xs
xsm
sm
md
lg

Death Note: The Last Name:จะกลัวอะไรกับความว่างเปล่า...

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

How to use it
II

The human who uses this note can neither go to heaven nor hell

คนที่ใช้เดธโน้ตอย่าคิดว่าจะได้ไปสวรรค์หรือลงนรกนะ


Death Note เป็นหนังที่สร้างจากการ์ตูนญี่ปุ่นสุดดัง ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ เดธโน้ต หรือสมุดพกของเหล่ายมทูตเพื่อใช้จดชื่อและลงรายละเอียดของมนุษย์ที่ถึงฆาต แต่ยมทูตตนหนึ่งที่ชื่อว่า รุค (Ryuk) (ในการ์ตูนของไทยเขียนว่า 'ลุค' คล้ายๆ กับในเรื่อง นานะ ที่นักร้องสาววงแทรปเนสต์ ชื่อว่า เรย์รา ทั้งๆ ที่ตั้งชื่อจากเพลง Layla ของอีริค แคลปตัน) ที่เกิดเบื่องานประจำชิ้นนี้ กลับนำสมุดมรณะดังกล่าวมาให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า ยางามิ ไลท์ มาใช้เล่น ไลท์จึงใช้ทั้งนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบความอยุติธรรมอย่างรุนแรงเป็นทุนเดิม พร้อมกับสมองอันปราดเปรื่อง ใช้เดธโน้ตในการพิพากษาคนชั่วร้ายในสังคมที่กฎหมายเข้าถึงไม่ได้ พร้อมกับเอาตัวรอดจากการตามล่าของเหล่าบุคคลที่ไม่เชื่อในระบอบ "ศาลเตี้ย" ของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ L เด็กหนุ่มผู้ปราดเปรื่องอีกคนที่พยายามหาตัวตนที่แท้จริงของผู้ที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว หรือที่รู้จักกันในนาม "คิระ" (Killer) ให้จงได้

ในภาคที่แล้วจบลงด้วยการที่ ไลท์สามารถใช้การวางแผนอันแยบยลรวมทั้งความช่วยเหลือจากเดธโน้ต นำพาให้ตัวเองเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ตามล่าคิระร่วมกับ L สำเร็จ ขณะที่หนังได้ทิ้งเหตุการณ์เอาไว้ที่เดธโน้ตเล่มที่ 2 ได้ตกมายังมนุษย์โลกอีกครั้ง และผู้ที่ครอบครองมันก็คือสาวหน่อมแน้ม ที่ชื่อว่า มิสะ มิสะ ผู้ที่มีอุปนิสัยแตกต่างจากยางามิ ไลท์ผู้เยือกเย็นอย่างสิ้นเชิง หากแต่ความหุนหันพลันแล่นของเธอได้ทำให้เดธโน้ต "เครื่องร้อน" ขึ้นมา จนนำไปสู่ข้อแลกเปลี่ยนที่แม้แต่ยางามิ ไลท์ผู้มุ่งมั่นในเดธโน้ตยังไม่กล้า คือการแลกครึ่งหนึ่งของอายุขัยในชีวิตเธอ กับการได้มาซึ่ง "ดวงตายมทูต" ที่สามารถฆ่าใครก็ได้แค่เห็นของคนๆ นั้น จากความช่วยเหลือของยมทูตตนใหม่ของภาคอย่าง "เรม" (ซึ่งในการ์ตูนเป็นตัวเมีย แต่ในหนังภาคเสียงเป็นผู้ชายชัดเจน แต่หน้าตาก็น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า)
หนังที่มีพล็อตเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์, ยมทูต และความตายนี้ มีทำออกมาอยู่หลายครั้งแล้ว ที่จำกันได้เรื่องหนึ่งได้แก่ What Dreams May Come ที่นำแสดงโดยโรบิน วิลเลียมส์และคิวบา กู๊ดดิง จูเนียร์ในฐานะยมทูต ซึ่งเรื่องนั้นโชว์เอฟเฟ็คในการเล่าเรื่องราวในแดนสวรรค์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่โลกมนุษย์อย่างเดธโน้ตนี่ และที่แตกต่างกันที่สุดก็คือเรื่องแรกนั้นยมทูตมีหน้าที่ในการค้นหาความสงบสุขในจิตใจของมนุษย์ แต่ยมทูตในเดธโน้ตกลับใช้มนุษย์อย่างเล่นๆ เพื่อแก้เซ็งเท่านั้น

