xs
xsm
sm
md
lg

Eragon:โชคชะตา มังกร กับบทละครที่ถูกกำหนดมาแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อชะตาชีวิตที่เราเชื่อมาตลอดว่า เราเป็นผู้ลิขิตเอง กำหนดเอง และมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเลือกเดิน หรือจะทำอะไรก็ได้บนโลกใบนี้ ในวันหนึ่งกลับพบว่า แท้จริงแล้วชะตาชีวิตของเราได้ถูกวางโครง กำหนดรูปแบบในการดำรงอยู่มาแล้ว ว่าในอนาคตที่กำลังจะเดินทางมาถึง เราจะต้องเป็นอะไร?

เมื่อรู้อนาคต รู้สิ่งที่จะต้องทำ สิ่งที่จะต้องเป็น ก็อาจทำให้เราไม่ต้องวิ่งวุ่นจับจดในการควานหาเป้าหมายในชีวิต แต่ถ้ามองอีกมุมชีวิตที่รู้ลิขิตแล้ว มันจะมีความหมายอะไร ?

"เอรากอน"เป็นหนุ่มน้อยธรรมดาๆ ที่ในหนึ่งวันหมดไปกับการออกล่าสัตว์เพื่อมาประทังชีวิต แต่แล้วเพียงช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่เขาตัดสินใจนำหินประหลาดสีฟ้าครามติดตัวกลับมาด้วย ชีวิตที่เหลือของเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อวัตถุแปลกประหลาดดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงหิน แต่มันคือไข่ของมังกร และเมื่อไข่ฟัก จากเด็กสามัญชนก็กลายเป็นนักรบคู่มังกร ความหวังเดียวของหมู่มวลหมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของทุกคน

อนาคตของโลกฝากฝังความหวังไว้ที่เขา แต่อนาคตของเขากลับหยุดนิ่งและไม่จำเป็นต้องค้นหาอะไรอีกต่อไป

"Eragon"เป็นภาพยนตร์แฟนตาซีผจญภัยที่สร้างมาจากวรรณกรรมเยาวชนเลื่องชื่อของ"คริสโตเฟอร์ เปาลินี" หนุ่มนักประพันธ์วัยเพียง 23 ปี แต่มีจินตนาการที่ก้าวล้ำและสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างโลดแล่น แต่อย่างที่ทราบกันดีอยู่ว่า ข้อจำกัดในการนำวรรณกรรมต่างๆมาสร้างเป็นภาพยนตร์นั้นมีมาก ฉะนั้นวรรณกรรมที่เจิดจรัสพร่างพราวในโลกหนังสือก็ไม่จำเป็นต้องเลอค่าและถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามในโลกภาพยนตร์เสมอไป

ข้อจำกัดทางด้านการแสดง เวลา เนื้อหาทั้งหมด ซึ่งเราต้องเข้าใจพื้นฐานว่าถ้าจะนำภาพยนตร์ไปเทียบเคียงกับวรรณกรรมบนแผ่นกระดาษจริงๆ คงไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะด้านลึกของตัวละครคงไม่สามารถบรรยายได้อย่างกระจ่างแจ้งภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที อีกทั้งอารมณ์ต่างๆ ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง และความผูกพันธ์ของตัวละครต่างๆ ก็ต้องอาศัยเรื่องการแสดงของนักแสดงแต่ละรายบุคคลไป ฉะนั้นผู้ที่เคยอ่านวรรณกรรมเยาวชนชื่อดังเรื่องนี้ อาจจะผิดหวังได้ถ้าจะนำภาพในจินตนาการมาทาบทากับภาพที่ปรากฎจริงบนฉากหนัง แต่ข้อดีของผู้ที่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาบ้าง ก็ทำให้สามารถเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครต่างๆ รวมทั้งเข้าใจเรื่องราวได้ดีมากขึ้น

มังกรไฟเพศเมียอย่าง"ซาเฟียร่า" ก็มิใช่ความน่าตื่นตะลึงในโลกภาพยนตร์อีกต่อไปแล้ว เพราะโลกทั้งโลกต่างก็ประจักษ์แจ้งกันไปแล้วว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกภาพยนตร์ นับตั้งแต่ Jurassic Park ออกฉายเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าทีมผู้สร้างจะเนรมิตให้มังกรไฟใน Eragon มีมิติที่ลึกซึ้งกว่าเหล่าไดโนเสาร์ใน Jurassic Park อย่างไร ผู้ชมก็คงไม่รู้สึกซึ้งถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่ทีมผู้สร้างบรรจงตั้งใจกันสักเท่าไร

