ยังต้องการ...แบบนี้ กันอีกไหม?!
โดยนพวรรณ สิริเวชกุล
คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
ไม่ว่าใครจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์หลังสงครามและเขียนไว้อย่างไร เรื่องราวการสังหารโหดที่นานกิงคือแผลเป็นอันประทับรอยไว้ในใจมนุษยชาติ....แต่สิ่งที่ทำให้รอยแผลเป็นนั้นน่าขยะแขยงเป็นพิเศษก็คือ ตอนจบของประวัติศาสตร์ส่วนนี้ไม่เคยได้รับการบันทึกอย่างถูกต้องเหมาะสม.....
นั่นคือบทสุดท้ายในหนังสือแปลหลั่งเลือดที่นานกิงซึ่งแปลโดยคุณฉัตรนคร องคสิงห์จากหนังสือเรื่อง The Rape of Nanking ที่บรรจงเขียนขึ้นโดยไอริส จาง นักเขียนหญิงชาวจีนที่ค้นคว้าทุกซอกมุมของเหตุการณ์หฤโหดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษเธอ...เมื่อครั้งเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง...
เหตุที่ดิฉันหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาในช่วงนี้ เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บังเอิญพบบทความที่กล่าวถึงโครงการสร้างภาพยนตร์เชิงประวัติศาสตร์ โดยการหยิบยกเอาหนังสือเลื่องชื่อเล่มนี้ของไอริส จาง ขึ้นมาเป็นข้อมูลหลักในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เป็นความร่วมมือระหว่างคนสามชาติ คือ จีน อเมริกาและอังกฤษ
จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้เรื่องราวของเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่นานกิง เคยทำเป็นภาพยนตร์มาบ้างแล้วอย่างเช่นเรื่อง Don’t cry Nanking หรือ สงครามอำมหิตปิดตาโลก ที่เริ่มแพร่ภาพในช่วงปี 1995 แต่การสร้างครั้งใหม่นี้ นัยว่าจะใช้เวลาถ่ายทำกันค่อนข้างนานและใช้เงินลงทุนกว่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างสรรค์ภาพยนตร์นี้ให้เป็นภาพยนตร์คลาสิกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความทุกข์ยากของผู้คนในช่วงสงครามอีกเรื่องหนึ่ง...
เรื่องราวของความโหดร้ายที่เมืองนานกิงเริ่มต้นในช่วงปี 1937 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ที่นานกิงพ่ายแพ้แก่กองทัพญี่ปุ่น... หลังจากญี่ปุ่นเริ่มรุกรานจีนตั้งแต่ปี 1931 ตลอดเวลา 14 ปี แห่งการปกครองโดยกองทัพญี่ปุ่น เหตุการณ์อำมหิตต่างๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้นจนนับไม่ถ้วน....
มีนักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า หากให้บรรดาศพของชาวนานกิงยืนจับมือต่อแถวกันจะมีความยาวถึง 321 กิโลเมตร และหากตวงเลือดของพวกเขาก็จะมีน้ำหนักถึง 12,000 ตันและหากว่าจะนำร่างของเขาเหล่านั้นวางซ้อนกัน ก็จะมีความสูงเท่ากับตึก 74 ชั้น....เลยทีเดียว
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 13 ธันวาคม ปี 1937 หลังจากที่ญี่ปุ่นแปรสภาพให้นานกิงกลายเป็นสีเลือด...พวกเขาบุก ปล้น ฆ่า เผา ข่มขืน อย่างไร้ความเมตตา วิธีการสังหารเหยื่อชาวนานกิง มีหลากหลายทั้ง ยิงเป้า ใช้ดาบซามุไรฟันคอ ฝังทั้งเป็น เผาทั้งเป็น แขวนคอ ตัดอวัยวะ ผ่าสมอง ควักหัวใจ ระเรื่อยไปถึงบังคับให้พ่อข่มขืนลูกสาวตัวเอง หรือเรียงคิวข่มขืนผู้หญิงที่มีตั้งแต่เด็กไปกระทั่งคนแก่....ต่างๆ เหล่านี้ถูกเรียกว่า การฆ่าเพื่อความสนุกสนาน....ตลอดระยะเวลาหกสัปดาห์ พวกเขาทำสถิติคร่าชีวิตพลเมืองนานกิงไปได้ถึง สามแสนกว่าคน
เหตุการณ์นี้ถูกปิดบังเป็นเวลาหลายปี รวมทั้งถูกทำให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ด้วย ชาวญี่ปุ่นเองหลายคน พยายามเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเหตุการณ์นี้ หากใครเอ่ยถึงช่วงสมัยหนึ่งถึงกับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขายชาติ!!
จากเรื่องราวทั้งหมดที่ดิฉันพอจะหามาเรียนรู้ไม่ว่าจากหนังสือหรือภาพยนตร์ สิ่งที่กระทบใจมากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่อง การรุมข่มขืนค่ะ ที่ไม่ว่าผู้หญิงจีนที่นานกิงคนนั้นจะมีอายุเท่าไร ทหารญี่ปุ่นสามารถบำบัดความใคร่กับร่างกายเหล่านั้นได้ทุกสถานที่ ทุกโอกาส... ดังเช่นบันทึกหนึ่งว่ากล่าวว่า นอกจากเกมส์แข่งกันฆ่าเจ๊ก ของทหารญี่ปุ่นที่ต้องสังหารให้ได้คนละ 100 ร่างต่อวันแล้ว...
