แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงและผู้กำกับในแนวทางคอมเมดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลคนหนึ่ง แต่ชีวิตจริงๆ ของ วูดดี อัลเลน กลับต้องพบเจอเรื่องเศร้าๆ และเคร่งเครียดมากมาย (หรือตัวเขาเองจะเห็นเป็นเรื่องตลกก็ไม่รู้สินะ)
อัลเลนล้มเหลวในการมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศตรงข้ามมาบ่อยครั้ง โศกนาฏกรรมที่ชวนหัวหนล่าสุดคือตอนที่เขาตัดสินใจลักลอบเป็นชู้กับซุนยี เพรวิน –ลูกเลี้ยงชาวเกาหลีของมีอา แฟร์โรว์ ซึ่งเป็นภรรยาของเขาในขณะนั้น
เรื่องราวการฟ้องร้องยืดเยื้อยาวนาน และมันก็จบลงที่เขาเป็นฝ่ายผิด แต่ถึงมันจะลงเอยแบบนั้น อัลเลนก็พิสูจน์ให้ใครต่อใครเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและซุนยี ไม่ใช่เป็นเรื่องชั่ววูบของคนไร้สติ เขากับเด็กสาวยังคงอยู่กินกันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็นั่นแหละ อนาคตก็เป็นเรื่องคาดเดาอะไรไม่ได้ สำหรับอัลเลนด้วยแล้ว ยิ่งไม่ใช่ใหญ่
คอหนังหลายคงทราบดีว่า ตัวละครเอกในหนังของวูดดี อัลเลนเกือบจะถอดแบบมาจากตัวเขาเอง ไม่แง่มุมใดก็แง่มุมหนึ่ง โดยเฉพาะด้านที่หมิ่นเหม่ต่อการทำบาป ลังเลว่าจะพาตัวเองไปยืนอยู่ฝั่งไหนระหว่างสิ่งที่ถูกที่ควร หรือว่าสิ่งที่เย้ายวนและน่าจะทำตามใจตัวเอง
Match Point ใช้โจทย์ที่ว่านี้มาขยายเป็นเรื่องราวให้บานปลายขึ้นไปอีก ว่ากันโดยพล็อต มันคล้ายคลึงกับงานเก่าของเขาเรื่อง Crimes and Misdemeanors ซึ่งเป็นเรื่องของจักษุแพทย์วัยดึกผู้มีชีวิตที่เพียบพร้อม (มาร์ติน แลนเดา) แต่กลับไปเป็นชู้กับแอร์โฮสเตตสาวใหญ่ (แองเจลิกา ฮุสตัน) ที่ตนเองไปพบระหว่างเดินทาง
ข้อมูลที่ต้องแจ้งให้ทราบอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่เป็นหนังในไม่กี่เรื่องในชีวิตการทำงานของวูดดี อัลเลน ที่ไม่ได้ถ่ายทำที่นิวยอร์ก ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขามักจะไม่ยอมไปไหนไกลกว่าบ้านของตนเอง ฉากหลังจึงดูแปลกตา และยังส่งผลถึงอารมณ์กับบรรยากาศบางส่วนด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในลอนดอน แต่ตัวละครปัญญาชนเจ้าปัญหา (อีกเครื่องหมายการค้าหนึ่งของเขา) ยังอยู่ครบถ้วน
คริส วิลตัน (โจนาธาน รีส เมเยอร์) ตัวละครเอกในหนังเรื่องนี้เป็นนักเทนนิสฝีมือดีที่ผันตัวเองมาเป็นครูฝึกสอนเทนนิส ด้วยเหตุผลที่บอกกับใครต่อใครว่า เล่นไปก็ไม่มีโอกาสรุ่ง เขาเลยมารับงานสอนเพื่อฆ่าเวลาในการขยับขยายหางานอื่นทำต่อไป
งานสอนเทนนิสในสโมสรของชนชั้นสูงทำให้เขาได้รับโอกาสดีๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือการได้รู้จักกับทอม ฮิวอิตต์ (แมทธิว กูด) หนุ่มเจ้าสำราญลูกชายของเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ทั้งคู่คุยกันถูกคอ ถึงขั้นชวนไปดูโอเปร่าและแนะนำให้คนในครอบครัวรู้จัก
คนดูทราบดีว่าคริสเติบโตมาในครอบครัวชาวไอริชจนๆ ห่างไกลกันลิบลับกับตระกูลฮิวอิตต์ การเข้ามาตีสนิทอาจมีวัตถุประสงค์แอบแฝงบางอย่าง ยิ่งได้เห็นเขาพยายามอ่านนิยายของฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกีเรื่อง Crime and Punishment ก็เกิดสังหรณ์ว่าเขาจะทำอย่างที่ราสโคลนิคอฟ (ตัวละครเอกในหนังสือ) ตัดสินใจทำ
ดูเหมือนคริสจะไม่ปิดบังว่า การเข้ามาคบหาสมาคมกับทอม จะเป็นหนทางหนึ่งในการผลักดันตัวเองให้ไปไกลกว่าจุดที่เป็นอยู่ เขาเริ่มเออออไปกับ โคลอี (เอมิลี มอร์ติเมอร์) –น้องสาวของทอมที่มาชอบพอเขา และเป็นโคลอีนี่เองที่นำเขาไปสู่งานตำแหน่งใหม่ในบริษัทของตระกูลฮิวอิตต์
ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีมาก หากบังเอิญคริสไม่ไปพบกับโนล่า (สการ์เลตต์ โยฮันส์สัน) สาวอเมริกันอารมณ์ร้อนคู่ควงของทอม เขาหลงใหลเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ และยิ่งเธอเป็นของต้องห้ามมากเท่าไหร่ คริสก็เพิ่มความพยายามในการครอบครองเธอมากเท่านั้น
โนล่าเองก็ไม่ใช่คนโง่อะไร เธอมองคริสออกตั้งแต่แรกถึงความต้องการที่แฝงเร้นอยู่ และเธอก็เตือนเขาแล้วด้วย “ชีวิตคุณกำลังจะไปได้สวย อย่าทำมันสะดุด ด้วยการมาจีบฉัน”
คนบางคนชอบที่จะเสี่ยง –คริสบรรยายไว้ในตอนต้นเรื่อง- เสี่ยงแบบงี่เง่าเสียด้วย จากการเจนสนามมาหลายปี คริสรู้ดีว่าเมื่อคุณตีลูกสักหลาดเด้งขอบตาข่าย และทิศทางก็ผันผวน ถ้าโชคดีมันก็จะตกลงอีกด้าน แต่ถ้าคุณโชคร้ายมันก็จะย้อนกลับมาตกในฝั่งที่คุณยืนอยู่
คริสไม่เชื่อในเรื่องคุณธรรมแบบ ”ทำดีได้ดี” ส่วนหนึ่งของชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่คนเราไม่สามารถกำหนดเองได้ แต่คนดูก็คาดไม่ถึงว่า คริสจะพิสูจน์ความเชื่อนั้นด้วยการพยายามตีลูกให้ติดตาข่ายทุกครั้งที่มีโอกาส
Match Point ถูกเล่าด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่า Crimes and Misdemeanors หลายเท่า ตัวคริส วิลตัน ชวนให้นึกถึง ทอม ริปลีย์ ตัวละครเอกในนิยายของแพทริเซีย ไฮต์สมิธ ในแง่ที่ว่า มักพาตัวเองไปตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงๆ และตัดสินใจทำบาป
ที่ผมบอกว่าคล้ายงานของไฮต์สมิธ –มากกว่าคล้ายดอสโตเยฟสกีที่ถูกอ้างถึงในหนัง- ก็เพราะสุดท้ายแล้ว คริสก็ทนอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเองได้ เขาชนะในเกมเสี่ยงๆ เกมนี้โดยไม่รู้สึกว่าตนเองถูกลงทัณฑ์ (อาจมีบ้าง แต่น้อย) ที่สำคัญไปกว่านั้น อัลเลนพยายามต้อนคนดูให้อยู่ในฟากเดียวกับคริส รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่คริสทำนั้นเป็นเรื่องที่ผิด
อัลเลนพยายามเล่นมุกตลกด้วยการให้คริสวุ่นวายอยู่กับการหาหนังสือของออกุสต์ สตรินด์เบิร์กในฉากหนึ่ง เขาไม่ได้บอกว่ามันเป็นหนังสือ (หรือบทละคร) เรื่องอะไร แต่งานเด่นๆ ของสตรินด์เบิร์กอย่าง The Ghost Sonata หรือ Miss Julie ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ที่ตกอยู่ในวังวนความชั่วร้ายทั้งคู่
Match Point ออกจะทำผมผิดคาดอยู่เหมือนกัน ตอนแรกที่คิดว่าหนังจะมีอารมณ์ขันมากกว่านี้ ปรากฏว่าเปล่าเลย มันเกือบจะกลายเป็นหนังธริลเลอร์ที่สมบูรณ์แบบ และมีช่วงเวลาระทึกขวัญเยี่ยมๆ อยู่หลายตอนด้วยกัน แม้กระทั่งเพลงประกอบที่เคยใช้ดนตรีแจ๊ส อัลเลนเปลี่ยนมาใช้เพลงโอเปร่า นัยว่ากะให้คนดูคาดหวังถึงโศกนาฏกรรมเต็มที่
วูดดี อัลเลน แทบจะไม่ได้ใส่อารมณ์ขันแบบที่เคยมี (แบบที่เรียกเสียงฮาได้สุดๆ) เลย มีบ้างก็แค่หึๆ เท่านั้น ทั้งๆ ที่ในช่วงครึ่งแรก บรรยากาศยังผ่อนคลาย เขาก็ยังปล่อยให้เรื่องไหลเรื่อยไปสบายๆ
ครึ่งหลังเลยไปถึงช่วงไคลแม็กซ์เสียอีก ที่อารมณ์ขันเริ่มปรากฏตัวอย่างชัดเจน อัลเลนคงรู้ดีว่า วินาทีตึงเครียดแบบนี้ คนดูคงต้องการเสียงหัวเราะมากกว่าอะไรทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมุกเกี่ยวกับตำรวจซื่อๆ 2 นายที่พยายามเข้ามาไขคดีของคริส หรือกระทั่งในตอนที่โนล่าอาละวาดกับคริสให้บอกเลิกกับเมีย เธอสั่งให้คริสบอกความจริงกับโคลอีในตอนนี้ แต่คริสอ้างว่า “ไม่ได้ นี่มันก่อนนอน บอกเรื่องแบบนี้ก่อนนอนไม่ได้”
ผมไม่รู้ว่าจริงๆ คนอังกฤษเขามีมุกอะไรแบบนี้หรือเปล่า แต่มันก็ดูเป็นอารมณ์ขันแบบวูดดี อัลเลนมาก เรื่องกำลังเครียดๆ อยู่ ได้ปล่อยก๊ากสักทีก็โล่งดีเหมือนกัน