นิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งของผู้เขียนต่อการทำงานเขียน ณ พื้นที่นี้ในระยะหลังๆ ก็คือการไม่ค่อยจะได้นั่งดูรายการทีวีอย่างเอาจริงเอาจังสักเท่าไหร่
ไม่ใช่ว่าไม่มีรายการที่ไม่อยากดูหรือไม่มีรายการที่ไม่น่าดูอะไรหรอกครับ เรื่องของเรื่องคือผมกลับไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นไม่อยากจะดูมันซะทั้งรายการที่อยากดูและรายการที่น่าจะดู (เข้าใจมั้ยเนี่ย) ยิ่งช่วงหลังรู้สึกสมองมันตื้อๆ อย่างไรพิกล ทำนองที่ว่าดูแล้วก็จะมีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า เออ ก็สนุกดีนี่ แล้วอย่างไรล่ะ? ดูทำไม?
จนมาเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(27 ส.ค.)ที่ได้มีโอกาสนั่งดูราย "หลุมดำ" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ซึ่งเป็นรายการที่ผมเขียนถึงน่าจะบ่อยที่สุด ณ คอลัมน์แห่งนี้
หลุมดำคืนวันนั้นเป็นเรื่องของภัยคุกคามทางเพศที่เกิดในที่ทำงาน
แรกๆ ที่เริ่มดูก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับว่ามันจะมีอะไรให้น่าติดตาม เพราะโดยส่วนตัวผมเองคอนข้างจะรู้สึกว่าเรื่องทำนองนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ใหญ่โต หรือมีอะไรทำให้กลายเป็นประเด็นที่จะต้องหยิบยกขึ้นมาถกเถียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงทฤษฎีที่ว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากหญิงเสนอแต่ชายไม่สนอง หรือหากชายเสนอแต่หญิงไม่สนองมันก็คงจะไม่มีเรื่องในทำนองนี้เกิดขึ้น หรือหากเป็นกรณีของการข่มขืนกันก็น่าจะเอาผิดกันทางกฎหมายที่รองรับอยู่ได้
แต่เมื่อดูๆ ไปจนจบรายการผมก็รู้สึกได้ทันทีว่า ผมคิดผิดและตื้นมากๆ
เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่เป็นปัญหาจากคนเพียงสองคนเท่านั้น หากแต่โยงใยไปถึงความคิดและค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่มีต่อเรื่องนี้เลยทีเดียว
รายการนำเสนอถึงหญิงสาวในหลายๆ ฐานะที่ต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายและผู้ที่มีสถานะของการเป็นนายจ้างทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานตามบริษัทเอกชนทั่วๆ ไป นักศึกษาสาวที่เข้าไปฝึกงาน สาวเชียร์เบียร์ พนักงานต้อนรับ หรือแม้กระทั่งข้าราชการในหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเอง
แต่ละคนต่างก็มีปัญหาที่หนักเบาแตกต่างกันไป พนักงานหญิง ลูกจ้างสาว นักศึกษาฝึกงานหลายต่อหลายคนถูกเจ้านาย นายจ้าง พี่ๆ ที่ทำงานอยู่ หลอกจับมือ ถูกเนื้อต้องตัว พูดจาลามปาม ชวนคุยเรื่องลามก ด้วยความรู้สึกที่อึดอัดและกระอักกระอ่วนใจแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่พนักงานเสิร์ฟ - สาวเชียร์เบียร์ หลายต่อหลายคนถูกแต๊ะอั๋ง พูดจาส่อเสียด แทะโลม ทั้งที่ไม่รู้สึกยินดี