ความผูกพันธ์ของเอรากอนกับซาเฟียร่า ที่เป็นสิ่งสำคัญของบทประพันธ์ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้เด่นชัดนักด้วยข้อจำกัดทางด้านเวลา และสำหรับตัว"เอ็ด สเพลเลียร์"ที่รับบทเป็นเอรากอนเอง ในบางฉากเขายังทำอารมณ์เข้าไม่ถึงเจ้าตัวมังกร CG สักเท่าไร แต่ความที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ก็คงทำให้ผู้ชมเชื่อว่าเขาคือเอรากอนได้ง่ายขึ้น
 สำหรับนักแสดงคนอื่นๆ ถ้านับการแสดงในเรื่องกับชั่วโมงบินถือว่าเสมอตัวอยู่แล้ว ทั้งเจเรมี ไอร่อนส์(รับบทเป็นบรอม นักรบคู่มังกรคนสุดท้าย),โรเบิร์ต คาร์ไลส์(รับบทเป็นดูร์ซา พ่อมดผู้รับใช้กษัตริย์กัลบาทอริกซ์),เซียนน่า กิลลอรี่(รับบทอารีอา นักรบหญิงผู้ปกป้องไข่มังกร),จีมอน ฮานซู(รับบทอาจิฮัด หัวหน้าขบถวาร์เดน) จะมีเพียงแต่จอห์น มัลโควิช(รับบทกษัตริย์กัลบาทอริกซ์ผู้ชั่วร้าย)เท่านั้นที่ในเรื่องนี้เราจะเห็นเขาปรากฎตัวอยู่น้อยมาก และถือว่ายังใช้ประโยชน์จากความสามารถของเขาได้ไม่ถึง 5% เท่านั้น ก็หวังว่าในภาคต่อๆไปของภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องนี้ จะมีบทบาทของวายร้ายแววตาลึกมากขึ้นกว่านี้

โดยรวมของเอรากอน เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมขึ้นมาได้ดีในระดับหนึ่ง ความลึกของบทและตัวละครไม่สามารถไปเทียบเคียงกับภาพยนตร์แฟนตาซีไตรภาคบนหิ้งอย่าง Lord Of The Ring ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกและดูได้เรื่อยๆ ความอลังการของฉากก็อยู่ในระดับน่าสนใจ การแสดงของนักแสดงหน้าเก่าทั้งหลายก็ล้วนทรงพลัง
แต่บทภาพยนตร์เป็นลักษณะสูตรสำเร็จชนิดถูกกำหนดมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่ต่อมารู้ชะตาว่าตัวเองคือพระเอก และความหวังหนึ่งเดียวของทุกคน,วายร้ายมักใหญ่ใฝ่สูง,ตัวละครแก่ๆที่ดูภายนอกเหมือนคุณลุงธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเป็นผู้เก่งกล้า และเปรียบเสมือนอาจารย์ของพระเอก อีกทั้งยังเป็นผู้บอกเล่าตำนานต่างๆ ให้ปรากฎ(บรอม) ผู้คอยช่วยเหลือพระเอกทั้งชนิดเปิดเผย(อารีอา) และแบบลึกลับที่สร้างความคลุมเครือให้กับผู้ชมว่าจะมาดีหรือมาร้าย(เมอร์ทักห์)

เมื่อโชคชะตาถูกล่วงรู้อย่างกระจ่างแจ้งเสียแล้ว ก็คงทำให้ความกระตือรือล้นในการใช้ชีวิตมอดลงไป ถึงแม้ว่าเอรากอนจะค้นพบว่าตัวเองเป็นถึงนักรบคู่มังกรผู้ยิ่งใหญ่ และยังเหลือการต่อสู้อีกมากมายที่ต้องเผชิญ แต่กรอบของชีวิตที่ถูกกำหนดขึ้นมาแล้วก็ทำให้พลังในแววตาของเอรากอนเสื่อมถอยลง อีกทั้งการเป็นเสมือนความหวังเดียวของทุกคนก็สร้างแรงกดดันให้กับเด็กหนุ่มวัย 17 อย่างมาก
 ถึงแม้ว่าพล๊อตคร่าวๆของภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกกำหนดมาชนิดที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ก็ตาม แต่เรื่องราวระหว่างการเดินทางก็ยังเป็นสิ่งที่น่าติดตามต่อไป ว่าท้ายสุดแล้ว การต่อสู้กับชีวิตที่รู้แล้ว จะยังคงเหลืออะไรให้ค้นหาอีกสำหรับเอรากอน

เพราะแท้จริงแล้วพวกเราทุกคนต่างก็ล่วงรู้ถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบกันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าความหมายของชีวิตของพวกเราน่าจะอยู่ระหว่างทางที่กำลังเดินไปหาจุดจบต่างหาก




กำลังโหลดความคิดเห็น