ศาลชั้นต้นยกฟ้อง "อ้อม ศานันทินี" หลังถูกเพื่อนดาราร่วมหุ้นบริษัทมาสเตอร์พีซฯ ยื่นดำเนินคดีฐานปลอมแปลงเอกสาร เจ้าตัวพร้อมสามี "เกริก ชิลเลอร์" เผยรู้สึกโล่งสุดๆ หลังต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้โกงมานานกว่า 1 ปี แจงทุกอย่างเกิดขึ้นมาเพราะความเข้าใจผิดพร้อมเตรียมยื่นเรื่องฟ้องกลับ
จากกรณีที่กลุ่มดารา อาทิ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ, นพสิทธิ์ เที่ยงธรรม, คริสติน่า อากีลาร์, ศิริพิชญ์ กฤษณะเศรณี, อั๋น ภูวนาท คุณผลิน ฯลฯ ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อ้อม ศานันทินี ชิลเลอร์ และ ประดิษฐ์ สมดังเจตน์ ฐานปลอมแปลงเอกสารใช้เอกสารปลอม พรบ.ห้างหุ้นส่วนจำกัด เมื่อปี 2548 หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหุ้นกันเปิดบริษัทมาสเตอร์พีซ ครีเอชั่น จำกัด กลายเป็นคดีความกันขึ้นมา
ความเคลื่อนไหวภายหลังจากศาลอาญาชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ล่าสุดทางด้าน นายประดิษฐ์ สมดังเจตน์ พร้อมด้วย อ้อม ศานันทินี และ เกริก ชิลเลอร์ จึงได้จัดให้มีการแถลงข่าวขึ้น โดยเจ้าตัวได้เปิดเผยถึงความรู้สึกว่า...
"ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษายกฟ้องเนื่องจากคดีโจทก์ไม่มีมูล อันนี้คือความคืบหน้าหลังจากที่พวกเราต้องตกเป็นจำเลย ตกเป็นผู้ต้องหาถูกตราหน้าว่าขี้โกงของสังคม ซึ่งจริงๆ แล้วคดีความดังกล่าวไม่ใช่เรื่องโกงเงิน แต่เป็นเรื่องปลอมแปงเอกสาร ทำให้ผมกับอ้อมกลายเป็นจำเลยสังคม"
"วันนี้เราไม่ได้ออกมาบอกว่าใครถูกใครผิด แต่เกือบ 2 ปีที่ผ่านมาเราถูกตราหน้าว่าขี้โกง เราไม่อยากให้ใครมาเจอสถานการณ์แบบนี้ คดีที่เขาฟ้องเราเป็นคดีอาญาไม่ใช่แพ่ง ถ้าศาลตัดสินว่าเราผิดอาจถูกจำคุก 3 ปีหรือไม่ก็รอลงอาญา มันรุนแรงมากสำหรับเรา เรื่องแบบนี้คนในวงการไม่น่าจะทำกัน"
ด้าน "เกริก ชิลเลอร์" สามีของอ้อมศานันทินี รวมทั้งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนยืนยันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นมาเพราะความเข้าใจผิด พร้อมวอนให้อีกฝ่ายหยุดดำเนินการต่อ
"ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากการเข้าใจผิดจริงๆ ศาลตัดสินแล้วว่าเราไม่ผิด มันเป็นเรื่องที่สบายใจมาก พ่อแม่พี่น้องญาติโกโหติกาก็สบายใจว่าเราไม่ได้ถูกกล่าวหาเช่นนั้นอีกแล้ว ในเมื่อเราตกลงกันไม่ได้และอยากให้ผู้ใหญ่ช่วยตัดสิน ในวันนี้ศาลยกฟ้อง ผมก็อยากจะทวงถามฝั่งโน้นกลับไปว่าจะหยุดไหม"
"ผมอยากจะให้ทุกคนหยุด พ่อแม่พี่น้องของทั้งสองฝ่ายก็จะได้สบายใจ ไม่งั้นมันก็เสียหายทั้งสองฝ่าย ผมอยากให้เรื่องมันจบ อยากทำมาหากินไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ถึงขึ้นก็ไม่กลัว ถ้าเขาจะยื่นอุทธรณ์ต่อเราก็จำเป็นที่จะต้องสู้ต่อไป"
ขณะที่ผู้เป็นภรรยา "อ้อม ศานันทินี" หลังจากที่เคยร้องห่มร้องไห้แถลงข่าวออกโทรทัศน์ไปเมื่อต้นปี 48 ปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้โกงนั้น การตัดสินของศาลในวันนี้จึงทำให้เธอสบายใจขึ้นมาก
"หลังจากที่ข่าวออกไปทำให้ครอบครัวของอ้อมแย่มาก เราถูกตัดสินไปโดยไม่รู้ตัว อ้อมจะคิดว่าเป็นวิบากกรรมของเราเอง มันเป็นการเข้าใจผิด อ้อมไม่อยากมีปัญหากับใครอีก พ่อแม่อ้อมก็ไม่สบายใจ อ้อมเป็นแม่คนด้วยก็อยากจะให้มันจบ อ้อมไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนั้น อ้อมจะอบรมเลี้ยงดูลูกได้ยังไง ถ้าอ้อมทำตัวแบบนั้น"
