก็ต้องปฏิบัติตามโดยทันที แผนที่สองคือจะมีการปรับแผนอีกครั้งหนึ่งประมาณเดือนกุมภาพันธ์"

"ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ถ้ามันเป็นอย่างที่พูดว่าชนะแล้วได้ประกาศนียบัตร มันก็ตก ดูเรตติ้งครับว่าคนดูดูแล้วเข้าใจว่าโอ้โห นี่เอาคนมาเล่นที่มาจากบ้านแล้วก็ชนะเอาประกาศนียบัตรไป หรือทางรัฐหรือสปน.อาจจะบอกว่าเอาแล้วมาอยู่ทำไมเวลานี้ ทำไมไม่ไปอยู่เวลาอื่นละ มันก็ได้ แต่นี้เรายังไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหน"

ยืนยันว่าไม่ได้หนักใจอะไรมากนัก พร้อมย้ำจะอยู่กับไอทีวีถึงหยดสุดท้ายแต่ต้องรอดูผลสรุปที่ชัดเจน
"ไม่มีเลยครับ ไมได้หนักใจ ผมเป็นแค่พวกที่รอคำสั่งเท่านั้น ถ้าถามว่าทางสถานีจะเอายังไง จากค่าปรับที่เขาได้รับ จากสิ่งต่างๆ ที่สถานีโดนอยู่มันเยอะแล้วกับปัญหาที่ทับถม แล้วคนเป็นอีกพันคนที่อยู่ในนั้น กับคนที่อยู่ข้างนอกที่ผลิตรายการป้อนให้ไอทีวีอีกแล้วรวมครอบครัวพวกเขาอีกเป็นหมื่นๆ รอว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตพวกเขา"

"ผมถึงได้บอกไงว่ามีคน 4- 5 พันคนรออยู่ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเขา มันเหมือนกับการตลาด เราเอาของมาวางขายแล้วมีคนไปซื้อ แล้วจู่ๆ ก็มีข่าวว่าเฮ้ย..ตลาดนี้มันยังโน้นมันยังงั้นก็ต้องคิดว่าคนเข้าจะมาซื้อหรือเปล่า"

"ผมพูดอย่างลูกผู้ชายอย่างที่เคยบอกไว้ว่าจะอยู่กับไอทีวีจนหยดสุดท้าย แต่ว่าหลังจากนี้ก็ต้องรอฟังจากสถานีว่าอะไรเกิดขึ้นยังไง แล้วเราจำต้องดำเนินยังเพราะเรามีลูกน้องอีกเป็นร้อยที่ต้องเลี้ยงดู เราจะต้องขยับขยายมั้ย"

ในฐานะของผู้บริหารบริษัท(บอร์น) เจ้าตัวบอกว่าได้มีการพูดคุยกับพนักงานบางส่วนไปบ้างแล้วกับผลกระทบที่จะตามมา ส่วนเรื่องการมองหาที่อยู่ใหม่เจ้าตัวบอกว่ามีการดูๆ อยู่เช่นกัน
"พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว และเล่าให้พนักงานได้ฟังทั้งหมดว่าเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างนี้นะ แต่เรื่องนี้เราไม่ได้เป็นคนทำนะ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอำนาจนอกเหนือการควบคุม เข้าใจพวกคุณว่ารู้สึกยังไง และผมเองก็ไม่สามารถสัญญาอะไรกับพวกคุณได้เลยหรือให้คำมั่นอะไรได้ทั้งสิ้นเพราะมันอยู่เหนือการควบคุมของผม ใครคิดอะไรยังไงก็ได้ แต่ผมบอกพวกคุณได้ว่ากำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อพวกคุณให้ดีที่สุด"

"เสนอช่องอื่น...อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดครับ แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะไปเสนอนะครับอย่าฟังผิดครับ เป็นเรื่องที่ต้องคิดว่าเดี๋ยวสถานีจะต้องว่ายังไงบ้าง ทางสถานีตอนนี้ก็ยังไม่เรียกประชุมผู้จัดเลยนะครับ แต่เราไม่ว่าสถานีแม้แต่คำเดียวในใจเรานะ เพราะสถานีเองปัญหาที่ประสบอยู่ก็ต้องมีทิศทางว่าจะไปยังไง ถามว่าจะเราเตรียมตัวเพื่อบริษัทไหมก็ต้องเตรียมแน่นอน เพราะว่าลูกน้องมีเป็นร้อย"

