คนวงการบันเทิงต้องสูญเสียคนดีมีคุณภาพไปอีกหนึ่ง คราวนี้เป็นหนึ่งในผู้บริหารและพิธีกรชื่อดัง “ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร” (วรฑา วัฒนะชยังกูร) เมื่อเจ้าตัวต้องมาจบชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ในช่วงเช้าของวันนี้ (27) เวลาประมาณ 07.00 น.หลังเข้ารับการรักษาครั้งล่าสุดเป็นเวลานานกว่า 2 เดือน 7 วัน โดยจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในวันพรุ่งนี้เวลา 17.00 น. ณ 5 โมงเย็น ณ ศาลากลางน้ำ วัดเทพศิรินทราวาส และจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมศพเป็นระยะเวลา 7 วันหลังจากนั้นจะเก็บศพไว้ 100 วัน
ด้าน “ตุ้ม ผุสชา โทณะวนิก” อดีตพิธีกรที่เคยทำงานคู่กับ ดร.อภิวัฒน์ ในรายการ “จันทร์กระพริบ” เผยด้วยความรู้สึกเสียใจว่าการสูญเสียคนดีมีคุณภาพในครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของวงการบันเทิงเลยทีเดียว
“ก็ใจหายนะคะ เราสนิทกับพี่เต้ยมานานนับ 10 ปี ทำรายการด้วยกันก็เห็นความสามารถ จิตใจดี เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่เต้ยจะจากไปเร็วอย่างนี้เพราะเราก็ยังเห็นว่าพี่เขากระฉับกระเฉงอยู่ ใน 2 ปีที่แล้วที่ได้ทราบข่าวว่าเป็นมะเร็งก็ตกใจกัน แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็ว เพราะพี่ยังแข็งแรงอยู่นะ พอมาถึงวันนี้แน่นอนน่ะใครสักคนที่เราผูกพันที่เรารักจากไปเราก็เสียใจนะคะ”
“เจอครั้งล่าสุดตอนวันเกิดพี่เต้ย เดือนนี้ พี่เขาเกิดวันที่ 13 แต่เราไปอวยพรก่อนวันที่ 12 ร่างกายก็เริ่มแย่แล้วแต่พี่เต้ยกำลังใจดีมากเลย ใครมาก็พยายามยิ้ม ยกมือไหว้ เราเอาขนมเค้กไปให้ตัดก็พยายามที่จะตัดขนมเค้ก พอพวกเราร้องเย้ ก็ร้องเย้ตามด้วยความพยายามสูงสุดนะคะ มันเป็นเรื่องที่พูดยากนะเราก็อยากที่จะตัดเค้กอย่างนี้ไปอีกนานๆ หลายๆ ปี”
“ในวันนั้นไม่สามารถพูดคุยได้มากมายนะคะ เพราะว่าพี่เต้ยก็ได้แค่ลืมตามามอง แค่นั้นเราก็รู้แล้วล่ะว่าพี่เขาจำเราได้นะ จำสิ่งดีๆ เราก็จะจับมือเขาไว้ คือไม่ได้อยากรบกวนเวลามากเพราะทราบว่าพี่เต้ยต้องพักผ่อนมากๆ น่ะค่ะ”
ยอมรับถือเป็นหนึ่งในบุคคลประวัติศาสตร์ของวงการทีวีไทย
“พี่เต้ยถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการทีวีเพราะว่าเป็นพิธีกรรายการทอล์กโชว์ ถ้าพูดถึงรายการจันทร์กระพริบแล้วเมื่อปี 2532 ที่ได้เริ่มมา ถือได้ว่าตัวจันทร์กระพริบเองก็เกิดตัวพิธีกรก็เกิด การเกิดของรายการทีวีสักรายการหนึ่งก็หมายถึงคนทุกๆ คนในทีมงานต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ พี่เต้ยก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญมากๆ เพราะว่าเป็นพิธีกรที่ต้องถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ”
“ส่วนตัวตุ้มเองประทับใจเนื่องจากว่าพี่เต้ยเป็นด็อกเตอร์ เราเองก็ไม่ค่อยคุ้นกับการทำงานกับด็อกเตอร์ เพราะอย่างพวกเราสูงสุดในช่วงนั้นก็ปริญญาตรีแล้วล่ะ ถ้าด็อกเตอร์สักคนที่เราถือว่าลงมาทำงานกับเราแล้วก็ไม่ได้ถือตัว พวกเราน่ะทำงานบันเทิงแล้วก็วินาทีนั้นเราถือได้ว่าเรามีประสบการณ์และเราก็ถนัดจะเจนกับงานมากกว่า”
