xs
xsm
sm
md
lg

L’Enfer : อาเพศกำสรวล

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


(บทความชิ้นนี้เปิดเผยข้อมูลสำคัญของหนัง)
.....
สำหรับนักดูหนังที่ก้าวพ้นระดับการดูหนังธรรมดาไปสู่ขั้นเสพติดแบบจริงจัง อาจจะต้องเคยผ่านตาหนังไตรภาคสามสีของผู้กำกับ คริชตอฟ คิชลอฟสกี (Blue, White, Red) – ซึ่งถือเป็นหนังภาคบังคับของการเริ่มต้นดูหนังอาร์ต- กันมาบ้างแล้ว

คิชลอฟสกีได้รับการยกย่องให้เป็นคนทำหนังที่มีความสำคัญมากคนหนึ่งของโปแลนด์ ความจริงแล้วประเทศนี้มีคนทำหนังเก่งๆ อยู่หลายคนเลย แต่งานของคิชลอฟสกีแตกต่างจากคนอื่นๆ (โดยเฉพาะกับงานยุคหลังๆ) คือเป็นการเอาอภิปรัชญา (Metaphysics) มาถ่ายทอดและตีความให้ร่วมสมัย ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีการสาธยายของคิชลอฟสกีไม่มีการสรุปรวบยอดแนวความคิดใดๆ อย่างชัดเจน เกือบทุกครั้งคล้ายกับเป็นการตั้งคำถามกับคนดู ด้วยการเอามาผูกโยงกับเรื่องใกล้ตัวเสียมากกว่า

ที่น่ายกย่องอีกประการ, ถึงจะนำของที่ “เคี้ยวยาก” มาเป็นโจทย์ แต่หนังของเขาก็ไม่ใช่งานที่ต้องใช้ความพยายามในการเข้าถึง แทบทุกชิ้นเป็นหนังดราม่าที่พอจะทำความเข้าใจและมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ ระบบสัญลักษณ์แม้จะมีปรากฏอยู่เต็มไปหมด กลับไม่ได้สร้างอุปสรรคมากมายอะไรนัก คือไม่ว่าจะดูแบบตื้นหรือลึกแค่ไหน คนดูก็จะได้อะไรกลับไปเสมอๆ

คิชลอฟสกีนำ Red ออกฉายเป็นเรื่องสุดท้ายของไตรภาคสามสี และเสียชีวิตลงในปี 1996 ผมดูแล้วรู้สึกเหมือนกับคนอื่นๆ คือ คล้ายกับว่าคิชลอฟสกีรู้ตัวอยู่แล้วว่าตนเองจะต้องตาย และหนังชุดนี้ก็เป็นการทิ้งทวนอย่างสมเกียรติ

แต่ความจริงคิชลอฟสกีและคริชตอฟ ปีซีวิกซ์ (คู่หูของเขา) ยังเขียนบทหนังไตรภาคอีกชุดหนึ่ง (ประกอบด้วย Heaven, Hell, Purgatory) นัยหนึ่งเพื่อขยายความประเด็นที่พูดไว้ไม่หมดในงานชิ้นก่อนๆ โชคดีที่บทหนังชุดนี้ได้รับการสานต่อจากโปรดิวเซอร์หลายรายในยุโรป ที่ช่วยกันผลักดันให้มันออกมาเป็นหนังได้ในที่สุด

Heaven ตอนแรกของชุดออกฉายในปี 2002 กำกับโดย ทอม ทิกแวร์ คนทำหนังชาวเยอรมันที่ดังมาจาก Run Lola Run ตัวหนังทำได้ดีทีเดียว เนื้อเรื่องยังคงล้อเล่นกับโชคชะตาที่เหมือนพระพรหมจะเล่นตลกแบบงานเก่าๆ ของคิชลอฟสกี ข้อเสียมีอยู่หน่อยเดียวคือ ทิกแวร์ออกจะอึกทึกโครมครามเกินไป คิชลอฟสกีคงจะนิ่งกว่านี้ เย็นชากว่านี้ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดอะไร โจทย์แรกของหนังก็ไม่ได้ต้องการให้ใครมาคัดสำเนางานของคิชลอฟสกีอยู่แล้ว