"ถ้ามันต้องหยุดทุกอย่างจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นเพราะมีลูกน้องที่ต้องดูแล แต่ทุกช่องมันเต็มหมดแล้ว เรื่องมันเพิ่งมาเกิดตอนนี้ อย่างที่พูดหากก่อนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ ทำก็ไม่เป็นคน ผมเห็นทุกอย่างที่พูด ทุกขั้นตอนเห็นตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่จะให้ทำไง นี่เป็นทางเดียวที่ทำได้ มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณเป็นคนนี้คุณก็ต้องยอมรับในบางอย่าง ผมมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ต้องรับมัน"

"ผมมีลูกน้องเป็นร้อยสองร้อยคน แล้วทุกคนผมเลี้ยงมาตั้ง 20 กว่าปีตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยจนเดี๋ยวมีลูกโตอยู่ ม. 3-4 แล้ว นั้นคนนะครับที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ผมบอกว่า เอ๊ย!ลูกน้องทั้งหลายช่วยไม่นะ ลาก่อนมันพูดไม่ได้หรอกครับ ความผูกพันที่มีไม่ใช่แค่เจ้านายกับลูกน้องนะ มันก็ต้องหาทางออกครับ"

ได้คิดมั้ยว่าสิ่งที่เกิดเรื่องร้ายสุดจะแค่ไหน?
"คือของพวกนี้ผมว่ารู้เท่าทันทุกคน สมมติว่าร้ายที่สุดคือปิดสถานี ก็คือตายหมด 4-5 พันคนไม่ใช่แต่คนในไอทีวี แต่ยังรวมถึงผู้ผลิตและ ผู้จัดด้วย คนนอกอาจะพูดว่าในเมื่อรู้ๆ กันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่ามันจะมีเรื่องเกิดขึ้น แต่ผมถามว่าคุณอยู่ในบ้านหลังหนึ่งแต่ว่าคุณจู่ๆ จะเดินออกจากบ้านหลังนี้ยังไง"

"ถ้าคุณไม่มีที่อยู่ คุณก็ต้องอยู่บ้านหลังนี้ แต่ถ้าหากมันเกิดจริงๆ คุณก็ต้องรับผลกับสิ่งที่มันเกิดกับบ้านหลังนี้ มันเหมือนกับสึนามิมาถล่มบ้านเพราะฉะนั้นแล้วร้ายที่สุดหากต้องปิดสถานี คือคนสี่ห้าพันคนนี้ก็จบ แต่ถ้าไม่ปิดเขาจะเดินการต่อไปอย่างไร แล้วเขาดำเนินการต่อตลาดนี้จะเป็นยังไง จะมีผู้ซื้อมั๊ย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับรัฐเท่านั้นครับ อยู่กับความเห็นใจต่อเรื่องราวที่มันเกิดขึ้น"

ชี้แจงข้อกังขา ถึงตอนนี้ตนเองเป็นเพียงผู้จัดคนหนึ่งที่ไม่มีหุ้นใดๆ อยู่ในมือเลย
"สถานะผมตอนนี้เป็นแค่ผู้จัดเท่านั้น ไม่มีถือหุ้นครับ ผู้ถือหุ้นช่วงแรกๆ เหรอครับ ผมเป็นคนก่อตั้งไอทีวีจะไม่มีได้ไงครับ ก่อนนู้นเลยที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์มันใช่ครับ อีกอย่างผมก็ขายไปตั้งนานแล้ว ตังแต่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่มันจะได้สักกี่บาท"

แม้จะให้สัมภาษณ์แบบน้ำตาซึม แจ่ยืนยันว่าตนไม่เคยมืดแปดด้านและไม่ท้อ แต่ยอมรับปวดร้าวหากต้องทำให้ลูกน้องลำบากตกงาน..."ส่วนตัวผมไม่เครียด ถ้าจะรู้สึกเจ็บปวดหรือปวดร้าวจริงๆ คือผมมีลูกน้อยตลอดชีวิตมาผมทำแต่เรื่องดีๆ แล้วเราหากินดีๆ มาตลอดแต่พอมาวันหนึ่งถ้าเกิดเราดิ้นไม่ออกไปไม่ได้ลูกน้องจะอยู่ยังไง ตอนนี้จะถ้าเข้าไปหาใครพูดกับใครจะเข้าไปกราบเท้าว่าขอให้งานได้ทำ เลี้ยงลูกน้องได้"

