คันฉ่อง...ส่องใจ..
โดย นพวรรณ สิริเวชกุล
คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
สิ่งที่ทำให้เรารู้จักตัวเองมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นตัวเราเองนี่ล่ะนะคะ..และการที่เราจะรู้จักตัวเราเองนั้น ก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งพิจารณาจิตใจตัวเองอย่างถ่องแท้ ทั้งนึกย้อนถึงการกระทำของตัวเอง ที่ง่ายและเห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการส่องกระจกนี่ล่ะค่ะ..
ดังคำไทยโบราณที่กล่าวไว้ว่า ‘ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา’ ดูจะเป็นสิ่งที่สะท้านใจ สะท้อนความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาที่สุด บทหนึ่งทีเดียวนะคะ...
หลายคนกล่าวไว้ว่า กระจกบานแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้คือ สายน้ำ ที่ว่ากันว่า การสะท้อนเงาของน้ำนั้น ยิ่งใส ยิ่งเห็นชัด และด้วยความคิดที่ไม่หยุดนิ่งของสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เรา ทำให้มีผู้คิดค้นจะทำกระจกส่องหน้าขึ้นมาแทนการส่องเงาตัวเองในน้ำค่ะ
กระจกบานแรกถูกทำขึ้นเมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยการนำโลหะประเภท สำริด ที่เป็นส่วนผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก มาขัดให้เป็นมันเงา จนสามารถใช้ส่องใบหน้าได้อย่างชัดเจน และตั้งแต่โบราณมา ชาวซูเมเรียนในแถบเมโสโปเตเมีย ก็นิยมเข้าด้ามกระจกด้วยไม้ งาช้างหรือไม่ก็ทองคำ
ต่อมาเมื่อถึง 328 ปีก่อนคริสตกาล ชาวกรีกก็เริ่มตั้งโรงเรียนสอนทำกระจกขึ้น เพราะพวกเขาเชื่อกันว่ากระจกเป็นงานศิลปะที่ละเอียดอ่อนและประณีต การจัดกระจกแต่ละบานต้องไม่ให้แผ่นโลหะด้านที่ใช้สะท้อนภาพเป็นรอยขีดข่วนเพราะการขัดด้วยเม็ดทราย
การทำกระจกเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูมากในยุคนั้น กล่าวได้ว่า โลหะทุกชนิดทั้งที่หาได้ในเมืองหรือสั่งเข้ามาจะนำมาขัดให้เป็นมันจนสะท้อนเงาได้ทั้งสิ้น แต่โลหะที่นิยมมาก คือ เงิน เพราะให้ภาพสะท้อนที่สมจริงกว่า ต่อมาเมื่อ 100 ปีก่อนคริสตกาล กระจกเงินเสื่อมความนิยมลง ผู้คนหันมาสนใจกระจกทองแทน
ในกาลต่อมา คนเราก็ไม่หยุดนิ่งที่จะค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดต่อไป เมื่อได้กระจกที่ทำด้วยโลหะหลากหลายประเภทแล้ว ก็เริ่มมองหากระจกที่ทำด้วยแก้ว... แม้ว่าจะมีการหลอมแก้วและเป่าแก้วเป็นรูปทรงอื่นๆ มาก่อนหน้านี้แต่ การทำกระจกเงาด้วยแก้วนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1300 นี่เอง โดยฝีมือของช่างเป่าแก้วที่เมืองเวนิส
ในช่วงศตวรรษที่ 14 มีบันทึกบอกว่า ในเมืองเวนิส ภาพพจน์ของคนถือเป็นสิ่งสำคัญในสังคมเป็นอย่างมาก ผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิงจะอวดฐานะด้วยการสวมสร้อยทองคำที่มีกระจกห้อยคล้ายจี้เพชร
นอกเหนือจากนำเอากระจกมาคล้องคอเป็นเครื่องประดับแล้ว ผู้ชายยังนิยมนำกระจกแก้วเล็กๆ มาประดับที่ด้ามดาบอีกด้วย เหล่าเชื้อพระวงศ์ในสมัยนั้นของเวนิสจะสะสมแก้วที่เข้ากรอบด้วยงาช้าง เงิน หรือทองบ้าง เพื่ออวดกันมากกว่าที่จะนำมาเพื่อใช้ประโยชน์
คุณลักษณะของกระจกแก้วยุคแรกๆ จึงใช้สะท้อนแสงมากกว่าสะท้อนภาพ เพราะใช้ส่องดูได้ไม่ดีแต่กลับกลายเป็นของประดับที่มีค่า ในสมัยต่อๆมา มนุษย์ก็มีความพยายามปรับปรุงกระจกให้มีคุณภาพดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 1687 ชาวฝรั่งเศส Bernard parrot จึงสามารถคิดวิธีเทเนื้อแก้วเป็นแผ่นกระจกให้เรียบไม่ขรุขระได้ และเริ่มพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆจนเป็นกระจกเงาบานใหญ่...ให้เราได้ใช้กันกระทั่งทุกวันนี้
กระจกทำหน้าที่สะท้อน ภาพ สะท้อนสิ่งที่ทำให้เราเห็นความจริง.... ภาพที่สะท้อนเป็นอย่างไร กระจกก็สะท้อนออกมาเป็นอย่างนั้น... ขึ้นอยู่แต่ว่า เมื่อเราเห็นสิ่งที่กระจกสะท้อนแล้ว...เราจะคิดกับสิ่งที่เราเห็นอย่างไร....
พบกับรายการ ต่างสมัย รอยไทย โดย นพวรรณ สิริเวชกุล
ได้ทุกวัน เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 07.00 - 08.00 น.
ทางคลื่นสามัญประจำบ้าน FM 97.75 MHz
หรือรับฟังรายการย้อนหลังได้ทาง www.managerradio.com