น่าสังเกตว่าช่วงนี้การนำการ์ตูนมาทำเป็นหนังกำลังฮิตในญี่ปุ่นอย่างมาก ทั้ง อาซึมิ ของโคยามา ยู ที่นำไปสร้างทั้ง 2 ภาคแล้ว (ถ้าทำเรียวมาด้วยจะดีมากๆ) หรือผลงานของอาดาจิ มิซึรุ อย่าง Touch และ Rough ก็สร้างเป็นหนังใหญ่มาแล้วเช่นกัน (เรื่องหลังนี่จะนำมาฉายให้แฟนๆ ชาวไทยได้กันในต้นปีหน้า ผลงานของผู้กำกับเคนทาโร่ โอตานิ เจ้าของเดียวกับนานะทั้งสองภาค) รวมทั้งการ์ตูนสุดฮิตแห่งยุคอีกเรื่องอย่าง นานะ ของ ไอ ยาซาวา ก็ถูกนำออกมาทำเป็นหนัง 2 ภาคไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

เมื่อเทียบเรื่องชั้นเชิงการดัดแปลงมาสู่ฉบับภาพยนตร์ของ 3 เรื่องระหว่างเดธโน้ต, นานะ และอาซึมิแล้ว เดธโน้ต ถือว่าทำได้ดีที่สุด ขณะที่การเดินตามตัวหนังสือแบบโต้งๆ ประกอบกับการแคสท์ตัวละครอย่างเหมาะสมและเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ส่งอย่างแรงของนานะ ทำให้ฉบับภาพยนตร์ถือว่าเสมอตัว แต่กับอาซึมิแล้ว ความไม่ลงตัวหลายๆ อย่างของหนังเทียบไม่ได้เลยกับความมันที่ได้จากการ์ตูน อุปสรรคอย่างหนึ่งก็เพราะงานสร้างที่ใหญ่โตกว่า 2 เรื่องดังกล่าว ซึ่งเมื่อดูถึงการสร้างหนังแอ็คชันกำลังภายในแล้ว ถ้าเกิดนำอาซึมิไปให้ทีมผู้สร้างของจีนหรือฮ่องกงทำได้ อะไรๆ ก็คงจะลงตัวกว่านี้ เพราะต้องยอมรับว่าภาพยนตร์แนวนี้ทางจีนฮ่องกงเขาคือที่สุดของที่สุดของวงการแล้ว ทั้งที่ความจริงวงการหนังกำลังภายในของฮ่องกงมีต้นแบบมาจากซีรีส์หนังแนวซามูไร-นินจาในยุค 60 ของญี่ปุ่นนั่นเอง ก่อนที่แนวทางดังกล่าวจะถูกปรับมาใช้ในวงการภาพยนตร์ของฮ่องกงอีกทอดหนึ่ง

ซึ่งผู้กำกับภาค 2 ของอาซึมิก็ไม่ใช่ใครนอกจาก ชูซุเกะ คาเนโกะ ผู้กำกับของ Death Note ทั้งสองภาคผู้นี้นี่เอง
ในส่วนของเดธโน้ตนั้น การนำเรื่องราวที่มีความซับซ้อนทั้งในการดำเนินเรื่องและเงื่อนไขต่างๆ ของเดธโน้ตออกมาให้ดูเข้าใจง่ายอย่างนี้ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม การแบ่งเป็น 2 ภาคไม่ได้ทำให้หนังยืดเยื้อ หรือขาดเหตุการณ์สำคัญที่เป็นหัวใจของการเล่าเรื่องไปเลย การตัดตัวละครบางตัวออกไปจึงไม่กระทบต่อการดำเนินเรื่องโดยรวม ที่นำไปสู่บทสรุปที่สมบูรณ์