ส่วนรายละเอียดที่เป็นชนวนให้เกิดกรณีพิพาทจนนำไปสู่การฟ้องนั้น นายประดิษฐ์ สมดังเจตน์ ได้เปิดเผยให้ฟังตั้งแต่ต้นจนเกิดเรื่องขึ้นก่อนเผยว่าตนอาจจะต้องฟ้องร้องกลับโดยมีโทษจำคุกสูงสุด 3 - 5 ปีเลยทีเดียว
"เมื่อปี 2544 เราได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทมาสเตอร์พีซ ครีเอชั่น จำกัด มีหุ้นส่วนทั้งหมด 10 หุ้น ลงทุนคนละ 60,000 บาท โดยผม อ้อม และคุณนพสิทธ์ เป็นกรรมการสามารถลงนามเอกสารได้ ถ้าจะทำอะไรต้องมี 2 ใน 3 คนนี้ลงชื่อพร้อมตราประทับ จนกระทั่งกลางปี 46 เริ่มมีปัญหาจนทำให้มีหุ้นส่วนถอนหุ้นออกไป 3 คน โดยสองคนมารับเชคค่าปันผลและเงินทุนสองเท่าไป โดยหนึ่งในสองนั้นมีคนหนึ่งส่งตัวแทนมารับ แต่ขอไม่เปิดเผยชื่อว่าเป็นใคร ส่วนอีกหนึ่งคนมีความประสงค์อยากทำต่อ แต่ไม่อยากใช้ชื่อเขาก็ให้ใช้ชื่อเพื่อนเป็นตัวแทน"
"พอต้นปี 47 เราก็ได้ไปประมูลงานที่บริษัทแห่งหนึ่งและพบว่ามีบริษัทเอริสร่วมประมูลด้วย ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีคุณนพสิทธิ์และพวกเป็นกรรมการเข้าร่วมประมูล ทั้งที่ตัวเขาก็ยังเป็นกรรมการอยู่ที่บริษัทของเรา ผมก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องบอก ไม่งั้นจะกลายเป็นการฮั้วประมูล"
"การที่เขาไปเปิดบริษัททำการค้าแบบเดียวกันมันบ่งบอกทางพฤตินัยอยู่แล้วว่าเขาไม่น่าเป็นหุ้น ผมจึงได้ดำเนินการไปขอจดแก้ไขเพื่อให้คุณนพสิทธิ์และพวกออกจากการเป็นกรรมการ เพราะทั้ง 7 คนมีพฤติกรรมอยากออก แต่ยังไม่มีการเซ็นถอนหุ้น ต้นเหตุของคดีความน่าจะมาจากจุดนี้ ผมได้ดำเนินการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นตามความเข้าใจของผม"
"จากนั้นไม่นานก็มีจดหมายทนายส่งถึงผมให้ชี้แจงว่าทำไมเปลี่ยนแปลงเอกสารทั้งที่พวกเขาไม่ได้เซ็น ผมติดต่อไปแล้วแต่ไม่มีผู้รับสาย ซึ่งการไม่ตอบรับใดๆ ถือเป็นการยินยอมหรือเปล่า เราก็ดำเนินการ ผมก็เลยปรึกษาทนายและได้แก้ไขรายชื่อให้เหมือนเดิมตามที่เขาต้องการ จากนั้นเราก็มีการนั่งคุยกันทั้งสองฝ่าย โดยทางเขาได้ขอตรวจสอบบัญชี ไม่นานก็มีจดหมายทนายส่งมาทวงเงินค่าถอนหุ้น ซึ่งเราได้จ่ายไปแล้ว แต่ไม่มีการลงบันทึกไว้"
"1 ปีที่ผ่านมาเราเหมือนถูกปล้น ดีไม่ดีติดคุก ดังนั้นผมและอ้อมจึงได้มีการดำเนินการฟ้องกลับฐานร่วมกันฟ้องเท็จกระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นจริง ผมไม่ได้ต้องการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่อยากจะเรียกร้องความยุติธรรมความถูกต้อง ผมต้องปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของผม ผมไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร แต่อยากจะพูดความจริง"
จากนั้นเกริกและอ้อมก็ได้กล่าวปิดท้ายว่า...
"พวกเราเป็นพี่น้องวงการเดียวกันมาฟ้องกันแบบนี้เป็นคนอื่นคงฟ้องกันจนถึงที่สุด แต่จริงๆ ผมกับอ้อมไม่มีความประสงค์ใช้วิธีการแบบนี้และเราไม่ใช่คนแรกที่ใช้ ถ้าเขาอุทธรณ์เราก็จะสู้ต่อ ถ้าเขาจะหยุดเราก็คุยกัน ทางเราพร้อมที่จะหยุดไม่ติดใจอยู่แล้ว ที่ผ่านมาอ้อมกับผมโดนอย่างหนัก ไปตลาดอ้อมก็โดนด่าว่าเป็นอีขี้โกง ไปสร้างบ้านผู้รับเหมาก็บอกว่าเอาเงินโกงมาซื้อของไม่กลัวเหรอ เรื่องนี้มันเกิดผลกระทบกับเรามากมายจนเราไม่อยากจะอยู่เมืองไทย เคยคิดจะหนีไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก"
"สำหรับอ้อม....อ้อมคิดว่าการตัดสินในวันนี้คงจะทำให้หลายๆ คนเข้าใจอ้อมและครอบครัวมากขึ้น มีเรื่องร้ายแรงหลายอย่างเกิดขึ้น อ้อมก็ขออโหสิกรรมให้ แม้กระทั่งลูกอ้อมก็โดน อ้อมในฐานะที่เป็นแม่ก็ต้องออกมาปกป้องลูกเป็นเรื่องธรรมดา"