xs
xsm
sm
md
lg

The Sun + Yamato ในซอกหลืบประวัติศาสตร์

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


ไม่ถึงกับต้องใช้ความสามารถมากนัก ก็พอจะทราบได้ว่า ถ้าเป็นหนังที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถูกสร้างโดยชาวยุโรป ตัวร้ายในหนังเหล่านั้นจะเป็นคนเยอรมันและพรรคนาซี แต่ถ้าเป็นหนังจากเอเชียหรือฝั่งอเมริกา จำเลยที่จะต้องรับผิดชอบโทษทัณฑ์แบบไม่มีทางเลี่ยง หนีไม่พ้นญี่ปุ่น

กองทัพญี่ปุ่นเป็นวายร้ายที่แทบไม่มีความปราณีหลงเหลืออยู่เลย โหดเหี้ยม เลือดเย็น และถือสิทธิชอบในการรุกรานคนอื่นอย่างชิดที่เรียกได้ว่าหน้าด้านๆ

ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เองก็เป็นแบบนั้น การหาข้อแก้ต่างคงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาทำกัน ในเมื่อผลลัพธ์นั้นมีให้เห็นกันอยู่ ทุกวันนี้คนจีนหรือคนเกาหลีส่วนหนึ่ง แทบไม่อยากจะเสวนากับคนญี่ปุ่นเลย แม้เวลาจะผ่านมากว่า 60 ปีแล้วก็ตาม

หลังๆ ผมก็ชักเอียนบ้างแล้วที่เห็นหนังที่วางตำแหน่งผู้ร้ายให้กับคนญี่ปุ่นแบบไม่มีมิติ เราไม่ได้เห็นด้านอื่นๆ ของพวกเขา มุมมองถูกปิดแคบให้อยู่ในด้านลบ และคนทำหนังก็อ้างสิทธิชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ในการทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

ผมรับหนังอย่าง 7 ประจัญบาน 2 ไม่ได้เลย ถึงจะทราบเจตนาว่าทำเพื่อความบันเทิงก็ตามที ทหารญี่ปุ่นในเรื่องนั้นนอกจากจะชั่วร้ายไม่เหลือดีแล้ว ยังกลายเป็นตัวตลกน่าขัน ขนาดไม่ใช่คนญี่ปุ่นผมยังรู้สึกหงุดหงิดแทน

หนังของอากิระ คุโรซาว่า เรื่อง Rhapsody in August (1991) พูดถึงผลพวงของสงครามได้น่าเศร้า เพราะนอกจากจะแสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นรู้สึกผิดต่อการเข้าร่วมรบแล้ว พวกเขาจำนวนหนึ่งก็ตกเป็นเหยื่อไม่ต่างกันกับคนอื่นๆ

เรามักจะได้ดูหนังที่ถ่ายทอดมุมอย่างนี้ออกมาน้อยเต็มที ผมไม่ได้หวังด้านที่ควรแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่ตกอยู่ในฐานะจำเลย แต่อยากเห็นเหตุการณ์ในมุมอื่นๆ บ้างเท่านั้นเอง

ผลงานของผู้กำกับชาวรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ ซาคูรอฟ เรื่อง The Sun ได้มาฉายที่เทศกาลหนังบ้านเราเมื่อต้นปี เป็นงานที่มีลักษณะอย่างที่ว่า มันไม่ใช่แค่เปิดแง่มุมที่ต่างออกไปเท่านั้น แต่สิ่งที่ปรากฏบนเจอ ยังเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้ชมจะนึกไปถึง

ซาคูรอฟเล่าถึงชีวิตขององค์พระจักรพรรดิฮิโรฮิโต้ ในช่วง 1-2 วันสุดท้าย ก่อนที่พระองค์จะประกาศยอมแพ้สงคราม ฮิโรฮิโต้ในหนังนั้น ไม่ใช่คนที่ดูอำมหิตใดๆ แม้แต่น้อย พระองค์เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาด และกำลังไม่แน่ใจว่า ควรจะหาทางออกอย่างไรดี

หนังเสียเวลาไปกับกิจวัตรที่ดูไม่มีสาระอะไร พระองค์ทรงเข้าไปห้องแล็บ ชมสวน เสวย ทอดพระเนตรรูปถ่ายเก่าๆ และอะไรอีกมากมายที่ดูเป็นปุถุชนธรรมดา ถึงแม้รายละเอียดปลีกย่อยตามราชประเพณีจะดูเป็นกษัตริย์มากก็ตาม

ฉากที่ฮิโรฮิโต้เข้าพบนายพลแม็กอาเธอร์นั้น เห็นได้ชัดว่าพระองค์ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำอย่างชัดเจน เทียบกันในส่วนของสรีระก็แทบจะไม่มีหวังแล้ว ยิ่งในช่วงการเจรจา –ที่ญี่ปุ่นจำต้องยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายตรงข้ามแต่โดยดี- ทำให้พระองค์ยิ่งดูน่าสงสาร

หนังชื่อเรื่องว่า The Sun แต่ซาคูรอฟก็ถ่ายภาพออกมาอย่างมืดหม่น เหมือนกับว่ามีหมอกควันปกคลุมอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เปรียบไปก็เหมือนกับฮิโรฮิโต้ ที่ตอนนี้ชีวิตของพระองค์ไม่ต่างกับพระอาทิตย์ในช่วงปรากฏการณ์สุริยุปราคา ช่างเป็นการเย้ยหยันที่เจ็บปวด