เกมส์ที่แสนหฤหรรษ์ของพวกเขาอีกเกมส์หนึ่งก็คือ...รุมข่มขืนไม่ว่าเธอคนนั้นจะมีอายุเพียงแค่ไม่กี่สิบขวบไปจนกระทั่งแปดสิบกว่า!! จำนวนของผู้หญิงที่ถูกข่มขืนนั้นไม่มีการระบุที่แน่ชัดว่า สองหมื่นหรือแปดหมื่นคน...แต่จะสักเท่าไรก็ตาม...การกระทำเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ปวดร้าวใจต่อผู้พบเห็นและรับรู้เรื่องราวด้วยกันทั้งสิ้น...
ภาพที่เล็ดลอดออกมาจนกลายเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ ก่อให้ใครหลายคนที่รับรู้เรื่องราวต้องน้ำตาไหลกับเรื่องเหล่านี้...ครั้งหนึ่งกองทัพญี่ปุ่นหลอกว่าที่ตลาดใครมีเป็ดไก่สามารถนำมาแลกกับข้าวสารและแป้งปรุงอาหารได้ แต่...เมื่อเธอเหล่านั้นไปถึง กลับพบแต่กองกำลังทหารที่หื่นกาม พร้อมจะข่มขืนเธอเหล่านั้นได้ทุกพื้นที่ของตลาดในเวลากลางวันแสกๆ...
หลายครั้งที่เหล่าบรรดาทหารญี่ปุ่นอิ่มเอมกับเกมกามแล้ว ก็สมนาคุณผู้หญิงเหล่านั้นด้วยคมหอกคมดาบ ที่ทะลุทะลวงเข้าไปภายในช่องคลอด บ้างก็คว้านเอาลูกในท้องออกมาเสียบที่ดาบปลายปืน แกว่งไกวเล่นเป็นของสนุก...
พยานทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งได้เล่าถึงช่วงเวลาสองปีแห่งการฝึกอบรมในกองพลทหารราบที่ 20 แห่งเกียวโต ฟุ ฟูคูชิมา ว่าพวกเขาถูกสอนว่า ความจงรักภักดีนั้นยิ่งใหญ่กว่าภูผา ชีวิตของพวกเขาก็ไม่สำคัญ ยิ่งชีวิตของศัตรูยิ่งไม่มีค่าอะไรเลย...ทหารทุกคนได้รับการฝึกให้หมดสิ้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เยี่ยงมนุษย์ผู้หนึ่งควรจะมี...วันแล้ววันเล่าที่พวกเขาถูกฝึกให้รู้จักการตัดหัวคนแล้วเสียบไปที่ดาบปลายปืน...
เหตุการณ์ที่ว่านี้ใช้เวลาหกสัปดาห์ค่ะ...และพอมีชาวตะวันตกร้องเรียนถึงความโหดร้ายนี้ต่อชาวโลก รัฐบาลญี่ปุ่นในยุคนั้น ก็แก้ปัญหาด้วยการจัดตั้ง ”บ้านผ่อนคลาย” ขึ้นในช่วงปี 1938 ที่นานกิง นี่เอง นัยว่าเพื่อลดปริมาณของผู้หญิงท้องถิ่นที่จะถูกข่มขืน...แต่แล้วพวกญี่ปุ่นก็ใช้ทุกกรรมวิธีเพื่อให้มีผู้หญิงจากเกาหลีบ้าง จากจีน ไต้หวันและฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เข้าไปอยู่ในบ้านนั้นเพื่อ...ผ่อนคลายเหล่าทหารหื่นกาม
จะว่าไปฟ้าก็ยังมีตานะคะ...เพราะหากช่วงเวลานั้น ไม่มีใครสักคนที่ลุกขึ้นมาบันทึกด้วยภาพทั้งภาพถ่ายหรือภาพยนตร์ ก็คงไม่มีหลักฐานที่เห็นกันจะอย่างนี้หรอกค่ะ..
อย่างจอห์น แมกี ที่อยู่ในนานกิงเวลานั้น เขาได้ใช้กล้องถ่ายภาพยนตร์สมัครเล่น ถ่ายภาพเอาไว้ได้
แล้วก็ยังได้จอร์จ ฟิทช์ ที่ซ่อนม้วนฟิล์มไว้ในชายเสื้อโค้ตก่อนออกนอกประเทศจีน....เรื่องราวเหล่านี้จึงถูกแพร่ออกสู่สายตาชาวโลกในเวลาต่อมา...
แม้เรื่องราวที่นานกิงจะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่ดิฉันเชื่อว่ามันคงยังติดตาตรึงใจผู้รับรู้เหตุการณ์ที่รอดชีวิตมาได้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะอยู่ฟากฝั่งใดของสงครามก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า.สงครามไม่เคยมอบความงดงามให้แก่ใคร...เพราะสงครามมักจะเหลือร่องรอยแห่งบาดแผลและความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจไว้เสมอค่ะ...แล้วอย่างนี้...เรายังต้องการมันอีกไหมค่ะ... ความรุนแรงที่เราก็เรียกมันว่าสงคราม นี่น่ะค่ะ!
พบกับรายการ ต่างสมัย รอยไทย โดย นพวรรณ สิริเวชกุล
ได้ทุกวัน เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 20.00 - 21.00 น.
ทางคลื่นสามัญประจำบ้าน www.managerradio.com