xs
xsm
sm
md
lg

oasis:stop the clock รวมฮิตวงอังกฤษที่ดังที่สุดของชาวไอริช!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"...เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวโลกได้เห็นว่าโอเอซิสได้อุทิศอย่างมหาศาลแค่ไหน, และจะสร้างอะไรต่อไปให้กับร็อก แอนด์ โรล" (โนเอล กัลลาเกอร์)

ในบรรดาวงร็อกที่หากินอยู่ในยุค 90 แล้วยังคงมีชื่อเสียงและอิทธิพลต่อแฟนเพลงในยุค 2000 ต้องคอยถามถึงรุ่นแล้วรุ่นเล่า ถ้าไม่นับ Nirvana ของเฮียเคิร์ท กับ Guns N' Roses ของเฮียแอ็กเซิล 2 วงร็อก 2 แนวทางของฝั่งอเมริกันแล้ว วงดนตรีของสองพี่น้องกัลลาเกอร์อย่าง oasis ก็เป็นวงที่แฟนเพลงรุ่นหลังควานหาเรื่องราวและผลงานที่ผ่านมาของพวกเขามากที่สุดวงหนึ่ง ในฐานะวงจากฝั่งอังกฤษที่โด่งดังที่สุดเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา หากแต่ความจริงที่ว่า 2 พี่น้องที่เป็นแกนหลักของ oasis ไม่ได้มีเลือดของชาวเมืองผู้ดีอยู่ในตัวเลยแม้แต่หยดเดียว

oasis เป็นวงดนตรีที่มาจากเมืองแมนเชสเตอร์ ทางตอนเหนือของอังกฤษ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ 3 พี่น้องกัลลาเกอร์อันได้แก่ พอล (เกิดปี 1966) โนเอล (1967) และน้องสุดท้อง เลียม (1972) ที่มีพ่อแม่เป็นชาวไอริชอพยพมาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอยู่ในเมืองอุตสาหกรรมอันเฟื่องฟูแห่งนี้

ไม่มีอะไรเลยที่จะบอกได้ว่าสมาชิกคนหนึ่งคนใดของ 3 พี่น้องต่อมาจะได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกของวงดนตรีที่ดังที่สุดแห่งทศวรรษ 90 เพราะครอบครัวกัลลาเกอร์ไม่ได้สนับสนุนให้ลูกๆ เล่นดนตรี และทั้ง 3 ยังต้องเผชิญกับชีวิตวัยเด็กที่ขาดความอบอุ่นอีกด้วย เมื่อพ่อของพวกเขาเป็นคนติดเหล้าและชอบใช้กำลังกับสมาชิกในครอบครัวเสมอ แต่คนที่โดนหนักที่สุดกลับเป็นน้องเล็กอย่างเลียมซึ่งเป็นคนขี้อ้อนและติดแม่มาตั้งแต่เกิด

ในฐานะพี่ใหญ่ พอล จึงได้ห้องคนเดียวไปครอง ทำให้โนเอลและเลียมต้องแชร์ห้องนอนด้วยกัน ซึ่งแม้จะใช้เป็นเวทีชกต่อยกันเสียส่วนใหญ่ แต่มันก็ทำให้ 2 พี่น้องที่อายุห่างกันถึง 5 ปีสนิทสนมกันโดยไม่รู้ตัว และหลังจากทนรองมือรองเท้าคุณพ่อขี้เมามากว่า 20 ปี คุณแม่คนเก่งก็ขนข้าวของเกือบทุกชิ้นในบ้านและพาลูกๆ ทั้ง 3 ออกจากสภาพนรกทั้งเป็นแห่งนั้นในที่สุด ขณะนั้นเลียมอายุได้ 14 ปี

เมื่อโตเป็นวัยรุ่น พี่น้องกัลลาเกอร์ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กเหลือขอทั้วไป ทั้งพฤติกรรมโดดเรียน พังรถ ขโมยของ ขโมยจักรยานเพื่อเอาไปซื้อกัญชา โดยเฉพาะโนเอลที่ได้ฉายาประจำบ้านว่า "จอมประหลาด" นั้น ถูกคุมประพฤติตั้งแต่อายุ 13 เป็นเวลา 6 เดือนเลยทีเดียว