ครั้นพอพูดออกมาให้คนอื่นฟัง กลับเป็นว่าพวกเธอเหล่านี้ต้องกลายเป็นคนเรื่องมาก บางคนถูกมองว่าเป็นฝ่ายไปยั่วเอง ทุกคนโดนปิดปากทนอยู่กับความไม่พอใจในการถูกรุกล้ำด้วยคำว่าเพื่อหน้าที่การงาน ไร้ซึ่งอำนาจการต่อรอง
มีอยู่รายหนึ่งเป็นพนักงานของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่ถูกผู้เป็นหัวหน้าใช้อาวุธจี้ไปบังคับข่มขืนใจ ซึ่งหลังจากที่ทนปิดเรื่องดังกล่าวอยู่พักหนึ่งเธอจึงตัดสินใจเล่าให้กับผู้บังคับบัญชารับทราบ แต่สิ่งที่เธอได้รับจากการตัดสินใจดังกล่าวก็คือการถูกผู้บังคับบัญชาต่อว่า ถูกเจ้านายจับผิดเรื่องการทำงาน การถูกเพื่อนร่วมงานมองด้วยสายตาแปลกๆ ถูกสั่งย้ายแทบจะหมดอนาคตในหน้าที่ทำงาน
ตรงกันข้ามกับคนที่กระทำต่อเธอซึ่งน่าจะได้รับการลงโทษ น่าจะมีความผิด แต่กลับมีความก้าวหน้าได้รับการเลื่อนขั้น เพิ่มยศ เพิ่มซีบนบ่า
ในขณะที่อีกรายหนึ่งเธอถูกเรื่องในทำนองนี้เล่นงานเสียจนกลายเป็นคนเก็บกด ไม่ไว้ใจใคร ไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ ไม่ยอมมีสังคม ไม่คบเพื่อน แม้กระทั่งการเล่าถึงเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาดูแลเรื่องคดีความที่ว่าเธอยังต้องใช้การเขียนตัวหนังสือบอกกล่าว
อย่างที่เรียนไปตั้งแต่ต้นแล้วครับว่า ผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทุกครั้งซึ่งมีการหยิบยกเอาเรื่องในทำนองนี้มาพูดคุย เหตุผลที่หยิบยกเอามาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำสิ่งที่เรียกว่าคุกคามทางเพศแบบลหุโทษออกไป อาจจะด้วยสายตาหรือการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กับเพื่อนๆ ก็คือการตั้งข้อสมมุติฐานขึ้นมาว่า...เป็นฝ่ายผู้หญิงเองหรือเปล่าที่ก็มีส่วน "เปิดโอกาส" ให้เราสามารถกระทำในสิ่งต่างๆ ที่ว่านั้นขึ้นมาทั้งเรื่องของการแต่งเนื้อแต่งตัวที่อาจจะรัด หรือ เปิด - โชว์อวัยวะ 2 - 3 ชั้นที่ได้กลายเป็นความเข้าใจร่วมกันระหว่างคนในสังคมส่วนใหญ่ว่าเป็นอวัยวะที่ก่อให้เกิดความเร่งเร้าและเชิญชวนให้คิดถึงไปในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่ลักษณะของการพูดการจา การเล่นหูเล่นตาในเชิงเชิญชวนต่างๆ นานา
ประมาณว่าก็ใส่กันซะ(สั้น-รัด)ขนาดนี้แล้วนี่ จะมาห้ามไม่ให้ดูได้อย่างไร? (บางทีก็ถึงขนาดอ้างไปถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ถึงฮอร์โมน หรือความเป็นเรื่องธรรมชาติของเพศชายอะไรต่างๆ นานา เข้าไปโน่น)
แต่ถึงแม้จะมีความคิดดังกล่าว ทว่าหลังจากที่รายการ "หลุมดำ" คืนนั้นจบอย่าหาว่ามาสร้างภาพเลยครับ คำถามที่เกิดขึ้นมาทันทีในความรู้สึกของผมก็คือ พวกเราผู้ชายมีสิทธิ์อันชอบธรรมขนาดที่จะตัดสินเลยหรือที่จะเอาเปรียบด้วยการยืนอยู่ในฐานะของการเป็นผู้ "กระทำ" ต่อผู้หญิงที่แต่งตัวหรือพูดจาในลักษณะที่ว่า?
อะไรครับที่ทำให้เราเชื่อว่า พวกเธอแต่งตัวเช่นนั้นเพราะอยากให้เราผู้ชายลวนลามทางสายตา พวกเธออยากให้เรานำเอาสรีระไปพูดถึงและหัวเราะร่าด้วยความสนุกสนานสะใจด้วยความคึกคะนอง?
