"น้องทราย" หมดความอดทน+หน่ายพ่อนักร้องดัง "ทิม ยัง" ไม่ยอมพิสูจน์ความจริงสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ส่งทนายเดินหน้าร้องศาลบีบเซ็นรับรองเป็นบุตร พร้อมทำใจถ้าผลการตรวจดีเอ็นเอไม่ใช่ ด้านทนายดังชี้ฟ้องก่อนตรวจได้...
ยังคงเป็นประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจจากกรณีที่คู่แม่-ลูก “น้องทราย” หรือ “สุภัสรา เรืองวงศ์” กับมารดา นาง “นุชนารถ เรืองวงศ์” ออกมาเรียกร้องสิทธิ์ยืนกรานถึงความสัมพันธ์กับ "ทิม ยัง" (ทิมโมตี้ ไมเคิล ยัง) พ่อของนักร้องหญิงชื่อดัง "ทาทา ยัง" จนกลายเป็นข่าวดังก่อนจะนำมาซึ่งการท้าพิสูจน์ตรวจดีเอ็นเอทว่าการนัดหมายเมื่อ 2 เดือนที่แล้วต้องล้มเลิกลงไปเนื่องจากบิดาของนักร้องดังไม่มาตามนัดก่อนจะเก็บตัวเงียบงดการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
โดยในวันนี้(19 มิ.ย.)เอง เวลาประมาณ 14.00 น. น้องทราย ได้มอบหมายให้นาย “รัฐศักดิ์ อนันตวิริยกุล” และนาย “มนัสชน สุจจิตร์จูล” ซึ่งเป็นทนายความมายื่นคำฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้นายทิม ยัง จดทะเบียนรับรองความเป็นบุตร โดยศาลได้มีคำสั่งประทับรับฟ้องและนัดพิจารณาในวันที่ 5 กันยายน 2549 เวลา 9 โมง ณ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
สำหรับในการยื่นฟ้องคดีนั้น นาย “รัฐศักดิ์ อนันตวิริยกุล” ทนายความเปิดเผยว่าการมายื่นฟ้องในครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับกระแสโปรโมทหนังของ “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” อย่างแน่นอน พร้อมกับยืนยันว่าทางด้านน้องทรายและนางนุชนารถนั้นไม่ต้องการเรียกร้องผลประโยชน์อื่นใด นอกจากความชัดเจนของความเป็นพ่อลูก และเพื่อความเป็นธรรมกับอีกฝ่ายทางนี้ก็พร้อมเสมอที่จะให้แพทย์คุณหญิง “พรทิพย์ โรจนสุนันท์” เป็นผู้ตรวจดีเอ็นเอ หากนาย "ทิม ยัง" ต้องการ ซึ่งถ้าหากผลการตรวจที่ออกมาไม่ใช่ก็พร้อมจะยินดีรับความจริงเช่นกัน
"วันนี้มายื่นคำฟ้องขอให้รับรองบุตร เพราะเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมามีข่าวว่าน้องทรายเป็นบุตรของนายทิม ยัง แต่ยังไม่มีบทสรุปเพราะยังไม่มีการพิสูจน์ให้ชัดเจน ซึ่งในส่วนของน้องทรายต้องการความชัดเจนว่าพ่อเขาคือใคร เพราะน้องยังเด็กและกำลังจะเข้าวงการถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ ก็ต้องการจะพิสูจน์ให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดการสบายใจ คนเราไม่มีพ่อมันเป็นไปได้ยังไง ทางเรายืนยันว่าไม่ได้ต้องการอะไรต่อให้เป็นลูกก็ไม่ต้องการอะไร ถ้าใช่ขอให้จดทะเบียนรับรองบุตรแต่ถ้าไม่ใช่ทุกอย่างจบแค่นั้น”
ที่ฟ้องเพราะต้องการจะบีบให้ทิม ยัง ออกมาตรวจดีเอ็นเอใช่หรือเปล่า?