แต่ก่อนที่ 2 พี่น้องกัลลาเกอร์จะกลายเป็นแค่กุ๊ยข้างถนน ดนตรีได้เป็นสิ่งที่เบนเข็มชีวิตของพวกเขา เมื่อทั้งสองได้มีโอกาสไปดูการแสดงของเจ้าพ่อแห่งแมนเชสเตอร์ ซาวด์ Stone Roses ทั้งสองจึงรู้ทันทีว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นอะไร โดยเฉพาะโนเอลนั้นว่ากันว่าใช้เวลาที่ถูกคุมประพฤตินั้น เริ่มเล่นกีตาร์ด้วยตัวเอง โดยแกะเพลงดังจากทางวิทยุ โดยเขาเลือกจะเล่นกีตาร์ด้วยมือขวาแม้ว่าจะเป็นคนถนัดซ้าย ที่เขาอ้างว่าการเล่นกีตาร์คือสิ่งเดียวที่แขนขวาอันปวกเปียกของเขาจะทำได้
หลังจากทำงานอยู่ที่บริษัทก่อสร้างของพ่อตัวเองได้ซักพัก โนเอลซึ่งโตเป็นหนุ่มแล้วก็ออกมาทำงานให้กับบริษัทก่อสร้างสาขาของ British Gas ซึ่งเป็นที่ที่เขาประสบอุบัติเหตุถูกฝาจากท่อเหล็กตกใส่เท้าจนหัก เขาจึงเปลี่ยนมาทำงานที่สบายกว่าในแผนกโกดังสินค้า ซึ่งทำให้เขามีเวลาว่างมากขึ้นในการฝึกซ้อมกีตาร์และแต่งเพลง (Live Forever และ Columbia จากผลงานชุดแรกถูกแต่งในโกดังแห่งนี้นี่เอง) และหลังจากออกจากงานมาเช่าห้องอยู่คนเดียว เขาก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการเล่นกีตาร์ แต่งเพลง และเสพยาอย่างหนัก ซึ่งส่งผลต่ออาการ dyslexia หรือความผิดปกติของสมองในการอ่านและสะกดคำของเขา (สังเกตว่าผลงานชุดแรกใน Definitely Maybe หลายๆ เพลงจะมีสำเนียงไซคีเดลลิคอยู่สูงมากๆ เนื่องจากอิทธิพลในการเสพยาอย่างหนักในช่วงนี้ของเขานั่นเอง ซึ่งต่อมาในปี 1998 เขาได้ประกาศเลิกเสพยาทุกประเภท เนื่องจากในช่วงเวลา 1993-1998 ที่เขาเสพยาอยู่นั้น โนเอลเผยว่าเขาแทบจะจดจำอะไรต่อมิอะไรไม่ได้เลย)

ในปี 1988 โนเอลเริ่มตามความฝันในการตั้งวงด้วยการไปสมัครเป็นนักร้องของ Inspiral Carpets วงสุดดังของแมนเซสเตอร์ในขณะนั้นและเป็นวงที่ 2 พี่น้องชอบมากๆ แต่ก็ผิดหวังเมื่อไม่ผ่านการคัดเลือก แต่ยังได้โอกาสไปทัวร์กับวงอยู่หลายปีในฐานะกีตาร์ เทคนิคเชียน

ส่วนกัลลาเกอร์ผู้น้องอย่างเลียมนั้น ดูเหมือนจะห่างไกลจากเส้นทางดนตรีอย่างที่เราเห็นเขาในทุกวันนี้เป็นที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นเด็กที่ไม่สนใจในดนตรีแล้ว ยังชอบแซวเวลาที่เห็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันถือกีตาร์เดินไปไหนมาไหนเสมอๆ (นึกถึง mv เพลง songbird ที่ชัดเลยว่า 'เกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น') แถมแนวดนตรีที่เขาสนใจเริ่มแรกยังเป็นเพลงแร็ปอย่าง Run DMC และ Public Enemy เสียอีก จนกระทั้งเขาได้ไปชมการแสดงของ Stone Roses จึงทำให้ความสนใจของเขาเปลี่ยนไป ก่อนที่จะพัฒนามาฟังผลงานของ The Beatles, The Kinks, The Jam และ T.Rex ในเวลาต่อมา

