"เมล กิ๊บสัน" นักแสดง-ผู้กำกับชื่อดัง ถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีในข้อหาเมาแล้วขับเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังจาก 5 วันที่แล้วที่เขาบึ่งรถเกินอัตรากำหนดแถบทางหลวงฝั่งแปซิฟิคย่านมาลิบูในขณะที่มีอาการมึนเมา รวมทั้งยังแสดงพฤติกรรมด่าทอชาวยิวอันทำให้ภาพพจน์ของเขามัวหมองอยู่ในทุกวันนี้ ตามรายงานจากเอพีและรอยเตอร์

แม้จะออกมายอมรับด้วยตัวเองถึงพฤติกรรมอันก้าวร้าวและเลวทรามที่แสดงออกด้วยพิษสุราในคืนดังกล่าว แต่ฝ่ายอัยการของลอส แองเจลิสก็ยังยืนที่จะฟ้องเขาในข้อหา ขับรถในขณะมึนเมา หรือ DUI (Driving under the influence) หลังจากตวจพบว่าระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของเขาสูงเกินกฏหมายกำหนด รวมทั้งยังพบขวดบรรจุสุราภายในรถอีกด้วย
ซึ่งถ้าผิดจริง กิ๊บสันจะต้องติดคุกเป็นเวลาถึง 6 เดือนด้วยกัน "หลักฐานมีพร้อมจะดำเนินคดีกับเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าเขาจะพร้อมกับมันหรือไม่ก็ตาม" แซนดี กิ๊บบอนส์ โฆษกฝ่ายอัยการกล่าวในคำแถลงการณ์
การดำเนินคดีที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 ก.ย. นี้ ซึ่งเป็นไปได้ว่ากิ๊บสันจะให้ทนายของเขามาแก้ต่างแทน ซึ่งตามปกติแล้วผู้ที่ได้รับโทษเมาแล้วขับเป็นครั้งแรกจะได้รับโทษในสถานเบา แต่ถ้าทุกอย่างไม่เป็นตามที่กิ๊บสันคาด บางทีเขาอาจจะต้องใช้เวลาพิจารณาในสิ่งที่ตนควรจะทำในห้องขังก็เป็นได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอำนาจการตัดสินใจของศาลว่าจะจับซูเปอร์สตาร์รายนี้เข้าห้องขังในเวลาใด
จุดเริ่มแห่งความวุ่นวาย
ต้นเหตุของทางตันในวงการบันเทิงครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำราจจับกุมตัวกิ๊บสันในเวลา 2.36 น. ของเช้ามืดวันศุกร์ หลังจากขับรถด้วยความเร็ว 87 ไมล์ต่อชั่วโมงในพื้นที่ที่กำหนดให้ขับได้แค่ 45 ไมล์ต่อชั่วโมง

ซึ่งผลการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของเขาสูงถึง 0.12 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่กฏหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียกำหนดเอาไว้ที่ 0.08 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
โดยก่อนที่จะถูกจับกุมนั้น มีพยานพบยืนยันว่าพบเห็นกิ๊บสันได้ไปดื่มที่ Moonshadows ภัตราคารหรูหน้าชายหาดมาลิบู ขณะที่รูปถ่ายจากสถานที่ดังกล่าวแสดงภาพกิ๊บสันกำลังโอ้โลมหญิงสาวหลายคนในวันนั้นทีเดียว โดยหลักฐานสำคัญที่ทำให้เขาดิ้นไม่หลุดคงได้แก่การพบขวดเหล้าเตกิลาที่เปิดอยู่ในรถของเขาหลังจากที่ถูกจับกุมนั่นเอง
แต่เรื่องที่สร้างชื่อเสียให้เขามากไปกว่านั้น มาจากคำให้การของเจ้าหน้าที่ที่ไม่เปิดเผยนาม ซึ่งระบุว่าระหว่างที่เจ้าพนักงานแสดงตัวเพื่อเข้าไปสอบสวน กิ๊บสันได้พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "ชาวยิวต้องรับผิดชอบต่อสงครามทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลกนี้" แถมยังถามเขาว่า "คุณเป็นยิวหรือเปล่า"
โดยในบันทึกรายงานการจับกุมยังกล่าวว่ากิ๊บสันพยายามที่จะหนีก่อนที่จะถูกใส่กุญแจมือในที่สุด
