ผมพลาดโอกาสดู Year One in the North ในโรงภาพยนตร์ไปเพราะติดปัญหาที่ว่า หนังเข้าฉายที่ไหนและเวลาใดกันแน่ เผลอไปครู่เดียว หนังก็ออกโปรแกรมไปแบบเงียบๆ นึกแล้วก็เสียดาย ยิ่งได้มาดูจากดีวีดีทีหลัง ก็ยิ่งเสียดายมากขึ้นไปอีก
Year One in the North โด่งดังทีเดียวในบ้านเกิด ควบคู่สูสีมากับ Always หนังญี่ปุ่นอีกเรื่องที่คนไทยชอบกันมาก หนังเข้าชิงรางวัลเจแปน ฟิล์ม อวอร์ดส์ หลายรางวัล แล้วก็โดนคู่แข่งอย่าง Always ซิวไปหมด คว้ามาได้สาขาเดียวคือ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมของ ซายูริ โยชินางะ – ซึ่งก็เหมาะสมแล้ว
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกทึ่งในตัวผู้กำกับอิซาโอะ ยูกิซาดะ พอสมควร เขาแสดงให้เห็นแล้วว่าตนเองมีฝีมือพอตัวในการเล่าเรื่อง ซึ่งไม่ใช่วิสัยของผู้กำกับจากญี่ปุ่น –ที่ชำนาญในการสร้างบรรยากาศ- มากกว่า หนำซ้ำด้วยงานสร้างที่ใหญ่โตขนาดนี้ แต่ยูกิซาดะก็แบกมันไว้ด้วยสองขาที่มั่นคง หนังเดินเรื่องหนักแน่น ไม่มีส่วนไหนเลยที่รู้สึกว่าแกว่งหรือคนทำมือไม่ถึง
เปรียบเทียบกับ Spring Snow (งานกำกับอีกชิ้นหนึ่งของเขา) ก็ยิ่งต้องชื่นชมยูกิซาดะอีกเรื่องหนึ่ง เขารู้ว่าด้วยบริบทแบบใด ควรเล่าเรื่องอย่างไร, Spring Snow นั้นเรียบกว่ามาก เพราะมันเป็นหนังที่เน้นไปที่จิตใจส่วนลึกของตัวละคร ส่วน Year One in the North นั้นเป็นเมโลดราม่าขนานแท้ หนังเร้าอารมณ์อย่างที่สุด แต่เขาก็ควบคุมไม่ให้ฟูมฟายเกินจำเป็น ตรงนี้เองที่ถือเป็นงานยาก
โดยรวมๆ แล้วมันเป็นงานที่น่าพอใจ ความยาวเกือบ 3 ชั่วโมงของหนังไม่มีช่วงใดเลยที่รู้สึกว่ายืดยาวเกินจำเป็น นอกเหนือจากนั้น มันยังเผยให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของคนญี่ปุ่น ในด้านของความเด็ดเดี่ยวที่ควบคู่ไปกับความอ่อนแอ ดูแล้วก็เข้าใจคนชาตินี้ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
หนังดัดแปลงมาจากเค้าโครงเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ เมื่อระบบโชกุนล่มสลายลง คนจากหมู่บ้านอาวาจิ เป็นพวกแพ้สงครามถูกรัฐบาลกลางส่งไปบุกเบิกดินแดนใหม่ ซึ่งเป็นเกาะอาณานิคมห่างไกลความเจริญที่ชื่อฮอกไกโด ที่นี่อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี และแทบไม่มีสัตว์ใดนอกจากหมีป่า
ยูกิซาดะเปิดเรื่องด้วยการแนะนำตัวละครหลักของเรื่อง ชิโนะ โคมัตสึบาระ (ซายูริ โยชินางะ) ภรรยาของฮิเดอากิ โคมัตสึบาระ (เคน วาตานาเบะ) ซามูไรชั้นผู้ใหญ่ ในอาวาจิ ชิโนะมีชีวิตที่สุขสบาย โทนของหนังออกมาสดใสราวกับอยู่ในความฝัน จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีก
ยูกิซาดะเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงด้วยฉากหุ่นกระบอก และใช้การจัดแสงเข้าช่วย เป็นเทคนิคที่ดูไม่ซับซ้อนอะไร แต่ความเรียบง่ายนี้ก็ทรงพลัง
ที่ฮอกไกโดชีวิตของทุกคนไม่ใช่สบายอย่างเจ้านายอีก พวกผู้ดีทั้งหลายต้องหันมาคว้าจอบเสียมทำไร่นา ยศถาบรรดาศักดิ์แทบไม่มีความหมาย หนังมีฉากที่ดีมากอยู่ฉากหนึ่ง เป็นตอนที่ฮิเดอากิสารภาพกับภรรยาว่า เขาหวาดหวั่นว่าจะอยู่ที่นี่ได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง และขอให้อีกฝ่ายอดทนไว้