หลังจากหัวเสียที่วงสุดรักอย่าง Stone Roses ไม่ยอมออกผลงานชุดที่สองต่อจากผลงานเปิดตัวอันลือลั่นของพวกเขาเสียที เลียมจึงตัดสินใจรับคำชวนของเพื่อนมือกีตาร์ พอล 'กิ๊กซี' แม็คกีแกน ในการมาเป็นนักร้องนำในวงของเขาที่พวกเขาตั้งขึ้นมาเอง โดยใช้ชื่อว่า The Rain

หลังจากโนเอลกลับมาจากทัวร์ในอเมริกากับ Inspiral Carpets เมื่อปี 1992 และพบว่าน้องชายตัวดีล้ำหน้าเขาด้วยการมีวงของตัวเองแล้ว เขาจึงหาโอกาสไปดูวงนี้แสดงสดด้วยครั้งหนึ่ง ซึ่งโนเอลคิดว่ามันเป็นวงที่ห่วยแตกสิ้นดี และไม่ลังเลเลยที่จะวิจารณ์มันออกไปตรงๆ ให้เลียมและสมาชิกในวงได้ยิน แต่แม้จะสาดเสียเทเสียอย่างไร เลียมซึ่งตระหนักถึงความสามารถในการแต่งเพลงของพี่ชายคนนี้ คิดว่ามันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้วงประสบความสำเร็จ และการที่เขายอมเข้าวงนี้แต่แรกก็เพื่อจะดึงตัวพี่ชายเข้ามาเป็นสมาชิกในวงนั่นเอง ในที่สุดโนเอลจึงยอมร่วมหัวจมท้ายกับวงนี้ด้วย โดยมีข้อแม้ว่าการตัดสินใจทุกอย่างเกี่ยวกับดนตรีภายในวงจะต้องตกเป็นของเขาทั้งหมด การเล่นดนตรีจะต้องมีเขาเป็นผู้กำหนดทิศทาง โดยที่สมาชิกที่เหลือจะเล่นภาคริทึ่มคลอไปอย่างเดียวเท่านั้น (จะเห็นได้ว่าการที่สมาชิกภายในวง oasis มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะความสัมพันธ์ของโนเอลและสมาชิกคนอื่นๆ ในวงไม่ใช่เพื่อนที่ร่วมสร้างสรรค์ทางดนตรีกันตั้งแต่แรก หากแต่เป็นเพียง 'เพื่อนสนิท' ของน้องชายตัวเองเท่านั้น)
ด้วยความสามารถในการแต่งเพลงของโนเอล ที่ได้อิทธิพลจากแนวเพลงที่เขาชอบตั้งแต่ The Beatles, Slade, T.Rex และ Sex Pistols ประกอบกับการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของเลียม ที่รวมเอาสไตล์การร้องของจอห์น เลนนอนและจอห์น ไลดอนได้อย่างลงตัว ทำให้วงของ 2 พี่น้องแตกต่างจากวงร็อกจากเกาะอังกฤษทั้งหลายในเวลานั้นอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้ผลงานชุดแรกในชื่อ Definitely Maybe กลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้เร็วที่สุดบนเกาะอังกฤษเมื่อปี 1994 อย่างง่ายดาย และนับแต่นั้นเป็นเวลากว่าทศวรรษที่ชื่อของ oasis ได้กลายเป็นวงดนตรีที่มีอิทธิพลต่อวงร็อก-อัลเทอร์เนทิฟหลายๆ วงทั่วโลก