หรือเพียงแค่เอ่ยปากชมว่าสวย ดูดี
เรื่องเหล่านี้มันคงจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหรอกครับหากไอ้ความชอบธรรมที่ค่อนข้างจะขาดซึ่ง "มโนสำนึก" เหล่านี้มันไม่ได้เป็นเบื้องต้นของการกระทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความเลวร้ายที่ยิ่งกว่ากับความรู้สึกและชีวิตของเพศหญิงเหมือนกับที่รายการนำเสนอ
อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่ากับการที่หลายกรณีนั้นนอกจากกฎหมายเองจะไม่สามารถเข้าไปเอาผิดกับคนที่กระทำผิดหรือไม่มีบทลงโทษใดๆ กับบุรุษเพศเลย หากแต่กลับเป็นตัวตนของหญิงที่ถูกกระทำกลับต้องกลายเป็นเหยื่อแห่งความน่าอับอายของค่านิยมและความรู้สึกของคนในสังคมแทน
ดูรายการคืนนั้นจบแล้ว ต้องกลับไปคิดอย่างที่พิธีกรของรายการบอกไว้นั่นแหละครับว่า ทุกวันนี้มนุษย์เรามีพัฒนาการทางด้านสมองที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ตั้งหลายอย่าง ทำสิ่งประดิษฐ์อะไรใหม่ๆ ขึ้นมา แต่ทำไมเรื่องในทำนองนี้นับวันความสำนึกชั่วดีของคนเรามันถึงได้ย้อนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นการใช้สัญชาตญาณเฉกเช่นดังสัตว์เข้าไปทุกทีๆ
ต้องปรบมือให้ดังๆ อีกครั้งกับรายการ “หลุมดำ” ที่นำเสนอเรื่องได้อย่างมีประเด็นที่ชวนให้คิด และชี้ให้เห็นถึง “ภัย” ที่ซุกซ่อนอยู่ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะมองไม่เห็นหรือมองเห็นเป็นเรื่องที่ไม่ใหญ่ได้อย่างน่าติดตามและค่อนข้างจะรอบด้าน
ไม่ได้มาหวังหรือต้องการเรียกร้องให้รายการทีวีอื่นๆ จะต้องเป็นอย่างที่ “หลุมดำ” เป็นหรอกครับ
เพียงแค่อย่าทำรายการประเภทสร้าง “หลุมดำ” ขึ้นมาอย่างที่หลายรายการเป็นอยู่เท่านี้ก็พอแล้วครับ
ไม่ใช่ว่าไม่มีรายการที่ไม่อยากดูหรือไม่มีรายการที่ไม่น่าดูอะไรหรอกครับ เรื่องของเรื่องคือผมกลับไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นไม่อยากจะดูมันซะทั้งรายการที่อยากดูและรายการที่น่าจะดู (เข้าใจมั้ยเนี่ย) ยิ่งช่วงหลังรู้สึกสมองมันตื้อๆ อย่างไรพิกล ทำนองที่ว่าดูแล้วก็จะมีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า เออ ก็สนุกดีนี่ แล้วอย่างไรล่ะ? ดูทำไม?
จนมาเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(27 ส.ค.)ที่ได้มีโอกาสนั่งดูราย "หลุมดำ" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ซึ่งเป็นรายการที่ผมเขียนถึงน่าจะบ่อยที่สุด ณ คอลัมน์แห่งนี้
หลุมดำคืนวันนั้นเป็นเรื่องของภัยคุกคามทางเพศที่เกิดในที่ทำงาน
แรกๆ ที่เริ่มดูก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับว่ามันจะมีอะไรให้น่าติดตาม เพราะโดยส่วนตัวผมเองคอนข้างจะรู้สึกว่าเรื่องทำนองนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ใหญ่โต หรือมีอะไรทำให้กลายเป็นประเด็นที่จะต้องหยิบยกขึ้นมาถกเถียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงทฤษฎีที่ว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากหญิงเสนอแต่ชายไม่สนอง หรือหากชายเสนอแต่หญิงไม่สนองมันก็คงจะไม่มีเรื่องในทำนองนี้เกิดขึ้น หรือหากเป็นกรณีของการข่มขืนกันก็น่าจะเอาผิดกันทางกฎหมายที่รองรับอยู่ได้
