ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ฟุ้งเฟ้อตามใคร พิธีกรวาไรตี้ชื่อดัง "ตีสิบ" ฉายาเสี่ย "วีที" หรือ "วิทวัส สุนทรวิเนตร" บ่นอุบรายการเดียวสุดเหนื่อยต้องคิดคอนเซ็ปต์ใหม่ทุกสัปดาห์โดยเฉพาะช่วงยอดฮิต "ดันดารา" แจงมีโปเจ็กโดนใจแต่ไม่อยากทำ เผยรวยพอแล้วไม่อยากดิ้นรนอะไรมาก
ปล่อยให้เพื่อนร่วมวงการอย่าง "เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล" และพิธีกรมากฝีมือ "ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์" มาแรงแซงหน้าผลิตรายการใหม่โกยเรตติ้งและเงินเข้ากระเป๋าเป็นว่าเล่น ในขณะที่พิธีกรอารมณ์ดี "วิทวัส สุนทรวิเนตร" แห่ง "ตีสิบ" ที่ควบเวลาออกอากาศจากช่อง 3นานถึง 3 ชั่วโมง จนมีอายุครบ 9 ขวบไปแล้วกลับไม่มีทีท่าว่าจะมีโปรเจ็กต์แปลกใหม่ออกสู่สายตาคนดู
เจ้าตัวเผยมีคนติดต่ออยากร่วมงานเยอะแต่ตนยังไม่สนใจอยากทำ เพราะพอใจและกำลังสนุกกับสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้
"ยังไม่คิดถึงตรงนั้นเลย ทุกวันนี้เราก็คิดของใหม่อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ยังไม่คิดว่าจะมีอะไรใหม่ แค่ทำรายการทุกอาทิตย์ให้มันดีที่สุดก็พอ แย่ หนักมาก วาไรตี้เป็นรายการที่ทำยากมากเราทำสิ่งใหม่แทบจะทุกอาทิตย์ไม่ใช่คิดปีละครั้ง รายการของเราความจริงมันมี 3 ช่วง ดันดารา สนทนา แล้วก็ช่วงต้นรายการปล่อยฟรี"
"แต่ไปๆ มาๆ ช่วงดันดาราขโมยเวลาไปหมดเลย เราตัดไม่ลงจริงๆ เลยต้องไปเบียดเวลาช่วงอื่นให้น้อยลง เวลามันไม่มี มีคนติดต่อมาเหมือนกันแต่เราได้แต่ขอบคุณไม่มีกำลังทำจริงๆอย่างที่บอกวาไรตี้กินกำลังมาก เรามีแค่หนึ่งรายการแค่นี้ก็สนุกพอแล้ว"
ยอมรับว่าเหนื่อยมากยังได้คิดว่าจะเพิ่มให้เหนื่อยกว่านี้
"วาไรตี้มันถมไม่เต็มทำไปได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่จบไม่สิ้น มีความรู้สึกว่าเราต้องว่าใฝ่หาอยู่ทุกอาทิตย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำอีกเลยนะ รายการของเราได้เวลา 3 ชั่วโมง ยาวที่สุดในสถานีแต่ผู้ชมไม่พอ เขาอยากดูวาไรตี้มากกว่านี้ด้วยซ้ำไป อย่างส่วนของเข็มที่หลายคนบ่นน้อย ก็เพราะช่วงเวลาของดันดารานี่แหละมีคนสมัครเข้ามาเยอะนับพันคน"
คุย "ตีสิบ" พร้อมที่จะนำเสนอความหลากหลายที่ไม่ซ้ำซาก และมุกใหม่ๆ เรียกเสียงฮาตลอดเวลา..."ไม่หมดหรอก ถ้าคนที่ติดตามช่วงดันดาราจะรู้ว่าของเรามีทั้งหมด 5 แบบ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดันได้สำเร็จก็มีแต่ไม่ได้เป็นทีมใหญ่อย่างโปงลางสะออน ใครมีทีมใหญ่อย่างโปงลางสะออนก็ติดต่อเข้ามาได้เลย"
"เราจะมีโครงการใหม่อะไรต่อไป แต่บอกตอนนี้ไม่ได้ คือเวลาทำรายการเราต้องดูตลาดผู้บริโภคด้วย แต่ผู้บริโภคไม่ได้บอกเรา เราจะทำมาแล้วก็นำเสนอให้ผู้บริโภคแล้วเขาบอกว่าชอบ ไม่ชอบ แต่เขาไม่คิดให้เรา เราเลยต้องพยายามคิดสิ่งใหม่แทรกเข้าไปตลอดเวลาไม่ให้น่าเบื่อ"
ช่วงสนทนาก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความซาบซึ้ง ที่นำเรื่องราวเรียกน้ำตา สร้างความสะเทือนใจของคนในสังคมาตีแผ่เหมือนเดิมแม้หลายครั้งจะถูกมองว่าจงใจขายเรื่องในลักษณะนี้จนเกินไป
"นี่แหละคือความเป็นวาไรตี้ มันเยอะ เราก็ต้องทำการบ้าน ทีมงานหาข้อมูลเพื่อที่จะได้เรื่องราวของคนในสังคมทุกแง่มุมมานำเสนอ"
"ส่วนใหญ่ที่เห็นว่าเอาเรื่องแบบซึ้งเรียกน้ำตามาเพราะเราอยากสื่อให้เห็นว่าเวลาพ่อกับลูกต้องพลัดพรากเป็นอย่างไร แล้วพอเขาได้มาเจอกันจะดีใจแค่ไหน อันนี้ยกตัวอย่างนะครับ นอกเหนือจากนั้นก็เป็นเรื่องภัยที่เกิดขึ้นในสังคม คือพูดง่ายๆว่าครอบคลุมแต่เป็นประโยชน์"