จากนั้น 12 ปีต่อมา หลังจากออกอัลบั้มมาแล้ว 6 ชุดกับ 1 รวมเพลง b side ก็ถึงเวลาที่วงที่มีแฟนเพลงทั่วโลกวงนี้จะได้ฤกษ์มีผลงานรวมเพลงของตัวเองเสียที หลังจากที่วงในรุ่นราวคราวเดียวกันออกรวมฮิตกันไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้ง Manic Street Preachers, Suede, Shed Seven, Pulp และคู่อริตลอดกาลอย่าง Blur ที่ออกรวมซิงเกิลไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว

ซึ่งแต่เดิมความคิดเรื่องการออกอัลบั้มรวมฮิตไม่เคยอยู่ในหัวของโนเอลผู้นำของวงเลยแม้แต่น้อย แถมยังประกาศว่าทางวงจะออกอัลบั้มรวมฮิตก็ต่อเมื่อวงแตกไปแล้วเท่านั้น ตามประสาของวงที่มี "อัตตา" สูงทั่วไป (เช่นวงอย่าง Radiohead และ Dream Theater ที่นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าจะออกอัลบั้มรวมเพลงกับเขาบ้างหรือเปล่า)

แต่เหตุที่รวมอัลบั้มชุดนี้ออกมาให้แฟนเพลงได้ยลกันนั้น ก็เพราะทางต้นสังกัดโซนียืนกรานว่ายังไงซะจะต้องเข็นอัลบั้มนี้ออกมาให้ได้ ผลก็คือโนเอลที่ไม่ค่อยเต็มใจนักก็ต้องมาเป็นผู้เลือกเพลงที่จะใช้ในผลงานชุดนี้ และจะทำอัลบั้มชุดนี้เป็นชุดสุดท้ายกับทางโซนีอีกด้วย หลังจากที่ทางวงไม่คิดจะต่อสัญญากับทางโซนีอีกแล้ว (หรือทางโซนีไม่อยากต่อเองกันแน่)

แม้จะเป็นอัลบั้มรวมเพลงที่แฟนตั้งตารอ สำหรับวงที่ทั้ง 6 สตูดิโออัลบั้มขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในอังกฤษมาตลาด แต่กับผลงานรวมเพลงชุดนี้กลับขึ้นไปได้สูงสุดแค่อันดับที่ 2 เมื่อโดนผลงานรวมเพลงรัก Love Album ของ 4 หนุ่มไอริช Westlife (ซึ่งก็ส่งผลงานขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ตมานักต่อนักแล้วเหมือนกัน) แซงคว้าอันดับ 1 ไปได้แบบฉิวเฉียด (ด้วยผลงานรวมเพลงรักประเภทของเก่าเล่าใหม่แบบไร้อารมณ์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่คุ้นชินกับฉบับเดิมยิ่งแล้วใหญ่) จนกลายเป็นประเด็นในวงการเพลงของประเทศอังกฤษในช่วงที่ผ่านมาทีเดียว

โดยคอนเซ็ปท์ในการเลือกเพลงของโนเอลนั้น เขาไม่ต้องการแค่เอาซิงเกิลทั้งหลายมารวมกัน แต่จะเป็นอัลบั้มรวมเพลงที่ดีกว่าถ้าจะนำทั้งซิงเกิล, b side และเพลงจากอัลบั้มมารวมเข้าไว้ด้วยกัน โดยบรรจุ 18 เพลงเอาไว้ในซีดี 2 แผ่น (1 ใน 3 เป็นเพลงที่โนเอลร้องด้วย) แยกตามชุดได้ดังนี้
1. 1994 Definitely Maybe : Rock 'n' Roll Star, Slide Away, Cigarettes & Alcohol, Live Forever, Supersonic
2. 1995 (What's the Story) Morning Glory? : Some Might Say, Wonderwall, Morning Glory, Champagne Supernova, Don't Look Back in Anger
3. 1997 Be Here Now : -
4. 1998 The Masterplan : Talk Tonigh, The Masterplan, Acquiesce, Half the World Away
5. 2000 Standing on the Shoulder of Giants : Go Let It Out
6. 2002 Heathen Chemistry : Songbird
7. 2005 Don't Believe the Truth : Lyla, The Importance of Being Idle