“ไม่ใช่ แต่เพราะเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมาทางคุณทิม ยังมีการพูดจากันไว้ว่าจะมีการตรวจ แล้วข้อเท็จจริงก็คือทนายของคุณทิม ยัง ได้ติดต่อเข้ามาบอกให้น้องทรายและแม่ไปตรวจ แต่ปรากฏว่ายังเฉยอยู่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ถึงวันนี้หากยังเฉยอยู่มันก็จะเป็นที่คลางแคลงใจของสังคม ว่าน้องทรายกุเรื่องมาเองหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานเข้าๆ ความเสียหายมันก็ตกอยู่ที่น้องทรายและยิ่งน้องเขาเป็นผู้หญิง สังคมก็จะเริ่มสงสัยขึ้นเรื่อยๆ ว่าจริงๆ น้องเขาทำอะไร เพราะตั้งแต่แรกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ”
“แค่อยากให้ตรวจจะได้รู้ชัดๆ ว่าใช่หรือเปล่าเท่านั้นเอง คุณทิม ยัง ไม่รับก็ต้องเข้าสู่กระบวนการของศาล ซึ่งวันนี้ศาลรับฟ้องแล้ว และนัดพิจารณาวันที่ 5 กันยายนนี้ แต่ในขั้นต้นภายใน 15 วัน ศาลพินิจกรุงเทพฯ ก็ต้องสืบเสาะทางน้องทรายก่อน เป็นวิธีพิจารณคดีเกี่ยวกับครอบครัวว่าก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของศาลก็ต้องสืบเสาะถึงความเป็นมาพื้นฐานชีวิตให้กระจ่างชัดก่อน ศาลจึงจะพิจารณา”
“ซึ่งหลักฐานที่จะแสดงว่าเป็นลูกนั้น ทางเรามีพร้อมที่น่าจะเชื่อได้ว่าน้องทรายน่าจะเป็นบุตรของคุณทิม ยัง ซึ่งก็คือประการแรกพวกคุณเห็นหน้าตามั้ย แรกอาจจะใช่ที่เขาแจ้งไว้บอกว่าพ่อเป็นคนจีนแต่หน้าเขาไม่ใช่เลย เพราะหน้าตาออกไปทางยุโรป สองก็คือเรามีรูประหว่างที่คุณแม่น้องทรายกับคุณทิม ยัง ติดต่อกัน ซึ่งพอจะประมวลได้คร่าวๆ ว่าน้องทรายน่าจะมีพ่อซึ่งไม่ใช่คนไทย ถามถึงความมั่นใจ ทางคุณแม่น้องทรายซึ่งเขาเป็นคนที่รู้ดีที่สุด เขาเป็นคนยืนยันเอง ให้ทนายยืนยันเองคงไม่ได้”
“การตรวจดีเอ็นเอเป็นสิทธิส่วนบุคคล คือทั้งสามคนพร้อมใจกันยินยอมที่จะตรวจ ใจจริงที่คุยกันไว้คืออยากให้คุณหมอพรทิพย์เป็นคนตรวจ แต่ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อองค์กรอื่น เพียงแต่เราเห็นว่าทานตรวจหลายเรื่อง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ติดต่อไปทางคุณหมอคงต้องอีกระยะนึง”
กลัวทางฝ่ายโน้นฟ้องกลับหรือไม่?
“ไม่กลัว เพราะการพิสูจน์ความจริงถึงทางเขามีช่องทางที่จะฟ้องกลับ เราก็ถือเป็นการบริสุทธิ์ใจศาลคงจะให้ความเป็นธรรมในส่วนนั้น”
กลัวคนมองว่าการฟ้องครั้งนี้ ได้รับการหนุนหลังจากทางสหมงคลฟิล์มฯ มั้ย?