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้สร้างกระแสสังคมอย่างมากมาย โดยลอรี เลเวนสัน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยกฏหมาย Loyola University Law School กล่าวว่าถ้ากิ๊บสันถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษที่เขาได้รับจะหนักหน่วงยิ่งกว่าการโดนเล่นงานทางกฏหมายหลายสิบเท่า
"ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการถูกดำเนินคดี แต่มันเป็นความเสียหายทางธุรกิจและชื่อเสียง และท้ายที่สุดมันคงจะได้ชื่อว่าเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่สร้างหายนะให้แก่ชีวิตเขาเลยก็ว่าได้"
การสำนึกผิด
เมล กิ๊บสัน นักแสดงและผู้กำกับวัย 50 ปีที่โด่งดังจากผลงานไตรภาค Lethal Weapon และได้รับออสการ์จากผลงานภาพยนตร์คุณภาพเรื่อง Braveheart เมื่อปี 1995 ได้ออกมาให้คำขอขมาต่อเหตุกาณ์ดังกล่าวแล้วถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน โดยอลัน ไนร็อบ โฆษกส่วนตัวของเขากล่าวว่าซูเปอร์สตาร์ผู้นี้กำลังกลับตัวกลับใจ จากผู้ที่หลงใหลในกลิ่นเมรัย โดยเข้าร่วมโปรแกรมบำบัดสำหรับผู้ที่ได้รับโทษจากแอลกอฮอล์มาตั้งแต่ก่อนคืนที่จะถูกจับ และกำลังเข้าสู่หลักสูตรสำหรับคนไข้ที่อยู่นอกเหนือการดูแลของโครงการ

โดยในคำขอขมาครั้งล่าสุดของกิ๊บสัน เขาได้มุ่งประเด็นไปที่ผู้นำของชาวยิวโดยเฉพาะ ซึ่งเขากล่าวผ่านทางโฆษกส่วนตัวว่า
"ผมต้องขออภัยอย่างสูงสุดต่อทุกคนที่เป็นชาวยิว สำหรับวาจาสามหาวและเลวทรามอย่างนั้น ได้โปรดเข้าใจด้วยว่าใจจริงแล้วผมไม่ใช่คนที่รังเกียจยิวเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ใช่คนที่มีอคติ ความเกลียดชังเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับศรัทธาของผม"
"ผมไม่ได้ออกมาร้องขอการให้อภัย ผมอยากจะทำอะไรที่มันเป็นรูปธรรมมากกว่านั้น ผมอยากจะเข้าพบกับผู้นำของชาวยิว ใครซักคนที่ผมสามารถสนทนาแบบตัวต่อตัวเพื่อให้แสงสว่างแก่การปรับเปลี่ยนทัศนคติครั้งนี้ คงจะมีชุมชนยิวซักแห่งที่มีความเมตตาและให้ความเข้าใจแก่ผม ซึ่งตัวผมขอภาวนาว่าประตูบานนั้นจะยังไม่ปิดไปตลอดกาล"
ซึ่งผู้นำชาวยิวทั้งหลายต่างให้ความเห็นว่า ก่อนที่กิ๊บสันจะเข้าร่วมเสวนากับตน เขาควรจะบำบัดอาการติดสุราเสียก่อน เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายให้ดีขึ้น เพราะการจะลบล้างอคติที่อยู่ในใจนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอย่างยาวนานทีเดียว
การให้อภัย
แรบไบ มาร์วิน เฮียเออร์ จากศูนย์ Simon Wiesenthal Center ในเมืองลอส แองเจลิส กล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากประเทศอิสลาเอลว่า "เรารู้ว่าเขาจะพร้อมสำหรับมันเมื่อไหร่ แต่ไม่ใช่อย่างที่โฆษกเขาคิดแน่ๆ ผมมั่นใจว่าเขามีปัญหาในการเผชิญหน้ากับแอลกอฮอล์ และตอนนี้เขาก็เผชิญกับปัญหาด้านอคติและการเหยียดยิวด้วยเช่นกัน"

"อคติเกี่ยวกับชนชาติยิวไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างประเดี๋ยวประด๋าว และไม่ใช่สิ่งที่จะแก้กันอย่างปัจจุบันทันด่วนได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ง่ายต่อการแก้ไขอย่างที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง" โดยเขาแนะนำให้กิ๊บสันเริ่มต้นจากการศึกษาประวัติการถูกทารุณกรรมของชนชาติยิวในอดีต รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผาพันธ์ของชาวยิวโดยพรรคนาซีระหว่างปี 1939-1945 ประกอบกับเรื่องอื่นเพื่อเสริมความเข้าใจเป็นพื้นฐาน