ดูจากชื่อเพลงที่โนเอลเลือกแล้วดูเหมือนเขาจะยอมรับว่าผลงานใน 3 ชุดหลังนี่แป็กจริงๆ ส่งให้ผลงานใน 2 ชุดแรกไดโควต้าติดเข้ามาเกินครึ่งอัลบั้ม รวมทั้งเพลง b side ซึ่งก็เป็นเพลงจากซิงเกิลที่ออกในชุดที่ 2 ทั้งนั้น อย่างไรก็ดี กลับไม่มีซักเพลงจากชุด Be Here Now อย่างไม่ทราบสาเหตุ

จากการเรียงเพลงที่คละกันที่โนเอลเป็นผู้เลือกเองนี้ ทำให้น้ำหนักของเพลงทั้งอัลบั้มสมดุลกันดี เพราะถ้าเรียงตามยุคใน 2 แผ่นแล้วละก็ ต้องมีเสียงแซวว่าแผ่น 2 เป็นแผ่นแถมแน่ๆ

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นผลดีของแฟนๆ(รุ่นใหม่) หรือผลเสียต่อยอดขายของ 2 ชุดแรกในอนาคตหรือเปล่า เมื่อเล่นปล่อยของกันเต็มๆ ในชุดรวมเพลงแบบไม่มีกั๊กอย่างนี้

แม้จะขนเพลงมาเยอะขนาดนี้ สำหรับเหล่าสาวกแล้ว ยังไงก็ต้องมีตกหล่นบ้างอยู่ดี โดยเฉพาะซิงเกิลดังชิ้นที่ 2 ของวงอย่าง Shakermaker และเพลงเพราะสุดดังหาฟังยากอย่าง Whatever ที่ตกสำรวจจากการรวมทั้งนี้ และเป็นที่สังเกตว่าไม่ได้ถูกนำมาเล่นในคอนเสิร์ตมานานแล้ว อาจเป็นเพราะมลทินของทั้งสองเพลงที่ถูกฟ้องในข้อหาได้แรงบันดาลใจ หรือคำง่ายๆ ที่เรียกว่า "ลอก" มาจากเพลงของ I'd Like to Teach the World to Sing ของวง The New Seekers และ How Sweet to be an Idiot ของ Bonzo Dog Doo-Dah Band ซี่งการฟ้องร้องในศาลทาง oasis ก็เป็นฝ่ายแพ้ความอีกด้วย จะเหมือนแค่ไหน แฟนเพลงคงต้องไปควานหามาตัดสินกันด้วยตัวเอง

อีกเพลงหนึ่งที่แฟนๆ อยากฟังกันมาก แล้วไม่มีในอัลบั้มชุดนี้ได้แก่ Stop the Clocks อันเป็นชื่อของอัลบั้มรวมเพลงชุดนี้นั่นเอง เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นชื่อของเพลงๆ หนึ่งที่โนเอลแต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นไตเติ้ลแทร็กของสตูดิโออัลบั้มชุดที่แล้วด้วยซ้ำ แต่ต้องเปลี่ยนมาใช้เป็น Don't Believe the Truth เพราะว่าไม่ว่าจะบันทึกเสียงเพลง Stop the Clocks กันซักกี่เวอร์ชันก็ไม่เป็นที่พอใจของวงเสียที แถมยังไม่ปรากฏในอัลบั้มรวมเพลงที่เอาชื่อของมันไปใช้ซะอีก ปล่อยให้เหล่าสาวกต้องจินตนาการกันต่อไปว่า เพลงที่โนเอลถึงกับบอกว่าเป็นผลงานการเขียนเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาชีพนักแต่งเพลงของเขานั้นมันเป็นอย่างไร
ความพิเศษอีกอย่างของชุดนี้ในฐานะวงที่ถือเอา The Beatles เป็นพระเจ้าแล้ว พวกเขาได้เลือก เซอร์ ปีเตอร์ เบล็ก ที่เคยออกแบบปกให้กับสี่เต่าทองในอัลบั้มชุด Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติการออกแบบปกแผ่นเสียงในยุคนั้น มาออกแบบปกรวมฮิตในอัลบั้มรวมเพลงชุดนี้ของพวกเขาด้วย โดยทางเบล็กเผยว่าสิ่งของที่เขาเลือกมาใช้ในปกนี้เกิดจากการเดาสุ่ม โดยยึดเอาแนวคิดของปก Sgt. Pepper's ของสี่เต่าทองและปก Definitely Maybe ของสองพี่น้องกัลลาเกอร์มาเป็นธีมในการออกแบบ ซึ่งตัวละครที่นำมาใช้ในครั้งนี้มีทั้ง โดโรธี จากนิยาย Wizard of Oz, คนแคระทั้ง 7 จากนิทาน Snow White และนักแสดงอังกฤษรุ่นใหญ่ ไมเคิล เคน ที่มาแทนแนวคิดเดิมที่จะใช้รูปของดาวค้างฟ้าอย่าง มาริลีน มอนโร แต่ติดปัญหาด้านกฏหมายเสียก่อน

