เฮเลน มิร์เรน เป็นเต็งหามสาขานักแสดงนำหญิงบนเวทีออสการ์ปีนี้ กับการรับบทควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในหนังเรื่อง The Queen ของ สตีเฟน เฟรียร์ส ซึ่งเล่าถึงสถานการณ์ในพระราชวังบักกิ้งแฮมคราวที่เจ้าหญิงไดอาน่าสิ้นพระชนม์เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
มิร์เรนเป็นนักแสดงหญิงจากอังกฤษ (เธอมีเชื้อสายรัสเซีย) ที่มีผลงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุค 60 ทั้งบนเวทีละคร ในจอโทรทัศน์หรือจอภาพยนตร์ จนมามีชื่อเสียงโด่งดังกับบท นักสืบหญิงเจน เทนนิสัน จากหนังสืบสวนสอบสวนทางทีวีชุด Prime Suspect (ตอนแรกออกฉายในปี 1991)
เธอเป็นคนที่ดูเยือกเย็น และมีรังสีอำมหิตอยู่ในแววตา คาแรกเตอร์ของเธอคือหญิงผู้เปี่ยมไปด้วยไหวพริบ พร้อมจะต่อกรกับอุปสรรคทุกรูปแบบ และนานๆ ทีคนดูจะได้เห็นเธอในในด้านที่ร่าเริงอ่อนไหว ผู้กำกับจอห์น บัวร์แมนเคยบอกว่า สาเหตุที่เขาเลือกเธอมาเล่นบท มอร์กานา ในหนังเรื่อง Excalibur (1981) ก็เพราะเธอเป็นสตรีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถรับมือกับพ่อมดเมอร์ลินได้
ก่อนหน้าจะมาเล่น The Queen เพียง 1 ปี มิร์เรนเคยมอบการแสดงอันน่าสะพรึงกลัวในภาพยนตร์ที่ฉายทางโทรทัศน์เรื่อง Elizabeth I มาก่อน เธอในมาดของราชินีผู้ยิ่งใหญ่ (1533-1603) แห่งยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ทำให้คนดูสามารถลืมเคต แบลงเชตต์ใน Elizabeth (1998) หรือ จูดี เดนช์ใน Shakespeare in Love (1998) ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และอาจเป็นคู่ปะทะที่สมน้ำสมเนื้อกับ เควนติน คริสพ์ นักแสดงชายที่เล่นเป็นควีนเอลิซาเบธที่ 1 (ที่พิลึกโลกที่สุด) ในหนังเรื่อง Orlando (1992) ของแซลลี พอตเตอร์
Elizabeth I ของผู้กำกับ ทอม ฮูเปอร์ จับใจความหลังจากเอลิซาเบธขึ้นครองราชย์มาแล้ว 20 ปี การหลั่งเลือดเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ไม่ได้สาหัสเท่ากับใน Elizabeth ของเชคาร์ กาปูร์ แต่ความตึงเครียดระหว่างศาสนาคริสต์ทั้ง 2 นิกายที่มีมาแต่ยุคกลางยังคงกรุ่นอยู่เพื่อรอวันปะทุ
ฮูเปอร์ (และ ไนเจล วิลเลียมส์ ผู้เขียนบท) วางสัดส่วนของเรื่องไว้อย่างน่าสนใจ โครงหลักๆ ยังเป็นการเล่าถึงวิธีจัดการกับศัตรูหลายด้านของเอลิซาเบธ แต่สิ่งที่มีน้ำหนักอย่างมากที่ส่งผลต่ออารมณ์ของหนังโดยรวมคือความรักขององค์ราชินีอันมักจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดแก่นางเสมอ