ที่ถือว่าทำได้เยี่ยมก็คือ 2 ตัวละครใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้เรื่องกระชับขึ้น ทั้ง ชิโอริ อากิโนะ ที่เป็นแฟนสาวของไลท์ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ล้วนๆ และที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ คิโยมิ ทาคาดะ นักอ่านข่าวของสถานีซากุระทีวี ที่รวมเอาตัวละครอย่างน้อย 3 ตัวจากฉบับการ์ตูนมาใช้ดำเนินเรื่องในฉบับภาพยนตร์ ซึ่งเป็นตัวละครที่ทำให้เรื่องราวในภาคจบนี้ดำเนินไปได้อย่างลงตัวไม่น้อยหน้าฉบับการ์ตูน ขณะที่ภาคแรกใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการเล่าเรื่องจากการ์ตูนเล่ม 1-3 แต่ภาคที่ 2 นี้ใช้เวลาเท่ากันเล่าเรื่องจากเล่ม 3-12 (หรือ13) ได้อย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม การ์ตูนที่เต็มไปด้วย "กำแพง" ของเงื่อนไขแบบนี้ การเกริ่นเรื่องให้ผู้คนเข้าใจนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จึงทำให้ทั้ง 2 ภาคใช้วัตถุดิบจากฉบับการ์ตูนไม่เท่ากัน (แม้หลายคนจะบ่นว่าเล่มหลังๆ ไม่ค่อยเข้มข้นเท่าเล่มแรกๆ ก็ตาม)

แต่ที่ขโมยซีนไปเต็มๆ ในเรื่องนี้คงได้แก่ เคนอิจิ มัสซึยามา ผู้มารับบทเป็น L ที่นอกจากจะหลอนได้ใจแล้ว ยังเป็นตัวละครที่ดูมีเสน่ห์น่าติดตามและขำๆ ในอารมณ์ขี้เล่นๆ ไปซะทุกฉาก ต่างจากรายของ ทัตซึยา ฟูจิวารา ผู้มารับบทเป็น ไลท์ ที่แม้จะถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างดี แต่หลายคนก็บ่นว่าบุคลิกไม่ค่อยจะเหมือนไลท์ในฉบับการ์ตูนซักเท่าไหร่ จึงกลายเป็นว่าตำแหน่งขวัญใจแม่ยกต้องมาเปลี่ยนมือกันในฉบับภาพยนตร์นี่เอง
ที่ถือว่าผิดหวังนิดหน่อยก็คือการจบเรื่อง ที่หนังเหมือนจะมีอะไรให้ลุ้นว่าจะมีการหักมุมในตอนท้าย ตามสไตล์หนังแนวๆ นี้ แต่กลับไม่มีอะไรให้ออกมาลุ้นกันอีก จึงทำให้รู้สึกว่าเป็นตอนจบที่ดูค่อนข้าง "ธรรมดา" เกินไปหน่อย สำหรับหนังที่ใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงในการดำเนินเรื่องให้มาถึงตอนจบอย่างนี้

ที่ดูไม่เข้าอีกอย่างคือการเลือกใช้เพลง Dani California ของ Red Hot Chilli Peppers มาเป็นธีมหลัก ซึ่งเพลงจังหวะที่เล่นทีจริงอย่างนั้นดูไม่ค่อยเข้ากับเรื่องราวที่เดิมพันถึงความเป็นความตายในเดธโน้ตเลย จึงทำให้อารมณ์ที่เคร่งเครียดในหนังไม่ได้รับการสนับสนุนจากดนตรีที่เหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็น (หนังญี่ปุ่นหลายเรื่องแล้วที่กำลังดูอินๆ อยู่ พอเจอเพลงธีมในตอนจบเข้าไปถึงหมดอารมณ์ไปเลย)

