xs
xsm
sm
md
lg

บรรยายบอลโลก 2006 ใครดี/ห่วย - ได้แล้วคู่พากย์นัดชิง?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนีแม้จะยังเปิดตัวกันไม่ครบทุกทีม แต่ที่เราเห็นฟอร์มกันไปครบหมดแล้วก็คือการทำหน้าที่ของบรรดาผู้บรรยายทั้งหลายที่จับคู่กันทำหน้าที่ในส่วนของผู้บรรยายหลัก + คอมเม้นท์เตเตอร์

ด้วยความที่เป็นส่วนหนึ่งที่ถือได้ว่ามีความสำคัญรวมทั้งเป็นสีสันอย่างหนึ่งต่อเกมทางหน้าจอทีวีทำให้การทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นที่จับตาของเหล่าคอบอลทั้งหลายและสิ่งที่ตามมาก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่การถ่ายทอดสดในครั้งนี้ไม่เปิดโอกาสให้ฟังเสียงบรรยายจากต่างประเทศได้

เริ่มกันตั้งแต่คู่เปิดสนาม "เยอรมัน - คอสตาริก้า" กับการทำหน้าที่ของ “ต.โต้ง อิสรพงษ์ ผลมั่ง" และ "สุรศักดิ์ มากทวี" หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า "ลิตเติ้ลโจ" คู่นี้ค่อนข้างจะสร้างความแปลกใจให้กับคอบอลพอสมควรหากมองถึงระดับชื่อชั้นของเขาทั้งคู่เทียบกับการเป็นนัดเปิดสนามของทัวร์นาเม้นต์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

เสียงตอบรับในหลายๆ เว็บไซต์จากเหล่าคอบอลแสดงให้เห็นชัดเจนว่าผลจากการทำหน้าที่ของทั้งสองนั้นค่อนข้างจะไม่เป็นที่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ข้อมูลตลอดจนเกร็ดความรู้ต่างๆ ที่น่าจะบอกเล่ากันตั้งแต่ก่อนเกมจะเริ่มถูกยัดเข้ามาระหว่างบอลเตะกันอยู่มากมายจนทั้งสองแทบจะไม่ได้บรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามเป็นเหตุให้บรรยากาศของความยิ่งใหญ่ น่าตื่นเต้น ดูน่าเบื่อ เนือยๆ มีการบรรยายไปเองโดยคิดว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งๆ ที่ไม่ใช่

โดยเฉพาะกับ "ลิ้ตเติ้ลโจ" นั้น ประสบการณ์ในการบรรยายเกมฟุตบอลแบบเป็นทางการเพียงแค่ปีเดียวดูจะน้อยเกินไปมากๆ การพูดแทรกเรื่องการส่งเอสเอ็มเอสเข้ามาแบบผิดที่ผิดเวลาอยู่เป็นประจำในช่วงที่เกมกำลังไหลลื่นดูจะเป็นปัญหาที่เป็นเหตุให้หลายคนเกิดความรู้สึกรำคาญ ซึ่งกรณีของเขาดูเหมือนจะคล้ายๆ กับรุ่นใหญ่อย่าง "เทพพิทักษ์ จันทรสุเทพ" เมื่อ 4 ปีก่อน ดูแล้วค่อนข้างจะน่าเป็นห่วงอนาคตเป็นที่สุด ในขณะที่ผู้ทำหน้าที่บรรยายหลักก็ยังคงเล่นกับคำที่เป็นภาษากวีจนเกินไป