“พี่เต้ยก็ไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นด็อกเตอร์นะ พี่เต้ยถือว่าตัวเองเริ่มจากศูนย์ วิพากษ์วิจารณ์อะไรหรือจะให้ทำอะไรพี่เต้ยทำอย่างเต็มที่แล้วก็ทุ่มเทให้กับงาน ค้นคว้าหาข้อมูลอะไรต่างๆ ไปพร้อมๆ กับเราด้วย ซึ่งตรงนั้นก็สร้างความประทับใจให้กับทีมงานแล้ว ท่านสละเวลา 10 ปีที่ทำจันทร์กระพริบอยู่ด้วยกันมันคือความสุขที่เราได้สร้างงานมาตลอดเพราะฉะนั้นมันก็เป็นความประทับใจอย่างสูงสุดของพี่ดีกว่า”
“เสียดายนะในความสามารถ เพราะจากตรงนั้นเป็นต้นมาพี่ก็สะสมประสบการณ์เยอะมาก ไม่ใช่แค่เฉพาะการเป็นพิธีกรเท่านั้นนะคะ พี่เต้ยยังสร้างประสบการณ์เบื้องหลังร่วมกับพวกเราด้วย ก็ได้สร้างงานระดับชาติอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นเอเชียนเกมส์ ฉลอง 223 ปีกรุงเทพมหานคร เอเป็ก 3 ปีที่แล้ว มากมายนับไม่ถ้วน นั่นคือสิ่งที่พี่เต้ยได้สร้างให้กับประเทศชาติด้วย ถือได้ว่าสำหรับคนคนหนึ่งที่เกิดมาสามารถทำหน้าที่ของตัวเองแทนคุณแผ่นดินครบถ้วนบริบูรณ์”
“มาถึง ณ วินาทีนี้แล้วอยากให้พี่เต้ยพักให้สบายที่สุด แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร พวกเราที่อยู่ก็จะทำหน้าที่ต่อในสิ่งที่พี่เต้ยสร้างเอาไว้ให้ดีที่สุดต่อไป แล้วก็สำหรับเราพี่เต้ยก็จะขึ้นไปเป็นพระจันทร์นะคะ แล้วก็ส่องแสงบนนั้น เป็นความภูมิใจของเราตลอดไปค่ะ”
..........
“ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร” ได้ผันตัวเองจากอดีตอาจารย์/นักวิชาการเข้ามาสู่แวดวงบันเทิงในการทำหน้าที่พิธีกรหลายรายการให้กับบริษัทเจ เอส แอล จำกัด โดยที่สร้างชื่อให้กับเขาเป็นอย่างมากก็คือการเป็นพิธีกรคู่กับ “ผุสชา โทณะวนิก” ในรายการ “จันทร์กะพริบ” ซึ่งในปัจจุบันนอกจากเขาจะทำหน้าที่พิธีกรในฐานะของ “คนเดินเรื่อง” ในรายการ “คนค้นฅน” ให้กับบริษัททีวีบูรพาแล้ว เจ้าตัวยังมีตำแหน่งเป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอส แอลฯ โดยรับผิดชอบหลักกลุ่มธุรกิจอีเวนต์และกิจกรรมพิเศษอีกด้วย
เกี่ยวกับอาการป่วยของเจ้าตัวนั้น ดร.อภิวัฒน์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่ามีสาเหตุมาจากการทำงานหนักแบบบ้างานของตนเอง ชนิดอดหลับอดนอน 3 วัน 3 คืนก็เคยมี ก่อนจะเริ่มมีอาการเจ็บป่วยกระทั่งเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง มีอาการเวียนหัวง่าย จนเมื่อปี 2547 นั่นเองที่เจ้าตัวพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้าย “มะเร็ง” ที่ลำไส้ใหญ่ในระยะแรก และหลังจากนั้นเพียง 2 สัปดาห์การผ่าตัดเฉือนเนื้อร้ายก็เกิดขึ้น
“บังเอิญในช่วงสุดท้ายของการรักษา เป็นการใช้คลื่นวิทยุจี้บริเวณที่มีเนื้อร้ายออกไป แล้วติดตามดูว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้นหรือเปล่า จะมีร่างกายส่วนบนที่เล็กลงบ้าง เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมทานอาหารน้อยลง จริงๆ ผมไม่ได้ถูกควบคุมเรื่องการรับประทานอาหารนะครับ ภรรยาผมเธอให้อิสรภาพผมตามใจปากตามใจท้องบ้าง แต่จะคอยเข้มงวดให้รับประทานสิ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่เรื่อยๆ”