"เมื่อกิ๊บสันมีความพร้อมที่จะขจัดทั้งอคติและความรู้สึกรังเกียจยิวออกไปจากจิตใจอย่างถาวรแล้วล่ะก็ เขาจะพบว่าชุมชนชาวยิวมีความยินดียิ่งกว่าที่จะช่วยเหลือเขา" แรบไบมาร์วินแสดงทัศนะ
ในส่วนสมาคมป้องกันการหมิ่นประมาท แม้จะออกมาตอบรับคำขอโทษดังกล่าวด้วยดี แต่อับราฮัม เอช. ฟ็อกซ์ ผู้อำนวยการระดับชาติของสมาคมดังกล่าวเผยว่าการที่กิ๊บสันจะไปได้ถึงจุดนั้นจะต้องผ่านกระบวนการอีกมากมาย
"คุณไม่มีวันเลิกเหล้าได้ด้วยคำพูดฉันใด คุณก็ไม่มีวันละทิ้งอคติได้ด้วยวาจาฉันนั้น คุณต้องปฎิบัติมันอย่างจริงจัง และพวกเราพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่"
ซึ่งจากการออกมาแสดงความสำนึกผิดดังกล่าว ได้มีแรบไบผู้หนึ่งจากย่านเบเวอร์ลีย์ ฮิลส์ แสดงเจตจำนงที่จะเชิญชวนให้กิ๊บสันไปสนทนากับเขาแล้ว โดยจะให้เขามาพบที่โบสถ์ในวันยอร์น คิปเปอร์ ซึ่งถือเป็นวันชำระบาปประจำปีที่สำคัญที่สุดของศาสนายิวอีกด้วย
"การตอบรับดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าตื้นตันและเต็มไปด้วยไมตรีจิตอย่างเต็มเปี่ยม" โฆษกของกิ๊บสันกล่าว แต่ยังยืนยันว่าคงจะเร็วเกินไปที่กิ๊บสันจะร่วมการพูดคุยกับผู้นำชาวยิวใดๆ ได้ตอนนี้
"เขาไม่ต้องการการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า มันไม่ใช่สิ่งที่เขามุ่งหวัง เขาต้องการกระบานการฟื้นฟูอย่างเต็มรูปแบบจริงๆ เท่านั้น" โฆษกส่วนตัวกล่าว

ผลกระทบต่อชื่อเสียง
สำหรับความขัดแย้งต่อชาวยิวของกิ๊บสันเริ่มปะทุขึ้นหลังจากเขาสร้างภาพยนตร์ The Passion of the Christ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเมื่อปี 2004 ซึ่งหลายคนเห็นว่าเขาจงใจโยนความผิดข้อหาฆาตกรรมพระเยซูเจ้าให้แก่ชาวยิว ขณะที่กลุ่มที่เห็นด้วยออกมาอ้างว่าผลงานชิ้นดังกล่าวดำเนินเรื่องตามเรื่องราวของพระคัมภีร์เท่านั้น
โดยก่อนหน้านี้กิ๊บสันซึ่งเป็นชาวคาธอลิคฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้ออกมาปกป้องทั้งตัวเขาและตัวหนังว่าไม่ได้ต่อต้านยิวแต่อย่างใด ขณะที่ฝ่ายคุณพ่ออย่างฮัตตัน กิ๊บสัน เคยออกมาวิจารณ์ว่าเรื่องราวการฆ่าล้างเผาพันธ์ของชาวยิวนั้น แม้จะมีบ้างที่เป็นเรื่องจริง แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องแต่งขึ้นมาทั้งนั้น
อย่างไรก็ดี การยอมรับผิดของเขาก็ยังไม่เพียงพอสำหรับบางคน เมื่อ เมิร์ฟ อเดลสัน อดีตผู้จัดรายการโทรทัศน์ออกมากล่าวอย่างฉุนเฉียวในหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ข้อหาที่บรรดาเจ้าของสตูดิโอยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างนิ่งดูดายที่จะออกมาเล่นงานพฤติกรรมของกิ๊บสันในครั้งนี้
"เพื่อเห็นแก่เกียรติในหมู่พวกเรา จงอย่าไปสนับสนุนไอ้เวรนี้อีก ไม่เพียงเพราะว่ามันเป็นคนดัง"
ธุรกิจบันเทิงในฮอลลีวูดนั้น ผู้ก่อตั้งสตูดิโอยักษ์ใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นชาวยิวทั้งสิ้น ซึ่งลูกหลานทั้งชายหญิงต่างก็ยังคงดำรงตำแหน่งใหญ่โตในธุรกิจบันเทิงแห่งนี้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พอใจกับพฤติกรรมของกิ๊บสันครั้งนี้เป็นอย่างมาก