“ไม่ใช่ครับ ไม่มี ไม่ใช่การโปรโมทอะไรทั้งสิ้น เป็นความต้องการของทั้งคู่มาตั้งแต่ต้นว่าต้องการพิสูจน์ จริงๆ ไม่มีการเตรียมการใดๆ พูดได้เลยว่า 2 เดือนที่ผ่านมาทางน้องทรายไม่คิดว่าจะฟ้องหรืออะไร และคดีนี้สามารถไกล่เกลี่ยได้ไม่มีปัญหาถ้าทางคุณทิม ยัง ยอมรับ แต่การจะยอมรับถ้ามีการตรวจมันก็ย่อมชัดเจนกว่า อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรคลางแคลงใจอีก เพราะมีหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ามามันก็น่าเชื่อถือมากยิ่งกว่า”
“ไม่เกี่ยวกับเสี่ยเจียง มันเป็นความต้องการของแม่และน้องทราย เพราะเขานัดไปครั้งหนึ่งแล้วไง แล้วทางโน้นก็ผิดนัดเขาเลยกลายเป็นรอกันไป มาถึงวันนี้ก็เลยมายื่นฟ้อง เสี่ยเจียงไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่ที่เวลามันมาตรงกันกับช่วงหนังเปิดตัวพอดีเนี่ยเพราะเขาเบี้ยวตอนแรก ไม่ใช่แผนโปรโมทหนังแน่ๆ”
“หลังจากนี้น้องทรายต้องไปสืบประวัติที่สถานพินิจกรุงเทพฯ ที่ปากเกร็ด ภายใน 15 วัน ซึ่งตัวน้องเขาเองก็ต้องเตรียมหลักฐานอะไรต่ออะไรไปด้วยในวันนั้น ตัวน้องทรายเขาค่อนข้างมั่นใจนะว่าเขาเป็นลูกคุณทิม หน้าตาเขาก็ค่อนข้างคล้ายด้วย ส่วนวันที่ 5 ก.ย.ก็มารับฟังกันอีกทีว่าจะอย่างไร ซึ่งทางคุณทิมอาจจะส่งทนายมาก็ได้ไม่ต้องมาเอง”
สำหรับสาเหตุที่สองแม่ลูกไม่ได้มาด้วยในวันนี้นั้นนายรัฐศักดิ์ชี้แจงว่านางนุชนารถนั้นติดภารกิจอยู่ต่างจังหวัด ส่วนน้องทรายก็ติดเรียน โดยในวันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรงน้องทรายจะเดินทางไปงาน "รณรงค์ต่อต้านซีดีเถื่อน" ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่ง "เสี่ยเจียง สมศักดิ์" ก็จะไปร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน
ทนายดังชี้ฟ้องก่อนตรวจได้
ในส่วนของทนายความชื่อดัง อ.ประมาณ เลืองวัฒนวณิช เผยว่า การฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้มีการเซ็นรับรองบุตรทั้งที่ยังไม่มีการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์นั้นในทางกฎหมายสามารถทำได้ถ้าทางฝ่ายผู้หญิงนั้นรู้ว่าเป็นลูกใครแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับ
“การตรวจดีเอ็นเอเป็นเรื่องภายหลังการยื่นฟ้องร้องก็ได้ เพราะแม่เขารู้อยู่แล้วนี่ว่าลูกเขาเป็นลูกของใคร แต่เมื่อผู้ชายไม่ยอมรับฝ่ายลูกก็สามารถฟ้องศาลได้ เพื่อให้ศาลตัดสินว่าน้องทรายเป็นลูกที่ถูกต้องทางกฎหมายของฝ่ายพ่อ และสามารถเรียกค่าเลี้ยงดูได้ตามกฎหมาย”
สามารถเซ็นได้เลยไม่จำเป็นต้องมีการจดทะเบียน ส่วนเรื่องสิทธิในการรับมรดกนั้นต้องขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายจะยกให้หรือไม่ ไม่สามารถฟ้องร้องหรืออ้างสิทธิได้
“จดทะเบียน ไม่จำเป็น คือถ้าตอนนี้พ่อเขาจะเซ็นก็สามารถทำได้เลย แต่ที่ต้องเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นนี่ก็เพราะทางฝ่ายพ่อไม่ยอมรับเป็นบุตรและไม่ยอมให้ค่าอุปการะเลี้ยงดู”
“เมื่อเซ็นแล้วก็มีสิทธิได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูและมีสิทธิในมรดกด้วย เพราะถือว่าเป็นลูก แต่กรณีที่อีกฝ่ายไม่ยกมรดกให้ก็ไม่สามารถฟ้องให้ยกให้ไม่ได้ และถ้าพ่อยังไม่ตายน้องทรายก็ไม่มีสิทธิในทรัพย์สินของพ่อเหมือนกัน จะมีสิทธิก็ต่อเมื่อกรณีพ่อเขาตายและทำพินัยกรรมไว้ ซึ่งการยกมรดกก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าของมรดกที่เขาพอใจจะยกให้ใครก็ได้”