ชิโนะนั้นไม่ได้หนักใจอะไรเลย เธอยิ้มออกมาและบอกว่า ตั้งแต่แต่งงานกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่สามีพูดเปิดอกกับเธอ มันทำให้เธอรู้สึกว่ามีคู่ชีวิตจริงๆ เสียที เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทำไมเธอจะอดทนไปพร้อมๆ กับเขาไม่ได้
แต่ธรรมชาติก็ยังคงร้ายกาจอย่างไม่ดูดี ข้าวที่เคยปลูกที่อาวาจิแล้วงอกงาม กลับตายคาดินที่ฮอกไกโด นั่นก็หมายถึง ทุกคนจะไม่มีอาหาร เมื่อฤดูหนาวเดินทางมาถึง ฮิเดอากิอาสาออกไปขอพันธุ์ข้าวจากรัฐบาล และสัญญาว่าจะกลับมาภายใน 2 สัปดาห์ แต่เวลายิ่งล่วงเลย คำสัญญาที่ว่านั้นก็ยิ่งริบหรี่
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ชิโนะจำต้องเลี้ยงดูลูกสาวไปตามลำพัง เธอเหมือนกับสการ์เล็ตต์ โอ ฮารา ใน Gone with the Wind ที่จู่ๆ ชีวิตอันรุ่งเรืองก็หายไปกับสายลม และต้องมาเผชิญกับการตั้งต้นใหม่ในผืนแผ่นดินอันว่างเปล่า
โชคดีที่ชิโนะไม่ใช่คนที่ผยองแบบสการ์เล็ตต์ เธอประนีประนอมกับบางเรื่อง และแข็งข้อเป็นในบางโอกาส จากตอนต้นเรื่องคนดูไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่น่าทะนุถนอมอย่างเธอจะรับมือกับสถานการณ์อันเลวร้ายได้ มาถึงตอนนี้ชิโนะผ่านมาได้อย่างปลอดภัย เราถึงกับหมดห่วงกับเธอไปได้
ปัญหาจริงๆ เป็นตอนที่หลายปีผ่านไป จู่ๆ ฮิเดอากิก็กลับมา เขากลายเป็นขุนนางไปเรียบร้อยแล้ว และโดยที่ชิโนะเองก็คาดไม่ถึง เธอใจแทบสลายเมื่อทราบว่าเขาไปมีครอบครัวใหม่
Year One in the North เป็นหนังที่ใช้สูตรเอพิกของตะวันตกมารับใช้เนื้อหาแบบญี่ปุ่น กล่าวคือ มองกันเฉพาะโครงสร้าง มันพูดถึงการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และอำนาจอันมหาศาลของธรรมชาติ สงครามระหว่างคนดีคนเลว และความรักที่จากพรากสูญเสีย
หนังตอกย้ำอยู่เสมอว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา การรับมือกับมันอยู่ที่การตัดใจมองไปข้างหน้า และบางทีก็ต้องทิ้งอดีตอันผ่านพ้นไว้ข้างหลัง
แน่นอนว่าหนังยังเผยให้เห็นด้านที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ และรักถิ่นฐานบ้านเกิดของคนญี่ปุ่นอย่างชัดเจนตามที่ได้กล่าวไป น่าสนใจมากที่หนังเรื่องนี้ทำเงิน และหนังอย่าง Always กับ Yamato (ฉายในบ้านเราตอนนี้) ก็ทำเงินในญี่ปุ่นเช่นกัน ทั้ง 3 เรื่องพูดถึงความรักชาติ โหยหาความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน การพูดถึงคุณธรรมน้ำมิตร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะขาดหายไปแล้ว สำหรับสังคมญี่ปุ่นในปัจจุบัน
คนญี่ปุ่นอาจเริ่มฝันถึงชีวิตเรียบง่ายขึ้นบ้างแล้วก็ได้ และนโยบายสนับสนุนทุนนิยมแบบสุดขั้วของพรรคแอลดีพี ที่ครองที่นั่งในรัฐบาลมายาวนาน อาจถึงคราวสั่นคลอน
เพราะถึงที่สุดแล้วคนเราไม่ได้ต้องการความพรั่งพร้อมเรื่องวัตถุ เราต้องการอะไรที่จับต้องไม่ได้อย่าง “ครอบครัว” และ “ความรัก” มากกว่า.