ซึ่งผลกระทบครั้งล่าสุดที่กิ๊บสันได้รับก็คือ การที่โฆษกหญิงของช่อง ABC กล่าวว่าทางสถานีได้ยุติแผนการสร้างมินิซีรีส์ที่เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผาพันธ์ของชาวยิวของกิ๊บสันที่ตกลงเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยทางสถานีให้เหตุผลว่าตลอด 2 ปีมานี้ที่ทางสถานีได้เซ็นสัญญากับทาง Icon Production บริษัทผลิตรายการของกิ๊บสัน ทางช่องยังไม่เคยได้เห็นตัวบทที่สมบูรณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ความคลุมเครือของกระบวนการสอบสวน
นายอำเภอลี บากา ออกมาปฎิเสธข้อกล่าวหาในการปกปิดข้อมูลในการดำเนินคดีเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จากข้อครหาที่ว่ารายงานดังกล่าวไม่ได้ระบุเหตุการณ์ในระหว่างการจับกุม และได้ตัดคำถากถางที่กิ๊บสันได้กล่าวต่อเจ้าพนักงานออกไปเสียสิ้น
"มันไม่มีการปกปิดอะไรทั้งนั้น มันจะเกิดขึ้นก็ในกรณีที่เราไม่จับกุมเขา หรือในกรณีที่เราทำลายหลักฐาน ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด"
สอดคล้องกับรายงานของเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอิสระที่เข้ามาสอบสวนการดำเนินคดีดังกล่าว ที่เผยในการสอบสวนขั้นต้นว่าการดำเนินคดีครั้งนี้เป็นไปตามกระบวนการที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ไมเคิล เจนนาโก หัวหน้าฝ่ายอัยการของหน่วยงานอิสระดังกล่าว ได้เผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าเขาไม่ยืนยันว่าการจับกุมดังกล่าวจะไม่มีเหตุการณ์ที่จะมีผลต่อการดำเนินคดีมากกว่าข้อหาเมาแล้วขับ และไม่ยืนยันด้วยว่าเจ้าหน้าที่พยายามที่จะปกปิดคำพูดของกิ๊บสันออกไปสู่สาธารณชน เมื่อรายงานการจับกุมฉบับดังเดิมได้ทำการปรับเปลี่ยน โดยข้อความของกิ๊บสันถูกแทรกเข้ามาในรายงานฉบับส่วนเพิ่มเติมอีกครั้ง

ขณะที่ สตีฟ วิทมอร์ โฆษกประจำเขตลอสแอนเจลิสกล่าวว่าการที่เจ้าหน้าที่พากิ๊บสันขับเลียบทางเพื่อไปส่งยังรถของเขาหลังจากถูกปล่อยตัวเป็นพฤติการณ์ที่รับได้
"มันอยู่ในนโยบายของเราที่จะต้องช่วยเหลือประชาชนเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยในกรณีของมร.กิ๊บสันเราไม่อยากให้เขาต้องเผชิญหน้ากับเหล่าปาปาราซีนั่นเอง"
เลิกเหล้า เลิก(อับ)จน
หลายปีมานี้เหล่าคนดังทั้งหลายที่มีปัญหาพัวพันกับยาเสพติดและแอลกอฮอล์ต่างเลือกที่จะปรับปรุงตัวด้วยการเข้ารับบำบัดอาการเสพติด อย่างเช่น นิค โนลเต นักแสดงรุ่นใหญ่ที่เต็มใจเข้าบำบัดที่คลีนิกในคอนเน็คติกันเป็นเวลา 4 วันหลังจากถูกจับในข้อหาพกพายาเสพติดเมื่อปี 2002, แพทริก เคเนดี นักการเมืองที่เข้ารับการบำบัดในคลีนิคมาโยในมินเนโซตา หนึ่งวันหลังจากที่เขาขับรถชนในย่านตัวเมืองเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา และดาราดังอย่าง โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่เข้ารับการบำบัดในศูนย์ live-in treatment center เมื่อปี 2000 หลังจากที่เขาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด
ซึ่งในกรณีของกิ๊บสันนั้นโอกาสที่เขาจะกลับมาเป็นนักแสดงที่ไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัวนั้นก็ยังเปิดกว้างอยู่มากทีเดียว เพราะกิ๊บสันได้เข้ารับการบำบัดสำหรับผู้ติดสุราก่อนที่จะถูกจับในคืนดังกล่าวแล้วด้วยซ้ำ
