xs
xsm
sm
md
lg

Last Holiday + Time to Leave - ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


สัจธรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์พึงสำเหนียกเอาไว้คือ โลกใบนี้หมุนวนด้วยพลังแห่งความเปลี่ยนแปลง และชะตากรรมที่ทุกคนต้องประสบ –ไม่ว่าจะถึงเวลาอันสมควรหรือไม่ – ก็คือความตาย

ความตายถูกพูดถึงในงานศิลปะหลายแขนงด้วยกัน และมันก็ไปกระทบจิตใจของศิลปินในต่างแง่ต่างประเด็นกันออกไป ทั้งวรรณกรรม ภาพเขียน หนัง หรือดนตรี

มีเพลงเกี่ยวกับความตาย ของ เดอะ เฟลมมิง ลิปส์ - วงร็อกจากโอกลาโฮมาเพลงหนึ่งชื่อ Do You Realize? ซึ่งผมชอบมาก เนื้อเพลงตอนหนึ่งพยายามบอกให้คนเราตระหนักถึงข้อเท็จจริง มากกว่าจะไปฟูมฟายกับมันว่า You realize the sun don't go down / It's just an illusion caused by the world spinning round

พระอาทิตย์นั้นไม่ได้ตกลงตรงขอบฟ้าหรอก มันก็แค่โลกหมุนรอบตัวเองเท่านั้น - - บางทีข้อเท็จจริงก็ฟังดูไม่โรแมนติก และก็เศร้าอย่างเหลือเชื่อ

เร็วๆ นี้มีหนังที่เพิ่งออกดีวีดี 2 เรื่อง และมาพ้องกันอย่างบังเอิญ ทั้ง Last Holiday ของผู้กำกับ เวย์น หวัง และ Time to Leave ของผู้กำกับ ฟรองซัวส์ โอซง พูดถึงตัวละครหลักที่ต้องรับรู้ว่า ตนเองเป็นโรคร้าย และความตายจะมาเยือนพวกเขาในเวลาอันสั้น

เวย์น หวังเกิดที่ฮ่องกง แต่กลายมาเป็นคนทำหนังอเมริกันแท้ๆ เขาโด่งดังกับหนังว่าด้วยชีวิตของคนจีนในต่างแดนอย่าง Chain is Missing (1982), Dim Sum (1985) และ The Joy Luck Club (1993) พักหลังหวังทำงานที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่หนังที่ไม่เอาใจตลาดเลยอย่าง The Center of the World (2001) และหนังที่เหมือนกับขายตัวอยู่กลายๆ อย่าง Maid in Manhattan (2002)

ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณภาพโดยรวมนั้นนับว่ายังเชื่อถือได้ กับ Last Holiday ที่ดูตลาดมากๆ ก็ยังเป็นงานที่น่าพอใจ หวังเป็นคนที่ทำอะไรนุ่มนวลได้ดี แม้หนังทั้งเรื่องจะเปรอะไปด้วยมุขตลกอยู่มากมายก็ตาม

ควีน ลาติฟาห์ รับบทเป็น จอร์เจีย เบิร์ด สาวพนักงานห้างคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันอยู่มากมาย ตั้งแต่การเปิดร้านอาหารของตนเอง หรือการได้ออกเดตกับชายหนุ่มที่เธอแอบมอง เธอเขียนความเพ้อเจ้อนั้นลงในสมุดบันทึกที่เธอตั้งชื่อมันเองว่า Possibility Book จนแล้วจนรอดทุกอย่างนั้นก็แค่มีความเป็นไปได้ (Possibility) แต่มันไม่เคยเป็นจริงเลยสักครั้ง

กระทั่งได้มารู้ว่าตัวเองกำลังถูกคุกคามด้วยเนื้อร้ายในสมอง ที่เวลาเพียง 3 สัปดาห์ ทุกอย่างในชีวิตทั้งที่เคยทำและไม่เคยทำ – จะจบลงไปพร้อมๆ กัน ไม่นานนัก เบิร์ดจึงรู้ตัวว่าเธอควรใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดให้คุ้ม ด้วยการลงมือทำเรื่องเพ้อเจ้อในหัวให้เป็นจริง

เบิร์ดวางแผนใช้เงินออมทั้งหมดไปกับการเที่ยวครั้งสุดท้าย (และอาจจะเป็นครั้งแรกของเธอ) บ้าบิ่นและบ้าบอในแบบที่ควีน ลาติฟาห์จะสามารถทำได้ หนังแบ่งสัดส่วนไว้พอดีๆ คือตลกนำ และให้ความซาบซึ้งเป็นรสชาติรองที่ตามมา
Time to Leave
คำพูดของเชฟ ดิดิเยร์ (เจอราร์ เดอปาดิเออ) เป็นสิ่งที่ชวนให้ตื้นตันมากที่สุดของหนัง เขาเปรียบเทียบเบิร์ดเป็นหัวผักกาดเทอนิพที่ไม่ค่อยมีคนกิน ทั้งๆ ที่ถ้าปรุงให้สุกแล้ว อร่อยอย่าบอกใคร คนเรานั้นก็เหมือนกัน ดิดิเยร์ว่า ไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไร มาจากไหน คนเราควรวัดกันที่ตอนจบ ว่าจบได้สวยมากแค่ไหน