“ช่วงรับเคมีบำบัด น้ำหนักตัวของผมขึ้นๆ ลงๆ แต่หลังจากหยุดรับเคมีบำบัด สิ้นสุดการรักษา น้ำหนักตัวคงที่ และไม่มีอาการแพ้เลย แม้กระทั่งอาการผมร่วง ตรงนี้เป็นผลจากการเลือกใช้ยา ยาที่ผมเลือกใช้ไม่มีผลข้างเคียงทำให้ผมร่วง แต่จะส่งผลให้เนื้อตัวคล้ำง่ายเวลาโดนแดด ในช่วงรับเคมีบำบัด ผิวหนังจะแห้งมาก หลังจากที่ผมรับการรักษาก็มียาดีกว่านี้ออกมาแต่ค่าใช้จ่ายครั้งละล้านบาท (หัวเราะ) ซึ่งต้องรักษาประมาณ 8 ครั้ง ของผมไม่ใช่ยาตัวนั้น”
กับการรักษาแบบจริงๆ จังๆ และในช่วงระยะเวลาของการพักฟื้นนานกว่า 10 เดือน แม้การดำเนินชีวิตจะมีปัญหาอยู่บ้างอันเนื่องมาจากอวัยวะในร่างกายที่เปลี่ยนไป ทว่าสภาพร่างกายและจิตใจของเขาดูเหมือนจะดีขึ้น หลังจากนั้นเจ้าตัวได้กลับเข้าสู่การทำงานแบบเกิดใหม่อีกครั้งพร้อมกับชื่อใหม่ 'วรฑา วัฒนะชยังกูร' - 'วรฑา' ซึ่งหมายถึงการเป็นผู้มีสุขภาพดี มีสติปัญญาเฉียบคม และ 'วัฒนะชยังกูร' ที่หมายถึงหน่อเนื้อแห่งความเจริญรุ่งเรือง
อย่างไรก็ตาม แม้ทุกอย่างจะดูดี ทว่าเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาอาการของโรคก็กลับมาอีกครั้ง และเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และพรากชีวิตของเขาไปในที่สุด โดยก่อนหน้านี้ในช่วงที่ร่างกายของเขาดีขึ้นนั้น เจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างน่าคิดสำหรับคนที่ทำงานโดยละเลยสภาพของร่างกายว่า...
“เวลานี้ผมได้ร่างกายใหม่กลับมา ในขณะที่หลายๆ อย่างเปลี่ยนไปโดยไม่มีการผ่าตัดหรือปลูกถ่ายอวัยวะ แต่ผมเปลี่ยนไปจริงๆ ผมยอมรับว่าผมไม่ได้มีลำไส้ใหญ่เหมือนคนอื่นเขา มันมีข้อจำกัดเรื่องการกินการอยู่ เราไม่ใช่คนที่คล่องตัวเหมือนแต่ก่อน ผมทำงานอยู่ถึงค่ำไม่ได้เพราะว่าพอเย็นๆ แบตเตอรี่ในร่างกายเริ่มหมด อาจเป็นเพราะการผ่าตัดทำให้ผมมีพลังงานที่บรรจุน้อยกว่าปกติ”
”หรือเมื่อก่อนผมอาจมีหม้อแบตเตอรี่ขนาดนี้แหละ แต่เป็นการลากสังขารมั้งเลยรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรง สามารถวิ่งต่อได้ทั้งที่แบตเตอรี่หมดแล้ว หรือเมื่อก่อนที่ผมบอกว่าผมไม่เครียดหรอก แต่จริงๆ แล้วมันหมายถึงเราทำงานจนไม่รู้สึกว่ามันเครียดเพราะเราดีลกับความเครียดได้ดี เรารับความเครียดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้ แต่ทุกวันนี้ พอเริ่มรู้สึกตึงเครียด มันจะหนักศีรษะ ผมเลยคิดว่าผมคงเป็นมนุษย์ที่ปกติมากขึ้นมั้ง”
“ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้เวลาที่มีเพื่อนร่วมงาน น้องๆ เรียกเราว่า 'คนเหล็ก' บ้าง 'ซูเปอร์แมน' บ้างล่ะ มันเป็นคำชมเชยและรู้สึกภูมิใจที่เราเป็น 'คนเหล็ก' ได้ แต่ทุกวันนี้ผมไม่อยากกลับไปเป็น 'คนเหล็ก' อีก เพราะรู้แล้วว่า 'คนเหล็ก' ที่สุดมันจบตรงไหน 'ซูเปอร์แมน' ที่สุดมันก็ต้องบินลงมาตกตรงไหน เป็นมนุษย์ทั่วๆ ไปนี่ล่ะดีแล้ว ใช้ชีวิตอย่างที่เขาให้ร่างกายเรามาแต่พอดี”
.....
ข้อมูลบางส่วนจากสัมภาษณ์พิเศษ “ผมจะไม่เป็นมะเร็งอีก” วรฑา วัฒนะชยังกูร / โดย ปิยาวันทน์ ประยุกต์ศิลป์