แต่เมื่อดูๆ ไปจนจบรายการผมก็รู้สึกได้ทันทีว่า ผมคิดผิดและตื้นมากๆ
เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่เป็นปัญหาจากคนเพียงสองคนเท่านั้น หากแต่โยงใยไปถึงความคิดและค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่มีต่อเรื่องนี้เลยทีเดียว
รายการนำเสนอถึงหญิงสาวในหลายๆ ฐานะที่ต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายและผู้ที่มีสถานะของการเป็นนายจ้างทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานตามบริษัทเอกชนทั่วๆ ไป นักศึกษาสาวที่เข้าไปฝึกงาน สาวเชียร์เบียร์ พนักงานต้อนรับ หรือแม้กระทั่งข้าราชการในหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเอง
แต่ละคนต่างก็มีปัญหาที่หนักเบาแตกต่างกันไป พนักงานหญิง ลูกจ้างสาว นักศึกษาฝึกงานหลายต่อหลายคนถูกเจ้านาย นายจ้าง พี่ๆ ที่ทำงานอยู่ หลอกจับมือ ถูกเนื้อต้องตัว พูดจาลามปาม ชวนคุยเรื่องลามก ด้วยความรู้สึกที่อึดอัดและกระอักกระอ่วนใจแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่พนักงานเสิร์ฟ - สาวเชียร์เบียร์ หลายต่อหลายคนถูกแต๊ะอั๋ง พูดจาส่อเสียด แทะโลม ทั้งที่ไม่รู้สึกยินดี
ครั้นพอพูดออกมาให้คนอื่นฟัง กลับเป็นว่าพวกเธอเหล่านี้ต้องกลายเป็นคนเรื่องมาก บางคนถูกมองว่าเป็นฝ่ายไปยั่วเอง ทุกคนโดนปิดปากทนอยู่กับความไม่พอใจในการถูกรุกล้ำด้วยคำว่าเพื่อหน้าที่การงาน ไร้ซึ่งอำนาจการต่อรอง
มีอยู่รายหนึ่งเป็นพนักงานของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่ถูกผู้เป็นหัวหน้าใช้อาวุธจี้ไปบังคับข่มขืนใจ ซึ่งหลังจากที่ทนปิดเรื่องดังกล่าวอยู่พักหนึ่งเธอจึงตัดสินใจเล่าให้กับผู้บังคับบัญชารับทราบ แต่สิ่งที่เธอได้รับจากการตัดสินใจดังกล่าวก็คือการถูกผู้บังคับบัญชาต่อว่า ถูกเจ้านายจับผิดเรื่องการทำงาน การถูกเพื่อนร่วมงานมองด้วยสายตาแปลกๆ ถูกสั่งย้ายแทบจะหมดอนาคตในหน้าที่ทำงาน
ตรงกันข้ามกับคนที่กระทำต่อเธอซึ่งน่าจะได้รับการลงโทษ น่าจะมีความผิด แต่กลับมีความก้าวหน้าได้รับการเลื่อนขั้น เพิ่มยศ เพิ่มซีบนบ่า
ในขณะที่อีกรายหนึ่งเธอถูกเรื่องในทำนองนี้เล่นงานเสียจนกลายเป็นคนเก็บกด ไม่ไว้ใจใคร ไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ ไม่ยอมมีสังคม ไม่คบเพื่อน แม้กระทั่งการเล่าถึงเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาดูแลเรื่องคดีความที่ว่าเธอยังต้องใช้การเขียนตัวหนังสือบอกกล่าว
อย่างที่เรียนไปตั้งแต่ต้นแล้วครับว่า ผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทุกครั้งซึ่งมีการหยิบยกเอาเรื่องในทำนองนี้มาพูดคุย เหตุผลที่หยิบยกเอามาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำสิ่งที่เรียกว่าคุกคามทางเพศแบบลหุโทษออกไป อาจจะด้วยสายตาหรือการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กับเพื่อนๆ ก็คือการตั้งข้อสมมุติฐานขึ้นมาว่า...