xs
xsm
sm
md
lg

Spring Snow : ปีกหัก

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


ยูคิโอะ มิชิมา เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการฆ่าตัวตายอันยิ่งใหญ่ของเขา บางทีเหตุการณ์ครั้งนั้นอาจจะโด่งดังมากกว่างานเขียนของเขาเสียอีก มันดูเป็นการโชว์ผลงานศิลปะหนสุดท้าย และเขาคงอยากให้ทุกคนจดจำเขาด้วยภาพแบบนั้น

พอล ชเรเดอร์ เคยนำชีวิตของนักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่นคนนี้มาทำเป็นหนังเรื่อง Mishima: A Life in Four Chapters (1985) ซึ่งออกมาฉูดฉาด ลึกลับ เหมาะสมกับมิชิมาดี แต่หนังก็ยังหย่อนแง่มุมอ่อนโยนโรแมนติก ซึ่งก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตของเขา

ผมหวังจะได้เห็นอะไรแบบนั้นใน Spring Snow ผลงานกำกับของอิซาโอะ ยูกิซาดะ (Crying out Love, at the Centre of the World) เพราะหนังดัดแปลงมาจากนิยายรักเล่มแรกของชุด The Sea of Fertility ในจำนวนทั้งหมด 4 เล่มจบ

พล็อตของ Spring Snow เป็นเรื่องรักของหนุ่มสาวในช่วงปี 1910 และมีอุปสรรคต่างๆ มาขัดขวางไม่ให้พวกเขาได้สมหวัง พูดง่ายๆ คือคล้ายเรื่องน้ำเน่าพ้นสมัย แต่รายละเอียดข้างในนั้นไม่ใช่เลย ประเด็นของมันค่อนข้างหนัก แล้วก็ห่างไกลจากเรื่องพาฝันอยู่มาก

ผมไม่ผิดหวังเลยกับ Spring Snow นี่เป็นหนังที่ผมชอบมากเรื่องหนึ่ง หลังจากดูหนังมาตั้งแต่ต้นปี มันมีความงดงามปะปนไปกับความเจ็บปวด เป็นความรู้สึกเหมือนกับตอนได้อ่านตัวหนังสือของยูกิโอะ มิชิม่าจริงๆ

หนังยังคงพูดถึงความตาย และการพยายามหลุดจากกรอบพันธนาการที่เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว การถ่ายทอดฉากในความฝัน (ที่มักเกี่ยวข้องกับการสูญเสียและจากพราก) ให้บรรยากาศนิ่งเงียบและน่ากลัว –ซึ่งชีวิตของคนเราก็เป็นแบบนั้น

ตัวละครเอกของเรื่องคือ คิโยอากิ (ซาโตชิ ซึมาบูกิ) ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเศรษฐีใหม่ตระกูลมัตสึกาเอะ ที่ถูกหมั้นหมายไว้กับ ซาโตโกะ (ยูโกะ ทาเคอูจิ) ลูกสาวของตระกูลข้าหลวงโบราณอายากูระ เบื้องหลังการหมั้นหมายนั้นไม่มีข้อผูกมัดใดๆ อย่างเป็นทางการ แต่มีเหตุเนื่องมาจากตระกูลอายากูระประสบปัญหาด้านการเงิน และต้องไปพินอบพิเทาตระกูลมัตสึกาเอะอย่างไม่เต็มใจนัก

หนังเปิดเรื่องด้วยการเผยความในใจของบ้านอายากูระว่า ก่อนที่จะซาโตโกะ ลูกสาวจะเข้าเรือนหอกับลูกชายของมัตสึกาเอะ ตนจะให้ซาโตโกะได้เสียกับชายอื่นเสียก่อน และไม่มีทางจะทำให้พวกมัตสึกาเอะสมหวังเป็นอันขาด

เวลาเกือบ 10 ปีผ่านไป เด็กทั้งคู่เติบโตขึ้น และแผนก็ค่อยๆ กลับตาลปัตร ซาโตโกะที่ไม่ควรจะรักศัตรูตามความตั้งใจของพ่อ แต่เธอก็ดันมอบใจให้คิโยอากิ มัตสึกาเอะมานานแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนไปรักชายอื่นเสียด้วย

อุปสรรคสำคัญไม่ได้อยู่ที่ทิฐิของผู้เป็นบิดาเท่านั้น ซาโตโกะพบว่า คิโยอากิ ก็ปิดกั้นตัวเองออกจากความสัมพันธ์ต่อตัวเธออย่างแน่นหนา เขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจ และดูเหมือนจะแสดงความรักไม่ค่อยเป็น

เพื่อแสดงออกว่าตนเองรักฝ่ายตรงข้าม คิโยอากิสื่อด้วยการทำให้เธอเจ็บปวดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาเขียนจดหมายไปบอกเธอว่า ตนเองเป็นคนเสเพลเพียงใด และไม่มีทางมาเหลียวแลคนอย่างเธอเด็ดขาด รวมถึงพยายามชักชวนเพื่อนสนิท ให้เข้าไปทอดสัมพันธ์กับเธอ