อนาคตวูบ! "เมล กิ๊บสัน" เมาแล้วด่ายิว
"เมล กิ๊บสัน" ถูกจับ! โทษฐานเมาแล้วขับ
แม้จะออกมายอมรับด้วยตัวเองถึงพฤติกรรมอันก้าวร้าวและเลวทรามที่แสดงออกด้วยพิษสุราในคืนดังกล่าว แต่ฝ่ายอัยการของลอส แองเจลิสก็ยังยืนที่จะฟ้องเขาในข้อหา ขับรถในขณะมึนเมา หรือ DUI (Driving under the influence) หลังจากตวจพบว่าระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของเขาสูงเกินกฏหมายกำหนด รวมทั้งยังพบขวดบรรจุสุราภายในรถอีกด้วย
ซึ่งถ้าผิดจริง กิ๊บสันจะต้องติดคุกเป็นเวลาถึง 6 เดือนด้วยกัน "หลักฐานมีพร้อมจะดำเนินคดีกับเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าเขาจะพร้อมกับมันหรือไม่ก็ตาม" แซนดี กิ๊บบอนส์ โฆษกฝ่ายอัยการกล่าวในคำแถลงการณ์
การดำเนินคดีที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 ก.ย. นี้ ซึ่งเป็นไปได้ว่ากิ๊บสันจะให้ทนายของเขามาแก้ต่างแทน ซึ่งตามปกติแล้วผู้ที่ได้รับโทษเมาแล้วขับเป็นครั้งแรกจะได้รับโทษในสถานเบา แต่ถ้าทุกอย่างไม่เป็นตามที่กิ๊บสันคาด บางทีเขาอาจจะต้องใช้เวลาพิจารณาในสิ่งที่ตนควรจะทำในห้องขังก็เป็นได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอำนาจการตัดสินใจของศาลว่าจะจับซูเปอร์สตาร์รายนี้เข้าห้องขังในเวลาใด
จุดเริ่มแห่งความวุ่นวาย
ต้นเหตุของทางตันในวงการบันเทิงครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำราจจับกุมตัวกิ๊บสันในเวลา 2.36 น. ของเช้ามืดวันศุกร์ หลังจากขับรถด้วยความเร็ว 87 ไมล์ต่อชั่วโมงในพื้นที่ที่กำหนดให้ขับได้แค่ 45 ไมล์ต่อชั่วโมง
ซึ่งผลการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของเขาสูงถึง 0.12 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่กฏหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียกำหนดเอาไว้ที่ 0.08 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
โดยก่อนที่จะถูกจับกุมนั้น มีพยานพบยืนยันว่าพบเห็นกิ๊บสันได้ไปดื่มที่ Moonshadows ภัตราคารหรูหน้าชายหาดมาลิบู ขณะที่รูปถ่ายจากสถานที่ดังกล่าวแสดงภาพกิ๊บสันกำลังโอ้โลมหญิงสาวหลายคนในวันนั้นทีเดียว โดยหลักฐานสำคัญที่ทำให้เขาดิ้นไม่หลุดคงได้แก่การพบขวดเหล้าเตกิลาที่เปิดอยู่ในรถของเขาหลังจากที่ถูกจับกุมนั่นเอง
แต่เรื่องที่สร้างชื่อเสียให้เขามากไปกว่านั้น มาจากคำให้การของเจ้าหน้าที่ที่ไม่เปิดเผยนาม ซึ่งระบุว่าระหว่างที่เจ้าพนักงานแสดงตัวเพื่อเข้าไปสอบสวน กิ๊บสันได้พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "ชาวยิวต้องรับผิดชอบต่อสงครามทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลกนี้" แถมยังถามเขาว่า "คุณเป็นยิวหรือเปล่า"
โดยในบันทึกรายงานการจับกุมยังกล่าวว่ากิ๊บสันพยายามที่จะหนีก่อนที่จะถูกใส่กุญแจมือในที่สุด
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้สร้างกระแสสังคมอย่างมากมาย โดยลอรี เลเวนสัน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยกฏหมาย Loyola University Law School กล่าวว่าถ้ากิ๊บสันถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษที่เขาได้รับจะหนักหน่วงยิ่งกว่าการโดนเล่นงานทางกฏหมายหลายสิบเท่า
"ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการถูกดำเนินคดี แต่มันเป็นความเสียหายทางธุรกิจและชื่อเสียง และท้ายที่สุดมันคงจะได้ชื่อว่าเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่สร้างหายนะให้แก่ชีวิตเขาเลยก็ว่าได้"
การสำนึกผิด
เมล กิ๊บสัน นักแสดงและผู้กำกับวัย 50 ปีที่โด่งดังจากผลงานไตรภาค Lethal Weapon และได้รับออสการ์จากผลงานภาพยนตร์คุณภาพเรื่อง Braveheart เมื่อปี 1995 ได้ออกมาให้คำขอขมาต่อเหตุกาณ์ดังกล่าวแล้วถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน โดยอลัน ไนร็อบ โฆษกส่วนตัวของเขากล่าวว่าซูเปอร์สตาร์ผู้นี้กำลังกลับตัวกลับใจ จากผู้ที่หลงใหลในกลิ่นเมรัย โดยเข้าร่วมโปรแกรมบำบัดสำหรับผู้ที่ได้รับโทษจากแอลกอฮอล์มาตั้งแต่ก่อนคืนที่จะถูกจับ และกำลังเข้าสู่หลักสูตรสำหรับคนไข้ที่อยู่นอกเหนือการดูแลของโครงการ
โดยในคำขอขมาครั้งล่าสุดของกิ๊บสัน เขาได้มุ่งประเด็นไปที่ผู้นำของชาวยิวโดยเฉพาะ ซึ่งเขากล่าวผ่านทางโฆษกส่วนตัวว่า
"ผมต้องขออภัยอย่างสูงสุดต่อทุกคนที่เป็นชาวยิว สำหรับวาจาสามหาวและเลวทรามอย่างนั้น ได้โปรดเข้าใจด้วยว่าใจจริงแล้วผมไม่ใช่คนที่รังเกียจยิวเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ใช่คนที่มีอคติ ความเกลียดชังเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับศรัทธาของผม"
"ผมไม่ได้ออกมาร้องขอการให้อภัย ผมอยากจะทำอะไรที่มันเป็นรูปธรรมมากกว่านั้น ผมอยากจะเข้าพบกับผู้นำของชาวยิว ใครซักคนที่ผมสามารถสนทนาแบบตัวต่อตัวเพื่อให้แสงสว่างแก่การปรับเปลี่ยนทัศนคติครั้งนี้ คงจะมีชุมชนยิวซักแห่งที่มีความเมตตาและให้ความเข้าใจแก่ผม ซึ่งตัวผมขอภาวนาว่าประตูบานนั้นจะยังไม่ปิดไปตลอดกาล"
ซึ่งผู้นำชาวยิวทั้งหลายต่างให้ความเห็นว่า ก่อนที่กิ๊บสันจะเข้าร่วมเสวนากับตน เขาควรจะบำบัดอาการติดสุราเสียก่อน เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายให้ดีขึ้น เพราะการจะลบล้างอคติที่อยู่ในใจนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอย่างยาวนานทีเดียว
การให้อภัย
แรบไบ มาร์วิน เฮียเออร์ จากศูนย์ Simon Wiesenthal Center ในเมืองลอส แองเจลิส กล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากประเทศอิสลาเอลว่า "เรารู้ว่าเขาจะพร้อมสำหรับมันเมื่อไหร่ แต่ไม่ใช่อย่างที่โฆษกเขาคิดแน่ๆ ผมมั่นใจว่าเขามีปัญหาในการเผชิญหน้ากับแอลกอฮอล์ และตอนนี้เขาก็เผชิญกับปัญหาด้านอคติและการเหยียดยิวด้วยเช่นกัน"
"อคติเกี่ยวกับชนชาติยิวไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างประเดี๋ยวประด๋าว และไม่ใช่สิ่งที่จะแก้กันอย่างปัจจุบันทันด่วนได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ง่ายต่อการแก้ไขอย่างที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง" โดยเขาแนะนำให้กิ๊บสันเริ่มต้นจากการศึกษาประวัติการถูกทารุณกรรมของชนชาติยิวในอดีต รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผาพันธ์ของชาวยิวโดยพรรคนาซีระหว่างปี 1939-1945 ประกอบกับเรื่องอื่นเพื่อเสริมความเข้าใจเป็นพื้นฐาน