ถือว่าเป็นโชคดีของสาวกเดธโน้ตเมืองไทยที่ได้ชมกันเร็วอย่างนี้ หลังจากทำกำหนดฉายเดิมลงไว้ที่เดือนม.ค.ปีหน้า แต่ได้ร่นมาเร็วขึ้นที่ปลายเดือนพ.ย. ซึ่งถือว่าเร็วกว่าหลายประเทศในเอเชียด้วยซ้ำ หลายคนอาจจะพอใจที่ไม่ต้องรอนาน แต่คนอ่านบางคนที่ไม่ได้ตามฉบับที่ลงในรายสัปดาห์ และตามอ่านเป็นเล่มๆ มาตลอดจนถึงเล่ม 11 อาจจะคิดว่ามันฉายเร็วไปหน่อยก็ได้ (หรือเป็นการ์ตูนที่รวมเล่มช้า?)

สิ่งที่ทำให้เดธโน้ตแตกต่างจากการ์ตูนเรื่องอื่นๆ นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกและซับซ้อนแล้ว มันยังได้ตั้งคำถามที่ตรวจสอบเจตจำนงของมนุษย์มาแล้วทุกยุคทุกสมัย

จึงไม่สำคัญแล้วว่า สงครามครั้งนี้ชัยชนะจะเป็นของคิระหรือ L มันสำคัญกว่าว่าคุณกำลังเชียร์ใครอยู่?

ยางามิ ไลท์ นั้นเป็นตัวแทนของคนที่เชื่อใน "บุคคล" มากกว่า "ระบอบ" ที่ไม่เข้าใจว่า คนที่เก่งกว่า ดีกว่า มีอำนาจกว่า ถึงต้องคอยฟังเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นปรปักษ์กับเขาเสมอ ไม่ดีกว่าหรือที่จะมอบอำนาจให้กับคนที่ "ดีที่สุด" เพื่อจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างทันท่วงที ดีกว่าจะฝากความหวังไว้กับความไม่แน่นอนของเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆ
ขณะที่ L ก็เป็นตัวแทนของคนที่ยึดมั่นใน "ระบอบ" เป็นที่สุด ผู้ที่เชื่อว่าประชาธิปไตยอย่างน้อยก็เป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุด ผู้ไม่มีวันจะยอมให้อำนาจทั้งหมดไปตกอยู่กับมนุษย์เพียงคนเดียว มนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหวต่อสิ่งเร้า ไม่ว่าจะเป็นคนดีแค่ไหนก็ตาม ซึ่งพฤติกรรมและการกระทำของคิระ ในการสร้าง "ศาลเตี้ย" เพื่อพิพากษาคนเลวให้หมดจากโลก จึงเป็นสิ่งที่ L ยอมให้มีอยู่ไม่ได้ และต้องกำจัดอย่างสิ้นซากให้เร็วที่สุด

มันจึงกลายเป็นเรื่องที่พลิกจากเนื้อหาของนิยายเรื่องอื่นๆ ที่แล้วๆ มา ที่พระเอกซึ่งได้รับพลังวิเศษมาเพื่อกำจัดเหล่าร้าย จะได้รับการยอมรับจากผู้ชมโดยดุษฎีว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เรื่องนี้กลับตีแผ่ว่า ไอ้อำนาจแบบนั้นต้นขั้วของมันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความชั่วร้าย พระเอกของเราจึงกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของหลายๆ คนโดยปริยาย

เมื่อถามว่า ถ้ามองจากทั้งความเป็นจริงและบริบทของสังคมในปัจจุบันแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก การหาคำตอบให้มันคงจะยากพอๆ กับคำถามถึงความเหมาะสมของการมีอยู่ของโทษประหาร? การพกถุงยางในหมู่วัยรุ่นเป็นการส่งเสริมหรือป้องกัน? ผู้ป่วยระยะสุดท้ายสมควรจะเลือกชะตากรรมของตัวเองได้หรือไม่? แล้วสิทธิ์ในการทำแท้งควรจะอยู่ในการวินิจฉัยของหมอหรือความสมัครใจของผู้เป็นแม่?