Last Holiday พยายามจะบอกคนดูถึงการกล้าใช้ชีวิตให้คุ้ม และแสดงคุณค่าของเวลากับความใฝ่ฝัน เรามักคิดว่าเรามีเวลาเหลือเฟือ แต่ใครล่ะจะรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

โรแมง (เมลวิล ปูโปด์) ตัวละครเอกใน Time to Leave ของฟรองซัวส์ โอซง ก็คิดตนเองยังพอมีเวลาถมเถสำหรับทุกเรื่อง เขาเป็นช่างภาพแฟชั่นชื่อดังที่คิดว่าใครๆ ก็จะต้องมาสยบแทบเท้าตัวเอง ไม่เคยยอมให้ใคร ไม่พอใจอะไรก็อาละวาด


มะเร็งร้ายกำลังจะพรากเขาไปเช่นกันในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ทันทีที่ทราบผลการวินิจฉัย โรแมงก็มองโลกไม่เหมือนเดิมอีก กล้องที่ดูฉับไวในช่วงแรก กลับเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า บางทีโรแมงอาจจะยื้อให้เวลาผ่านไปให้น้อยที่สุด

ชายหนุ่มตัดสินใจไม่บอกข่าวนี้กับใคร เขายังคงมึนตึงกับที่บ้านโดยเฉพาะกับพี่สาว บอกเลิกแฟนหนุ่มที่เขายังรักสุดหัวใจ ลาขาดจากงานที่กำลังไปได้ดี บุคคลเพียงคนเดียวที่รับรู้ข่าวร้ายคือ ย่าซึ่งนานๆ เขาจะไปเยี่ยมที ด้วยเหตุผลที่ว่า “ย่าแก่และใกล้จะตายแล้ว เราสองคนเหมือนกัน”

ย่า (ฌานน์ มอโร) ไม่ได้ตกอกตกใจกับสิ่งที่รับรู้ หล่อนเพียงแต่เล่าให้หลานชายฟังถึงประสบการณ์ของตัวเอง คราวที่สามีเสียชีวิตอย่างกะทันหัน หล่อนเล่าว่านับแต่นั้นก็ไม่สามารถมองหน้าลูกชายของตนเองได้เลย “มันทำให้ย่านึกถึงปู่” หญิงชราเลือกที่จะทิ้งลูก และถูกผู้คนประณาม “จะอย่างไรก็แล้วแต่ ย่าไม่สน นี่มันคือวิธีเอาตัวรอดอย่างหนึ่งของมนุษย์”

ด้วยเวลาที่เหลือไม่มาก โรแมงก็พยายามเอาตัวรอดในสถานการณ์จำกัด เขาเลือกวิธีที่ตรงข้ามกับจอร์เจีย เบิร์ด (ที่ดูเพ้อฝันมาก) และมันก็รวดร้าวกว่ากันมาก

Time to Leave เป็นงานที่นุ่มนวลทีเดียวของฟรองซัวส์ โอซง กิมมิกต่างๆ ที่เคยมีในงานชิ้นก่อนๆ ลดน้อยถอยลง ดูเหมือนลูกเล่นเพียงอย่างเดียวของหนังคือการให้โรแมงเห็นตนเองในวัยเด็ก ตามสถานที่ต่างๆ แต่โอซงก็ไม่ได้พยายามโน้มน้าวให้คนดูเกิดความรู้สึกซาบซึ้งตาม

เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะตายแล้วเราจะได้ทุกอย่าง และจะจัดการทุกเรื่องให้ดีตามประสงค์ โอซงทำให้เห็นว่า บางเรื่องที่โรแมงพยายามสะสางไม่ได้จบลงอย่างบริบูรณ์ กระทั่งการขอร่วมรักครั้งสุดท้ายกับแฟนหนุ่ม มันก็ยังล้มเหลว

หนังเรื่องนี้เป็นงานที่ดูส่วนตัวมากเหลือเกินสำหรับฟรองซัวส์ โอซง เขาไม่ได้ให้ตัวโรแมงทำอะไรเพื่อใคร ทุกอย่างนั้นเพื่อบำบัดจิตใจที่โหยหา และพยายามระงับความฟุ้งซ่านระหว่างเฝ้ารอความตาย

หนังของโอซงหลายเรื่องใช้ทะเลและหาดทรายเป็นฉากหลัง แต่มันไม่ได้หมายความถึงอารมณ์รื่นเริง หรือชวนให้หย่อนใจใดๆ เลย มันดูอ้างว้างเสียมากกว่า

Time to Leave จบเรื่องลงด้วยฉากพระอาทิตย์ตกที่ทะเล และโรแมงก็เลือกที่จะนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ภาพค่อยๆ ลำดับให้เห็นการเคลื่อนตัวของดวงอาทิตย์ มันดูสงบและเศร้าสร้อย

ผมเกือบๆ จะเสียน้ำตาเมื่อเรื่องจบลง แต่พอนึกถึงเพลงของเดอะ เฟลมมิง ลิปส์ แล้วก็ทำให้คิดเสียว่า นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเรื่องหนึ่งของชีวิต

พระอาทิตย์ไม่ได้ตกหรอก โลกเรามันหมุนต่างหาก
กำลังโหลดความคิดเห็น