มีตัวละครชายอยู่หลายตัวที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตของเอลิซาเบธ ทั้งเซอร์ฟรานซิส วัลซิงแฮม ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์, ลอร์ดเบิร์กลีย์ และลูกชาย – โรเบิร์ต เซซิล, โรเบิร์ต ดัดลีย์ – เอิร์ลแห่งเลสเตอร์ และ โรเบิร์ต เดเวอโรซ์ – เอิร์ลแห่งเอสเส็ก
ในหนังของเชคาร์ กาปูร์นั้นเน้นในส่วนการปฏิบัติการเพื่อแผ้วทางให้เอลิซาเบธขึ้นเถลิงอำนาจของฟรานซิส วัลซิงแฮม (เจฟฟรีย์ รัช) แต่อย่างที่ได้กล่าวไป Elizabeth I เป็นการลงสำรวจพื้นที่อันหวามไหวของตัวละครเอก ฉะนั้นตัวละครฝ่ายชายที่ถูกเน้นความสำคัญจึงกลายเป็นเอิร์ลแห่งเลสเตอร์และเอิร์ลแห่งเอสเส็กแทน
หนังแบ่งออกเป็น 2 ตอนด้วยกัน (ตอนละราวๆ 100 นาที) ในช่วงแรกพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางและเอิร์ลแห่งเลสเตอร์ (เจอเรมี ไอรอนส์) ชายหนุ่มที่นางมอบความรักอันบริสุทธิ์ให้ตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่น (ในหนังของกาปูร์ คนที่เล่นบทนี้คือ โจเซฟ ไฟน์ส) แต่ก็ไม่สามารถลงเอยกันได้เพราะโดยฐานะแล้ว เขาต่ำต้อยกว่า
ฉากเปิดเรื่องของหนังนั้นน่าตกอกตกใจ มันเป็นตอนที่แพทย์หลวงเข้ามาตรวจภายในให้กับนาง (ภาพสตรีสูงศักดิ์ในวัย 40 นอนถ่างขาคงไม่น่าดูนัก) เพื่อยืนยันให้แน่นอนว่า นางยังสามารถให้กำเนิดบุตรได้ ตามความกังวลของคณะที่ปรึกษาที่ต้องการให้มีคนสืบต่อราชอำนาจ หาไม่แล้ว สเปนและวาติกัน (พวกแคธอลิก) จะหาเหตุรุกรานเพื่อครอบครองอังกฤษ
ปัญหาใหญ่ของนางก็คือนางไม่ต้องการสมรสกับใคร (แม้ภายหลังการพบกับดยุคแห่งอองฌู จะได้สร้างความประทับใจเล็กๆ ให้แก่นางก็ตาม) แต่เอลิซาเบธยังหวังว่าการได้พอเจอกับเอิร์ลแห่งเลสเตอร์ผู้แสนดีในทุกเมื่อเชื่อวัน มันก็อบอุ่นเพียงพอแล้วสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง
จุดหักเหและปมหลักในตอนแรกคือ นางไม่รู้มาก่อนว่าเอิร์ลแห่งเลสเตอร์ที่ตนอุตส่าห์มอบความไว้วางใจให้นั้นแต่งงานอย่างลับๆ แล้วกับเลดี้แห่งเอสเส็ก และคณะที่ปรึกษาก็หักหลังนางด้วยการลงนามสั่งประหารพระนางแมรี ราชินีแห่งสก็อตฯ ศัตรูตัวสำคัญของบัลลังก์
หนังแสดงให้เห็นว่าลึกๆ แล้วเธอไม่ได้จงเกลียดจงชังแมรีเท่าที่ควรจะเป็น ฉากที่เอลิซาเบธเข้าไปพบกับแมรีในห้องคุมขังเป็นฉากที่ดีที่สุดในช่วงแรก ไม่มีการตะเบ็งเสียงด่าทอด้วยความโกรธแค้น พวกเธอแค่ยืนอยู่คนละฝั่งของพระเจ้า (คริสเตียนและแคธอลิก) ทั้งเฮเลน มิร์เรนและบาร์บารา ฟลินน์ (ในบทแมรี) ระงับความเคียดแค้นของตนเองไว้อย่างสุดความสามารถในทุกๆ คำพูดที่เอ่ยออกมา