โดยรวมแม้ทั้งคู่จะทำหน้าที่ชนิดไม่ได้เลวร้ายสุดๆ แบบรับไม่ได้เอาซะเลย แต่ด้วยความที่เป็นนัดเปิดสนามนี้เองที่ทำให้ดูเหมือนว่าในตอนนี้คะแนนการทำหน้าที่ของเขาทั้งสองจะหล่นไปอยู่ในอันดับท้ายๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถัดมาในช่วงดึกกับการทำหน้าที่ในการบรรยายเกม "โปแลนด์ VS เอกวาดอร์" ของ "น้องหนู ธราวุธ นพจินดา" กับ "ป๋ายาว สุริยะ กุลธำรง" รายแรกแม้หน้าตาและน้ำเสียงรวมถึงการพยายามสร้างอารมณ์ความตื่นเต้นให้มีความใกล้เคียงกับพี่ชายนักพากย์ชื่อดัง "ย.โย่ง เอกชัย นพจินดา" ทว่าเมื่อเปรียบเทียบในเรื่องของฝีมือแล้วคุณสมบัติที่ว่ากลับกลายเป็น "จุดอ่อน" ที่ทำให้ตัวของเขาไม่สามารถหนีออกมาจากเงาพี่ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นคัมภีร์ลูกหนังของเมืองไทยเพื่อมายืนอยู่บนสไตล์ของตัวเองได้สักทีไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่

ในขณะที่คู่หูของเขา "ป๋ายาว" เองก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะการทำหน้าที่วิจารณ์เกมซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปแบบพื้นๆ แทบไม่ได้ให้ "มิติ" อะไรใหม่ๆ กับคนดู มาดูดีอยู่บ้างก็คือการทำหน้าที่ในการพากย์คู่ "อิตาลี" กับ "กาน่า" เนื่องจากเจ้าตัวนั้นค่อนข้างจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับลีกกัลโช่ฯ แต่ผลงานโดยรวมของทั้งสองยังต้องปรับปรุง

"อังกฤษ - ปารากวัย" แค่เห็นชื่อทีมสิงโตคำรามเชื่อว่าหลายคนคงจะคิดไว้แล้วว่าคู่นี้ไม่แคล้วจะต้องได้ยินเสียงของ "บิ๊กจ๊ะ สาธิต กรีกุล" และก็เป็นไปเช่นนั้นจริงๆ ราวกับมีการล็อกไว้เรียบร้อย แต่ที่แปลกตาไปหน่อยก็คือคู่หูของเขาที่ไม่ใช่ "คุณฉุย" (สมศักดิ์ สงวนทรัพย์) หากแต่เป็น "กิตติกร อุดมผล" (ศิริ อัครลาภ) แทน

คู่นี้นอกจากจะเดาได้ไม่ยากแล้วว่าใครจะได้เป็นผู้บรรยายหลัก สิ่งที่เดาได้ไม่ยากอีกเช่นกันก็คือรูปแบบการพากย์ของ "บิ๊กจ๊ะ" ที่ยังคงรู้สึกได้ถึงความเอนเอียงแบบมีอารมณ์เข้าหาทีมที่ตนเองเชียร์อย่างชัดเจน เรื่อยไปกระทั่งข้อมูลต่างๆ ที่ค่อนข้างจะหนักไปในทางสีสัน "นอกสนาม" ด้านผู้บรรยายร่วมของเขา "กิตติกร" ก็ดูจะไม่ค่อยเข้าขากันเท่าไหร่ มีการพูดแก้ต่างเหมือนกับกันท่ากันอยู่เป็นระยะๆ การวิเคราะห์เกมทั้งระหว่างที่แข่งและพักครึ่งดูจะน้อยไปนิด ส่วนใหญ่จะเป็นการมองไปถึงเรื่องที่ไม่ได้เกิดในเกมหรือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โดยคำที่ใช้ถี่ก็คือคำว่า "ถ้า..."

สองคู่บรรยายอย่าง "วีรศักดิ์ นิลกลัด - แจ็คกี้ อดิสรณ์ พึ่งยา" และ "ไพโรจน์ กิ่งแก้ว - นพนันท์ ศรีศร" ที่ทำหน้าที่ในคู่ "สวีเดน - ตรินิแด" และ "อาร์เจนติน่า - ไอวอรี โคสต์" ตามลำดับนั้น ต้องบอกว่าโดยรวมผลงานที่ออกมาค่อนข้างจะสูสีกัน จุดเด่นของ "วีรศักดิ์" และ "ไพโรจน์" ก็คือการบรรยายที่ค่อนข้างจะไหลลื่นเป็นธรรมชาติได้อารมณ์สไตล์ลูกทุ่งๆ แต่ที่เป็นจุดอ่อนก็คือการด่วนตัดสินใจแบบคิดไปเองเร็วไปนิดกระทั่งส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการบรรยายอยู่บ่อยครั้ง