แต่ถ้าตัดเรื่องเกี่ยวกับสังคมภายนอกออกไป กลับมาสำรวจในจิตใจของตัวเอง...

ถ้าเดธโน้ตตกอยู่ตรงหน้า...คุณจะอยาก/กล้าใช้มันหรือเปล่า?

เป็นที่รู้กันว่า ยางามิ ไลท์ ใช้เดธโน้ตกำจัดคนเลว เพื่อสร้างสังคมในอุดมคติ และกลายมาเป็นพระเจ้าของโลกใหม่ เพื่อไปให้ได้ถึงจุดนั้นเขายอมแม้ต้องเสี่ยงกับชีวิตของคนใกล้ชิด แต่กลับไม่กล้าพอที่จะยอมแลกครึ่งหนึ่งของชีวิตเพื่อดวงตายมทูต ที่จะทำให้งานของเขาง่ายดายขึ้น ซึ่งอาจเป็นจะเป็นเพราะความขี้ขลาด หรือต้องการมีชีวิตที่ยืนยาวเพื่อจะได้เห็นสังคมในอุดมคติที่ตัวเองสร้างขึ้นมาจริงๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่น่ากลัวกว่าในการใช้เดธโน้ตที่ยมทูตเตือนไว้ก็คือ หนึ่งในกฏข้อที่ 2 ที่ว่าผู้ที่ใช้เดธโน้ตตายไปจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ที่ไลท์ไม่มานั่งคิดให้เสียเวลาเลย
คำขู่ดังกล่าว ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวตามความเชื่อของหลายๆ ศาสนา กับชีวิตหลังความตายที่ไม่มี "ภูมิ" ให้สิงสถิต เช่นในคริสตศาสนาที่กล่าวถึง Limbo อันเป็นสถานที่ที่ดวงวิญญาณของผู้ที่ไม่ได้รับศิลจุ่มจะต้องไปสิงสถิต

การเอาความเชื่อนี้มาอ้าง แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม หวาดกลัวการ "โดดเดี่ยว" เป็นที่สุด กลัวการไร้ซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยว กลัวกับการที่ต้องอยู่คนเดียว

แต่ในศาสนาพุทธแล้ว สภาวะดังกล่าวไม่ต่างจากการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร หรือการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสตนาพุทธด้วยซ้ำ

สุขและทุกข์นั้นต่างกันอย่างไร ในเมื่อเราสุขแค่ไหนตอนที่หลุดพ้นจากความทุกข์อันแสนสาหัสอย่างยาวนาน และเราทุกข์แค่ไหนที่ต้องพรากจากความสุขที่อยู่กับเรามาอย่างยาวนาน เรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้ต่างเกิดขึ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งนั้น

และถ้าเดธโน้ตจะเป็นทางลัดให้ไปสู่สิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าสุดท้ายสิ่งที่ยางามิ ไลท์พยายามสร้างจะสำเร็จหรือไม่ เขาก็ยังเป็นคนที่น่าอิจฉาอยู่ดี

ดังนั้น ข้อตกลงในการใช้เดธโน้ตก็อาจจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิด กลับจะเป็นข้อดีเสียด้วยซ้ำ

...ว่าแต่จะมีใครยอมให้ตัวเอง "สกปรก" เพื่อทำความ "สะอาด" ให้กับสังคมกันบ้าง?
กำลังโหลดความคิดเห็น