The Sun เป็นหนังที่เศร้าและชวนสลดมากเรื่องหนึ่ง หนังไม่ค่อยมีบทสนทนาเท่าไหร่นัก แค่ภาพแต่ละภาพ และเหตุการณ์แต่ละอย่างที่เรียงลำดับกันมา มันก็บีบเค้นในตัวของมันเองพออยู่แล้ว

เราคงไม่มีโอกาสได้ดูหนังของซาคูรอฟเรื่องดังกล่าวในโรงหรอก เพราะมันไม่บันเทิงเอาเสียเลย ดีวีดีนั้นยังพอหาได้ แต่ผมไม่แน่ใจว่า ภาพที่ดูทึมๆ ของหนังจะทำให้เราอดทนดูจนจบหรือเปล่า โชคดีที่ผมได้ดูในโรง เลยถือเป็นการบังคับไปในตัว ถ้ามาดูดีวีดีเอง เดาว่าคงไม่รอดเหมือนกัน

หนังอีกเรื่องซึ่งออกมาในแนวทางใกล้ๆ กันคือ แสดงแง่มุมอีกด้านของสงครามและกำลังลงโรงฉายในบ้านเราตอนนี้ คือ Yamato จะแตกต่างกันที่หนังเรื่องนี้เร้าอารมณ์อย่างชัดเจน มีการเอนเอียงเรื่องอคติ แต่มันก็เป็นอคติที่พอรับได้

ถ้า The Sun เล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ โดยไม่พยายามจะเข้าไปตัดสินอะไร Yamato ก็ทำในสิ่งตรงกันข้ามหมด หนังปลุกใจคนญี่ปุ่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ใครไปดูแล้วไม่รู้สึกตามไปด้วย คงใจแข็งน่าดู

ยามาโต้ เป็นชื่อของเรือรบขนาดใหญ่ที่สุดของกองทัพญี่ปุ่นที่จมหายไปในทะเลระหว่างการสู้รบ มันได้ชื่อว่าเป็นเรือที่ไม่มีวันจบ แต่ก็เหมือนกับไททานิกนั่นแหละ จุดจบของมันคือใต้ท้องทะเล และมันก็นำมาซึ่งความสูญเสีย

ผู้กำกับ จุนยะ ซาโตะ ฉลาดพอที่ไม่ได้พยายามแก้ต่างให้กับกองทัพของตัวเอง หนังเบนความสนใจของคนดูไปที่ชีวิตเล็กๆ หลายชีวิตที่มาเกี่ยวข้องกันในยามที่บ้านเมืองกำลังคับขัน

เกินกว่าครึ่งในนั้น เป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสา ที่กระโจนเข้ากองทัพเพราะเข้าใจว่า จะนำมาซึ่งเกียรติยศและความเป็นลูกผู้ชาย พวกเขาได้อย่างที่หวังในท้ายที่สุด แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า รางวัลอันยิ่งใหญ่นั้นมาพร้อมกับความสูญเสีย ตัวละครในหนังคนหนึ่งถึงกับพูดว่า มีแต่เด็กทั้งนั้นที่มาขึ้นเรือ และพวกเขามาเพื่อตาย เร็วเกินไปสำหรับเด็กๆ เหล่านี้ที่จะเรียนรู้ว่าความตายเป็นอย่างไร มันควรจะเป็นเรื่องท้ายสุดด้วยซ้ำที่พวกเขาควรจะรู้

Yamato เป็นหนังที่ค่อนข้างเชย เครื่องปรุงที่มีฤทธิ์เค้นน้ำตาได้ถูกขนมาใส่อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ เด็ก สตรี คนชรา พี่น้อง แม่ลูก และคำมั่นสัญญาที่มิตรพึงให้ไว้แก่กัน คนที่ไม่ชอบอะไรที่มันยัดเยียด คงต่อต้าน ผมเองก็ไม่ชอบ แต่พลังการโน้นน้ามรุนแรงแบบนี้ จะห้ามไม่ให้น้ำตาซึม ก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน รู้ตัวอีกที ก็พบว่าถูกหนังทำร้ายไปเรียบร้อยแล้ว

เรื่องที่เศร้าที่สุดสำหรับผมในการดูหนังเรื่อง Yamato ก็คือ มีตัวละครหญิงอย่างน้อยๆ 2 คน บอกคนรักของเธอว่า จะไปรอการกลับมาของเขาที่เมืองฮิโรชิม่า ถึงเวลานั้น ก็คงจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กันเสียที

ทั้งๆ ที่ฝ่ายชายมีความเป็นไปได้ว่าจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในสนามรบ กลับกลายเป็นว่าพวกเขารอดชีวิตมาอย่างปลอดภัย ฝ่ายหญิงเสียอีก ที่ระเบิดปรมาณูทำลายความหวังของเธอไม่เหลือซาก

ฉากที่พวกเธอพูดว่า “ฮิโรชิมานะที่รัก ฉันจะรอเธอที่นั่น” ชวนให้ผมสะอึก ถ้าหนังเรื่องนี้ได้ไปฉายที่ฝรั่งเศส ซับไตเติ้ลคงขึ้นมาว่า Hiroshima, mon amour มันทำให้ผมคิดถึงหนังชื่อเรื่องเดียวกันนี้ของผู้กำกับ อแลง เรส์เนส์

หนังเรื่องดังกล่าวพูดถึงความรักของหญิงสาวคนหนึ่ง คนรักคนแรกของเธอเป็นทหารเยอรมัน ส่วนคนที่สองนั้นเป็นชาวญี่ปุ่น แน่นอนความรักของเธอไม่ได้ผูกติดมากับความสมหวัง แต่กลับเป็นความรักที่มอดไหม้ไป พร้อมๆ กับไฟสงครามและความสูญเสีย



กำลังโหลดความคิดเห็น