เป็นฝ่ายผู้หญิงเองหรือเปล่าที่ก็มีส่วน "เปิดโอกาส" ให้เราสามารถกระทำในสิ่งต่างๆ ที่ว่านั้นขึ้นมาทั้งเรื่องของการแต่งเนื้อแต่งตัวที่อาจจะรัด หรือ เปิด - โชว์อวัยวะ 2 - 3 ชั้นที่ได้กลายเป็นความเข้าใจร่วมกันระหว่างคนในสังคมส่วนใหญ่ว่าเป็นอวัยวะที่ก่อให้เกิดความเร่งเร้าและเชิญชวนให้คิดถึงไปในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่ลักษณะของการพูดการจา การเล่นหูเล่นตาในเชิงเชิญชวนต่างๆ นานา
ประมาณว่าก็ใส่กันซะ(สั้น-รัด)ขนาดนี้แล้วนี่ จะมาห้ามไม่ให้ดูได้อย่างไร? (บางทีก็ถึงขนาดอ้างไปถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ถึงฮอร์โมน หรือความเป็นเรื่องธรรมชาติของเพศชายอะไรต่างๆ นานา เข้าไปโน่น)
แต่ถึงแม้จะมีความคิดดังกล่าว ทว่าหลังจากที่รายการ "หลุมดำ" คืนนั้นจบอย่าหาว่ามาสร้างภาพเลยครับ คำถามที่เกิดขึ้นมาทันทีในความรู้สึกของผมก็คือ พวกเราผู้ชายมีสิทธิ์อันชอบธรรมขนาดที่จะตัดสินเลยหรือที่จะเอาเปรียบด้วยการยืนอยู่ในฐานะของการเป็นผู้ "กระทำ" ต่อผู้หญิงที่แต่งตัวหรือพูดจาในลักษณะที่ว่า?
อะไรครับที่ทำให้เราเชื่อว่า พวกเธอแต่งตัวเช่นนั้นเพราะอยากให้เราผู้ชายลวนลามทางสายตา พวกเธออยากให้เรานำเอาสรีระไปพูดถึงและหัวเราะร่าด้วยความสนุกสนานสะใจด้วยความคึกคะนอง?
หรือเพียงแค่เอ่ยปากชมว่าสวย ดูดี
เรื่องเหล่านี้มันคงจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหรอกครับหากไอ้ความชอบธรรมที่ค่อนข้างจะขาดซึ่ง "มโนสำนึก" เหล่านี้มันไม่ได้เป็นเบื้องต้นของการกระทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความเลวร้ายที่ยิ่งกว่ากับความรู้สึกและชีวิตของเพศหญิงเหมือนกับที่รายการนำเสนอ
อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่ากับการที่หลายกรณีนั้นนอกจากกฎหมายเองจะไม่สามารถเข้าไปเอาผิดกับคนที่กระทำผิดหรือไม่มีบทลงโทษใดๆ กับบุรุษเพศเลย หากแต่กลับเป็นตัวตนของหญิงที่ถูกกระทำกลับต้องกลายเป็นเหยื่อแห่งความน่าอับอายของค่านิยมและความรู้สึกของคนในสังคมแทน
ดูรายการคืนนั้นจบแล้ว ต้องกลับไปคิดอย่างที่พิธีกรของรายการบอกไว้นั่นแหละครับว่า ทุกวันนี้มนุษย์เรามีพัฒนาการทางด้านสมองที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ตั้งหลายอย่าง ทำสิ่งประดิษฐ์อะไรใหม่ๆ ขึ้นมา แต่ทำไมเรื่องในทำนองนี้นับวันความสำนึกชั่วดีของคนเรามันถึงได้ย้อนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นการใช้สัญชาตญาณเฉกเช่นดังสัตว์เข้าไปทุกทีๆ
ต้องปรบมือให้ดังๆ อีกครั้งกับรายการ “หลุมดำ” ที่นำเสนอเรื่องได้อย่างมีประเด็นที่ชวนให้คิด และชี้ให้เห็นถึง “ภัย” ที่ซุกซ่อนอยู่ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะมองไม่เห็นหรือมองเห็นเป็นเรื่องที่ไม่ใหญ่ได้อย่างน่าติดตามและค่อนข้างจะรอบด้าน
ไม่ได้มาหวังหรือต้องการเรียกร้องให้รายการทีวีอื่นๆ จะต้องเป็นอย่างที่ “หลุมดำ” เป็นหรอกครับ
เพียงแค่อย่าทำรายการประเภทสร้าง “หลุมดำ” ขึ้นมาอย่างที่หลายรายการเป็นอยู่เท่านี้ก็พอแล้วครับ