"กับเรื่องไอทีวีที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับผมเลย มันมีกลไกกฎหมายเยอะ มันมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มันมีความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในฐานะรัฐกับเอกชนที่ต้องทำงานร่วมกัน แล้วเอกชนจะต้องโดนปรับ เก้าหมื่นเจ็ดพันล้านนี่มันตั้งแต่เรามีประเทศมาเลยนะครับ มีที่นี่เป็นที่แรก แล้วใครจะคิดได้... (เสียงเศร้า)"

ถามถึงโอกาสของการเดินกลับไปหาเจ้านายเก่าที่ช่อง 3 "ประวิทย์ มาลีนนท์" เจ้าตัวเงียบไปพักหนึ่งก่อนไม่ขอแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้แต่บอกว่า...คนๆ นี้คือนายผมตลอดกาล...ก่อนจะยืนยันอีกครั้งว่าไม่มีถอดใจแน่นอน
"ถ้าถอดใจจะมานั่งพูดอยู่ตรงนี้เหรอครับ ไม่ถอดแน่ครับ คนเรานะวันอย่างนี้มันหาอยาก (ยิ้มเฝื่อนๆ) คนเรามองชีวิตให้เป็นเหรียญมันมีสองด้าน อย่ามั่ว แค่เกิดเรื่องแค่นี้แล้วท้อถอยหมดใจ หูย...เสียชาติเกิด มันไม่ใช่แค่ปีสองปีที่เจอแต่เรื่อง มัน 4 ปีเต็มๆ แล้วครับที่เจอมาตลอด"

"กับทีมงาน...ผมก็บอกทุกคนว่าถ้าใครจะไปก็เปิดโอกาสให้เต็มที่เลยถ้าใครจะยังไง ไม่ว่าสุขคำเดียวทุกอย่างยังเหมือนเดิม ที่ผ่านมาบริษัท ก็เป็นไปตามเศรษฐกิจไม่ได้ดีมากหรือเลวร้าย แล้วปีนี้คนบันเทิงพบกับภาวะที่หูย...ไม่รู้จะว่าอย่างไร เดี๋ยวก็เจอพายุไอ้นั้น เดี๋ยวน้ำก็ท่วม เดี๋ยวก็มีรัฐประหาร"

มีใครโทรมาให้กำลังใจบ้างมั้ย?
"มีครับซึ่งนอกจากกำลังใจแล้ว ยังมียื่นไม้ยื่นมือช่วยแต่บอกไม่ได้ว่าช่วยยังไง ผมตอบไม่ได้..."

อึ้งไปพักหนึ่งต่อคำถามที่ว่า...รู้สึกใจหายกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะตนเองถือได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่ร่วมสร้างไอทีวี(รูปแบบของการเพิ่มสัดส่วนรายการบันเทิง)ขึ้นมากระทั่งถูกตัดสินว่าผิดสัญญาและนำมาซึ่งปัญหามากมาย พร้อมปิดท้ายของการสนทนาด้วยการยืนยันว่าคนที่ไอทีวีทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น

"สำหรับผมแล้วไอทีวีดีนะไม่ได้พูดเล่น แล้วการที่ใครสักคนจะมาทำให้มันหายนี้มันใจหาย เสียใจแน่น่อน รู้สึกว่าอะไรกันนี้ประเทศไทย ผมรู้สึกจริงๆ ผมไม่ได้พูดถึงใครถูกใครผิดนะครับ แต่ผมพูดถึงคนที่ตั้งใจทำงาน คนที่ออกไปลุย อดตาหลับขับตานอนตามที่ต่างๆ เขาน่าสงสารขนาดไหน นั่นน่ะคนบริสุทธิ์ทั้งนั้นครับ"
กำลังโหลดความคิดเห็น