ครั้งหนึ่งซาโตโกะ ถามคิโยอากิว่า เขาจะรู้สึกอย่างไร หากจู่ๆ เธอหายไปจากชีวิตของเขาตลอดกาล คำตอบที่เธอได้รับก็คือ ความว่างเปล่า

คิโยอากิเป็นคนประเภท Self-destruction หรือชอบที่จะทำลายตัวเอง หลายครั้งที่คนดูรู้สึกว่า เขาเองก็มีใจให้กับหญิงสาว และเหมือนจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่เขาก็จะทำมันในวิธีการตรงกันข้ามตลอดเวลาอย่างไม่ลดละ เรื่องราวมันเริ่มต้นด้วยความเจ็บปวดเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆ ซึมลึกลงเรื่อยๆ กว่าจะถอนคืน มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

แง่มุมความสับสนภายในจิตใจปรากฏเด่นชัดเสมอมาในงานเขียนของมิชิม่า ตัวละครของเขามักมีพฤติกรรมสวนทางกับความต้องการของตัวเอง นิยายเรื่องดังของเขาเรื่อง Confessions of a Mask ก็เป็นเรื่องของชายหนุ่มที่ต้องทนทุกข์กับ “หน้ากาก” ที่ตนต้องสร้างขึ้นเพื่อการเข้าสังคม

มีบางคนบอกว่ามิชิม่าเป็นพวก Nihilism หรือไม่ยึดถือตัวตนหรืออะไรในโลกว่าเป็นจริง มองทุกอย่างเป็นมายาที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง แต่ชีวิตอีกด้านหนึ่ง มิชิม่าก็หลงใหลในตัวตนถึงขนาดไปเอาดีในการเล่นเพาะกาย และอย่างที่ทราบกันว่า เขาประกาศความยิ่งใหญ่ของตัวเองในท้ายที่สุดด้วยการกระทำอัตวินิบาตกรรม

คิโยอากิและซาโตโกะ มารู้สึกต้องการกันและกันในตอนที่ทุกอย่างมาไกลเกินกว่าจะเป็นไปได้ ฝ่ายหลังได้หมั้นหมายไปกับองค์มกุฎราชกุมารเสียแล้ว ซึ่งทั้งสองตระกูลเห็นพ้องกันว่า ไม่ว่าอำนาจเงินทองเท่าใด ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากอุปสรรคหนนี้ได้

คิโยอากิเริ่มนึกถึงความตายและการเกิดใหม่ในอีกภพ เขาได้ยินเรื่องเหล่านี้มาจากเจ้าชายเมืองสยาม ที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด คิโยอากิบอกกับหญิงสาวว่า หากชาตินี้ ความพยายามของเขาไม่สัมฤทธิ์ผล เห็นทีจะต้องรอในชาติหน้า

ซาโตโกะนั้นไม่เคยหวั่นใจกับอุปสรรคใดๆ เลย เธอปักใจเชื่อมั่นตามบทกวีที่เธอได้อ่านสมัยยังเยาว์วัยว่า สายน้ำมักถูกก้อนหินขวางให้แยกจากกัน แต่วันหนึ่งมันก็จะกลับมาไหลรวมกันเสมอ

จุดเด่นที่สุดใน Spring Snow คือคนดูไม่ได้รับคำตอบที่แน่นอนนักว่า ตัวละครในเรื่องรู้สึกอย่างไรกันแน่กับการกระทำของตนเอง และถึงพวกเขาจะดิ้นรนต่อสู้เพียงไหน ก็สามารถเอาชนะอำนาจแห่งโชคชะตาไปได้

บรรยากาศของหนังนิ่งเงียบ อ้อยอิ่ง เหมือนการนั่งมองปราสาทหลังโอฬารพังทลายลงอย่างช้าๆ และไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยับยั้งได้ งานกำกับภาพของหลี่ผิงปิง เก็บรายละเอียดของธรรมชาติและศิลปะแบบนีโอ โรแมนติกในญี่ปุ่นได้สวยงาม การเคลื่อนกล้องเป็นไปอย่างไม่เร่งร้อน เพราะการดำเนินเรื่องเป็นเช่นนั้น

องค์ประกอบทุกอย่างถูกประดิดประดอยจนสวยงาม แม้ในฉากที่ซาโตโกะเจอซากศพสุนัขตายลอยน้ำมา ก็ไม่ได้ดูน่าขยะแขยง ซาโตโกะเองก็เข้าไปแตะซากศพอย่างอาทร

ความงามในความหมายของมิชิม่าคือ สิ่งซึ่งมีอายุสั้นๆ และแสนเปราะบาง เหมือนกับผีเสื้อ ที่ถ้าเพียงคว้ามือไปจับ ปีกของมันก็จะหัก และชีพจรมันก็จะดับพร้อมไปด้วย

เงื่อนไขของโลกโหดร้ายแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าทนไม่ได้หรืออยากอยู่เหนือมัน ทางออกเดียวที่ทำได้ เห็นจะเป็นความตายเท่านั้น



กำลังโหลดความคิดเห็น