ด้านผู้บรรยายร่วมของทั้งสองอย่าง "แจ็คกี้" และ "นพนันท์" ดูเหมือนว่าฝ่ายแรกจะเหนือกว่านิดๆ ในเรื่องของถูกต้องแม่นยำและการวิเคราะห์มองเกมที่ค่อนข้างจะถูกต้องกับความเป็นจริง แต่ที่เป็นจุดอ่อนของแจ็คกี้ก็คืออารมณ์ความต่อเนื่องที่บางครั้งก็เงียบหายไปดื้อๆ และบางครั้งก็ดูจะตื่นเต้นจนเกินเหตุ ในขณะที่ "นพนันท์" นั้นการทำหน้าที่เป็นคอมเม้นท์เตเตอร์ของเขายังคงต้องปรับปรุงเพราะส่วนใหญ่ยังคงเออออไหลตามไปกับผู้บรรยายหลัก

ที่ยังคงยอดเยี่ยมมาเป็นอันดับที่หนึ่งก็คือการจับคู่การทำงานร่วมกันของ "เอกราช เก่งทุกทาง" และคู่หูหมอฟันรูปหล่อ “ฤทธิกร การะเวก” ซึ่งแม้จะได้พากย์คู่ที่ไม่ใหญ่โตมโหฬารและเป็นที่จับตาของคนส่วนใหญ่อย่าง “เม็กซิโก VS อิหร่าน” ทว่าด้วยเกมที่ค่อนข้างจะออกมาสนุกประกอบกับการบรรยายที่ลงตัวเป็นอย่างดีของทั้งสองนั่นเองทำให้การดูเกมดังกล่าวไหลลื่นเป็นอย่างมาก

มือเก๋าอย่าง “เอกราช” ถ้าใครติดตามการทำหน้าที่ของเขาในรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" อาจจะรู้สึกไปว่าเจ้าตัวนั้นขี้เล่นเกินไปนิด แต่ทันทีที่ได้ทำหน้าที่บรรยายเกมฟุตบอลเมื่อไหร่ความเป็นงานเป็นการจะเกิดขึ้นทันที ทำหน้าที่ได้อย่างน่าเชื่อถือ ไม่ใส่อารมณ์จนเกินเหตุและไม่เนือยจนเกินไป ตื่นเต้นในจังหวะที่ควรตื่นเต้น ไม่นอกเรื่องจนไร้สาระ ค่อนข้างจะเป็นกลาง ให้ความสำคัญกับเกมที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าเรื่องอื่น

ในขณะที่คู่หูของเขานั้นนอกจากจะได้เปรียบตรงน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังแล้ว การให้ข้อมูลของฤทธิกรนั้นค่อนข้างจะมาแบบถูกที่ถูกเวลาและมีส่วนสำคัญกับเกม รู้จักหน้าที่ในการเป็นผู้วิจารณ์เกมของตนเอง ไม่ได้เป็นเพียงขุน(คอย)พยักอือออไปกับผู้บรรยายหลักเหมือนกับใครหลายคน ที่สำคัญแม้จะต้องโฆษณาเรื่องการส่งเอสเอ็มเอสเหมือนกับคนอื่นๆ แต่การรู้ว่าควรจะพูดเข้าไปในช่วงไหนของเกม เช่น นักบอลกำลังจะไปเก็บบอลมาทุ่ม หรือเกมหยุดเพราะมีนักกีฬาบาดเจ็บ ทำให้คนดูไม่อารมณ์เสียหรือรู้สึกว่าเป็นการบรรยายที่น่ารำคาญแต่อย่างได

และจากการทำหน้าที่ที่ค่อนข้างจะลงตัวที่ว่านี้เองที่ทำให้แฟนบอลส่วนใหญ่มองไปไกล อยากจะเห็นทั้งคู่ทำหน้าที่ร่วมกันในนัดชิงชนะเลิศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น