"เมื่อกิ๊บสันมีความพร้อมที่จะขจัดทั้งอคติและความรู้สึกรังเกียจยิวออกไปจากจิตใจอย่างถาวรแล้วล่ะก็ เขาจะพบว่าชุมชนชาวยิวมีความยินดียิ่งกว่าที่จะช่วยเหลือเขา" แรบไบมาร์วินแสดงทัศนะ
ในส่วนสมาคมป้องกันการหมิ่นประมาท แม้จะออกมาตอบรับคำขอโทษดังกล่าวด้วยดี แต่อับราฮัม เอช. ฟ็อกซ์ ผู้อำนวยการระดับชาติของสมาคมดังกล่าวเผยว่าการที่กิ๊บสันจะไปได้ถึงจุดนั้นจะต้องผ่านกระบวนการอีกมากมาย
"คุณไม่มีวันเลิกเหล้าได้ด้วยคำพูดฉันใด คุณก็ไม่มีวันละทิ้งอคติได้ด้วยวาจาฉันนั้น คุณต้องปฎิบัติมันอย่างจริงจัง และพวกเราพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่"
ซึ่งจากการออกมาแสดงความสำนึกผิดดังกล่าว ได้มีแรบไบผู้หนึ่งจากย่านเบเวอร์ลีย์ ฮิลส์ แสดงเจตจำนงที่จะเชิญชวนให้กิ๊บสันไปสนทนากับเขาแล้ว โดยจะให้เขามาพบที่โบสถ์ในวันยอร์น คิปเปอร์ ซึ่งถือเป็นวันชำระบาปประจำปีที่สำคัญที่สุดของศาสนายิวอีกด้วย
"การตอบรับดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าตื้นตันและเต็มไปด้วยไมตรีจิตอย่างเต็มเปี่ยม" โฆษกของกิ๊บสันกล่าว แต่ยังยืนยันว่าคงจะเร็วเกินไปที่กิ๊บสันจะร่วมการพูดคุยกับผู้นำชาวยิวใดๆ ได้ตอนนี้
"เขาไม่ต้องการการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า มันไม่ใช่สิ่งที่เขามุ่งหวัง เขาต้องการกระบานการฟื้นฟูอย่างเต็มรูปแบบจริงๆ เท่านั้น" โฆษกส่วนตัวกล่าว
ผลกระทบต่อชื่อเสียง
สำหรับความขัดแย้งต่อชาวยิวของกิ๊บสันเริ่มปะทุขึ้นหลังจากเขาสร้างภาพยนตร์ The Passion of the Christ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเมื่อปี 2004 ซึ่งหลายคนเห็นว่าเขาจงใจโยนความผิดข้อหาฆาตกรรมพระเยซูเจ้าให้แก่ชาวยิว ขณะที่กลุ่มที่เห็นด้วยออกมาอ้างว่าผลงานชิ้นดังกล่าวดำเนินเรื่องตามเรื่องราวของพระคัมภีร์เท่านั้น
โดยก่อนหน้านี้กิ๊บสันซึ่งเป็นชาวคาธอลิคฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้ออกมาปกป้องทั้งตัวเขาและตัวหนังว่าไม่ได้ต่อต้านยิวแต่อย่างใด ขณะที่ฝ่ายคุณพ่ออย่างฮัตตัน กิ๊บสัน เคยออกมาวิจารณ์ว่าเรื่องราวการฆ่าล้างเผาพันธ์ของชาวยิวนั้น แม้จะมีบ้างที่เป็นเรื่องจริง แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องแต่งขึ้นมาทั้งนั้น
อย่างไรก็ดี การยอมรับผิดของเขาก็ยังไม่เพียงพอสำหรับบางคน เมื่อ เมิร์ฟ อเดลสัน อดีตผู้จัดรายการโทรทัศน์ออกมากล่าวอย่างฉุนเฉียวในหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ข้อหาที่บรรดาเจ้าของสตูดิโอยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างนิ่งดูดายที่จะออกมาเล่นงานพฤติกรรมของกิ๊บสันในครั้งนี้
"เพื่อเห็นแก่เกียรติในหมู่พวกเรา จงอย่าไปสนับสนุนไอ้เวรนี้อีก ไม่เพียงเพราะว่ามันเป็นคนดัง"
ธุรกิจบันเทิงในฮอลลีวูดนั้น ผู้ก่อตั้งสตูดิโอยักษ์ใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นชาวยิวทั้งสิ้น ซึ่งลูกหลานทั้งชายหญิงต่างก็ยังคงดำรงตำแหน่งใหญ่โตในธุรกิจบันเทิงแห่งนี้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พอใจกับพฤติกรรมของกิ๊บสันครั้งนี้เป็นอย่างมาก