ซึ่งทางเบล็กเผยว่าภาพปกที่เราเห็นอยู่นี้ไม่ใช่ภาพที่เขาต้องการจะใช้แต่แรก แต่มันเป็นภาพถ่ายของร้าน Granny Takes A Trip บนถนนคิง โรด ย่านเชลซี ในลอนดอน (วงจากทางเหนือ จะเอาภาพถ่ายในลอนดอนไม่น่าจะเหมาะ ถ้าเป็น Blur ก็ว่าไปอย่าง)

แม้โนเอลในฐานะผู้แต่งเพลงจะเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกเพลงทั้งหมด แต่น้องชายอย่างเลียมซี่งเป็นผู้ร้องนำก็คิดว่าลิสต์เพลงของพี่ชายครั้งนี้ใช้ได้เลยทีเดียว แม้ว่ามันจะสมบูรณ์กว่านี้ถ้ามีเพลงอย่าง Rockin' Chair และ D'You Know What I Mean? รวมเข้าไว้ด้วยก็ตาม

แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวแล้ว คิดว่าถ้าโนเอลมาไม้นี้ ขอแนะนำให้ไปซื้อผลงานของวงใน 2 ชุดแรกทั้ง Definitely Maybe และ (What's the Story) Morning Glory? ไปเลยดีกว่า (รวมชุด 3 อย่าง Be Here Now และรวม b side จากชุด The Masterplan ด้วยก็ไม่ว่ากัน) เพราะคุณจะได้เพลงที่ครบ และมีการเรียงลำดับอารมณ์ที่ต่อเนื่อง เพื่อจะได้ดูว่าทางวงมีการพัฒนาการทางดนตรีเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแต่ละชุด

แต่ถ้าคนที่เอาสะดวกเข้าว่า ซีดี 2 ชุดในราคาเดียว แถมด้วยดีวีดีพิเศษชุดนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์สำหรับคนที่ต้องการศึกษาว่าดนตรีแบบ oasis นั้นเป็นอย่างไร แล้วทำไมถึงได้เป็นวงที่แฟนเพลงทั่วโลกให้ความศรัทธากันมากขนาดนี้ โดยเฉพาะการเรียงเพลง 3 เพลงชุดท้ายของชุดอย่างเพลง Morning Glory, Champagne Supernova และปิดท้ายด้วย Don't Look Back in Anger ก็เป็นสิ่งการันตีความอมตะของ oasis ในวงการเพลงไปได้อีกยาวนาน

*พิเศษ* เตรียมพบการฉายบันทึกเรื่องราวความเป็น Oasis และภาพเบื้องหลังการทัวร์ Don’t Believe The Truth ได้ใน ภาพยนตร์เรื่อง Lord Don't Slow Me Down วันอังคารที่ 12 ธันวาคมนี้เวลา 18.00 ที่ โรงภาพยนตร์ Grand EGV Siam Discovery โรงที่ 3

สำหรับแฟนเพลง Oasis ที่ต้องการเข้าร่วมงานในวันนั้นสามารำทำได้โดยซื้ออัลบั้ม Stop The Clocks นำเข็มกลัดที่แถมมากับอัลบั้มแทนบัตรเข้างาน ฟรี!!
กำลังโหลดความคิดเห็น