สิ่งที่กินใจที่สุดที่ออกจากปากของเอลิซาเบธคือ "แมรี, ฉันและเธอเราต่างก็เป็นนักโทษของกาลเวลา" มันเป็นการมองชะตากรรมของตัวเองอย่างรู้ทัน และลึกๆ แล้ว เธอไม่ปรารถนาการนองเลือดใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนที่ 2 ของหนังคือการเดินย่ำรอยเดิมของประวัติศาสตร์ หลังจากเอิร์ลแห่งเลสเตอร์ได้จากไป เอิร์ลแห่งเอสเส็ก (ฮิวจ์ แดนซี) – ลูกเลี้ยงของเขา ก็เข้ามามีบทบาทแทนที่ในหัวใจอันเปราะบางของเอลิซาเบธ แต่ยิ่งความรักระหว่างนางและเอิร์ลแห่งเลสเตอร์เป็นเรื่องยากมากเท่าไหร่ กับเอิร์ลแห่งเอสเส็กมันก็ยากกว่านั้นหลายเท่า นางอายุเกือบๆ จะ 60 ในขณะที่เขาเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนคลั่งการทำสงคราม วัยแค่ 20 ปี
แต่สิ่งที่ยากกว่าปัญหาทั้งมวล คือนางจะชั่งน้ำหนักอย่างไร ระหว่างความปรารถนาส่วนตัว ความปรารถนาของเด็กหนุ่มที่นางรัก และสิ่งที่ควรจะทำในฐานะราชินีของอาณาจักร ชะตาได้กำหนดให้นางเลือก และเมื่อเลือก ความสูญเสียอันใหญ่หลวงก็จะตามหลังมา
Elizabeth I คือหนังที่บอกเล่าถึงความเสียสละที่ตัวพระนางเอลิซาเบธเองไม่ได้ต้องการทำ มันก็จริง จะมีใครที่ไหนในโลกที่ต้องการประหัตถ์ประหารความปรารถนาของตนเอง คนดูจะไม่ได้เห็นฉากการรบพุ่งใดๆ เลย เพราะเพียงแค่การต่อสู้ภายในจิตใจของนางก็นับว่าสาหัสพอแล้ว
เฮเลน มิร์เรนไม่ทำให้เสียโอกาสทองของเธอในการเล่นบทอันซับซ้อนนี้ เธอไม่เพียงทำให้พระนางดูมีชีวิตเหมือนปุถุชน แต่ยังส่งทอดความรวดร้าวนั้นมายังผู้ชมได้อย่างทรงประสิทธิภาพ
"สิ่งที่ปกครองยากที่สุดนั้น คือ หัวใจของเราเอง" เอลิซาเบธได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของเรื่อง นางจากโลกนี้ไปหลังจากเอิร์ลแห่งเอสเส็กถูกประหารชีวิตเพียง 2 ปี ยุคสมัยของพระนางถือเป็นยุคทองของยุโรป อังกฤษฟูเฟื่องทั้งด้านศิลปะและวิทยาการนำสมัย เป็นเจ้าอาณานิคมของแผ่นดินน้อยใหญ่ทั่วโลก
สมญานาม “เดอะ เวอร์จิ้น ควีน” (The Virgin Queen) ของนางนั้นได้มาจากการที่อังกฤษสามารถยึดครองแผ่นดินแถบมลรัฐเวอร์จิเนีย (ของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน) ได้ แต่อย่างไม่น่าเชื่อว่า ชื่ออันยิ่งใหญ่นั้นจะมาพ้องกับชะตากรรมอันน่าเศร้าของเธอได้พอดี
สุดท้ายแล้วเอลิซาเบธก็ไม่เคยได้แต่งงาน และแม้แต่การจะมีคนรักสักคน พระเจ้าก็ยังทรงไม่ยินยอม.