ซึ่งผลกระทบครั้งล่าสุดที่กิ๊บสันได้รับก็คือ การที่โฆษกหญิงของช่อง ABC กล่าวว่าทางสถานีได้ยุติแผนการสร้างมินิซีรีส์ที่เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผาพันธ์ของชาวยิวของกิ๊บสันที่ตกลงเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยทางสถานีให้เหตุผลว่าตลอด 2 ปีมานี้ที่ทางสถานีได้เซ็นสัญญากับทาง Icon Production บริษัทผลิตรายการของกิ๊บสัน ทางช่องยังไม่เคยได้เห็นตัวบทที่สมบูรณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ความคลุมเครือของกระบวนการสอบสวน
นายอำเภอลี บากา ออกมาปฎิเสธข้อกล่าวหาในการปกปิดข้อมูลในการดำเนินคดีเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จากข้อครหาที่ว่ารายงานดังกล่าวไม่ได้ระบุเหตุการณ์ในระหว่างการจับกุม และได้ตัดคำถากถางที่กิ๊บสันได้กล่าวต่อเจ้าพนักงานออกไปเสียสิ้น
"มันไม่มีการปกปิดอะไรทั้งนั้น มันจะเกิดขึ้นก็ในกรณีที่เราไม่จับกุมเขา หรือในกรณีที่เราทำลายหลักฐาน ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด"
สอดคล้องกับรายงานของเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอิสระที่เข้ามาสอบสวนการดำเนินคดีดังกล่าว ที่เผยในการสอบสวนขั้นต้นว่าการดำเนินคดีครั้งนี้เป็นไปตามกระบวนการที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ไมเคิล เจนนาโก หัวหน้าฝ่ายอัยการของหน่วยงานอิสระดังกล่าว ได้เผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าเขาไม่ยืนยันว่าการจับกุมดังกล่าวจะไม่มีเหตุการณ์ที่จะมีผลต่อการดำเนินคดีมากกว่าข้อหาเมาแล้วขับ และไม่ยืนยันด้วยว่าเจ้าหน้าที่พยายามที่จะปกปิดคำพูดของกิ๊บสันออกไปสู่สาธารณชน เมื่อรายงานการจับกุมฉบับดังเดิมได้ทำการปรับเปลี่ยน โดยข้อความของกิ๊บสันถูกแทรกเข้ามาในรายงานฉบับส่วนเพิ่มเติมอีกครั้ง
ขณะที่ สตีฟ วิทมอร์ โฆษกประจำเขตลอสแอนเจลิสกล่าวว่าการที่เจ้าหน้าที่พากิ๊บสันขับเลียบทางเพื่อไปส่งยังรถของเขาหลังจากถูกปล่อยตัวเป็นพฤติการณ์ที่รับได้
"มันอยู่ในนโยบายของเราที่จะต้องช่วยเหลือประชาชนเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยในกรณีของมร.กิ๊บสันเราไม่อยากให้เขาต้องเผชิญหน้ากับเหล่าปาปาราซีนั่นเอง"
เลิกเหล้า เลิก(อับ)จน
หลายปีมานี้เหล่าคนดังทั้งหลายที่มีปัญหาพัวพันกับยาเสพติดและแอลกอฮอล์ต่างเลือกที่จะปรับปรุงตัวด้วยการเข้ารับบำบัดอาการเสพติด อย่างเช่น นิค โนลเต นักแสดงรุ่นใหญ่ที่เต็มใจเข้าบำบัดที่คลีนิกในคอนเน็คติกันเป็นเวลา 4 วันหลังจากถูกจับในข้อหาพกพายาเสพติดเมื่อปี 2002, แพทริก เคเนดี นักการเมืองที่เข้ารับการบำบัดในคลีนิคมาโยในมินเนโซตา หนึ่งวันหลังจากที่เขาขับรถชนในย่านตัวเมืองเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา และดาราดังอย่าง โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่เข้ารับการบำบัดในศูนย์ live-in treatment center เมื่อปี 2000 หลังจากที่เขาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด
ซึ่งในกรณีของกิ๊บสันนั้นโอกาสที่เขาจะกลับมาเป็นนักแสดงที่ไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัวนั้นก็ยังเปิดกว้างอยู่มากทีเดียว เพราะกิ๊บสันได้เข้ารับการบำบัดสำหรับผู้ติดสุราก่อนที่จะถูกจับในคืนดังกล่าวแล้วด้วยซ้ำ
อนาคตวูบ! "เมล กิ๊บสัน" เมาแล้วด่ายิว
"เมล กิ๊บสัน" ถูกจับ! โทษฐานเมาแล้วขับ