Hell หรือ L’Enfer ตอนที่ 2 นั้นกำกับโดย เดนิส ทาโนวิค ผู้กำกับเจ้าของออสการ์หนังต่างประเทศจาก No Man’s Land หนังตลกเกี่ยวกับสงครามบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนาที่ดูแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เทียบกับ Heaven แล้ว ผมคิดว่าทาโนวิคหนักข้อกว่า หมายถึง งานมีการปรุงแต่งสูงกว่า, อาร์ตไดเรกชั่นจัดจ้านกว่า, มุมกล้องและการตัดต่อหวือหวา, ดนตรีประกอบ (ซึ่งทาโนวิคมาจัดการเอง) ก็มาในแนวทางของซบิกนิว ปรีสเนอร์ - คอมโพสเซอร์คู่บุญของคิชลอฟสกีอย่างชัดเจน, ฉากดราม่าหลายฉากจงใจบีบคั้นและเร้าอารมณ์คนดู ที่สนุกที่สุด เห็นจะเป็นการคัดลอกรายละเอียดต่างๆ ในงานชิ้นเก่าๆ ของคิชลอฟสกีมาทำใหม่อย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน

โครงเรื่องหลักของ L’Enfer วนเวียนอยู่ที่ 3 สาวพี่น้องที่แต่ละคนไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตคู่ โซฟี พี่คนโต (เอมมานูแอล เบอาร์ต) พบว่าสามีของเธอกำลังแอบนอกใจ, อานน์ (มารี จีแลง) น้องคนเล็ก แอบไปหลงรักอาจารย์ของตนเอง หนำซ้ำชายคนนี้ยังเป็นพ่อของเพื่อนสนิทของเธออีก ส่วน เซลีน คนกลาง (คาแรง วิอาร์) ครองตัวเป็นโสด ใช้ชีวิตแบบปิดตายความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม เธอเป็นคนเดียวในพี่น้องทั้งสามคนที่ยังคงเดินทางไปดูแลแม่ (คารอล บูเกต์) ซึ่งชราภาพและเป็นอัมพาต

พร้อมๆ กับที่ให้รายละเอียดชีวิตของแต่ละคน ปมบางอย่างที่หนังได้ใบ้ทิ้งไว้เมื่อตอนเปิดเรื่องก็ค่อยๆ เผยออกมา ทั้งโซฟี, เซลีน และอานน์ ต่างได้รับบาดแผลมาจากการกระทำของพ่อกับแม่ ที่น่าเศร้าใจก็คือ แม้จุดเริ่มต้นของปัญหาจะเกิดมาจากความเข้าใจผิดทำนองน้ำผึ้งหยดเดียว แต่ผลกรรมกลับวนเวียนเป็นพลังงานที่ไม่ยอมสูญสลายไปไหน แต่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นเหมือนการตกอยู่ในขุมนรกซ้ำๆ ซากๆ

ทั้งมุมกล้องและการจัดองค์ประกอบภาพที่เน้นรูปทรงกลม สอดรับกันไปเพื่อสื่อถึงสภาวะหาทางออกไม่ได้ของตัวละคร ทาโนวิคยังเน้นย้ำประเด็นนี้ด้วยเรื่องราวโศกนาฏกรรมของนางมีเดีย ในตำนานเทพปกรณัมกรีก ที่ฆ่าลูกๆ ที่แสนบริสุทธิ์ เพียงเพราะต้องการประชดสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ของตนเอง

การวางคาแรกเตอร์ของตัวละครก็น่าสนใจมาก อานน์ น้องคนเล็กเป็นคนที่ใสซื่อกับความรัก และไม่รู้ว่ากำลังเดินมาในหนทางที่ผิดพลาดแบบที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอเอง, โซฟี พี่คนโตนั้นกดดันอย่างถึงที่สุด เธอโกรธแค้นที่ถูกคนรักทรยศ เธอเกลียดเขาแต่ก็ยังรักเขา และเธอก็ต้องการเอาคืนเขาอย่างสาสม ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด โซฟีเหมือนแม่มากที่สุด รักแรงและเกลียดแรง ในตอนท้ายที่เธอไปพบแม่ เราจะเห็นชัดเลยว่า เธอไม่ยอมปริปากพูดอะไรกับแม่สักคำ, เซลีน นั้นเป็นส่วนที่สร้างอารมณ์ขันได้มากที่สุดของเรื่อง เธอเป็นเหมือนนางเอกในหนังโรแมนติก คอมเมดีที่ป้ำๆ เป๋อๆ เคอะเขิน หวาดระแวงไปเสียทุกอย่าง

L’Enfer พยายามจะโยนก้อนคำถามหนึ่งให้คนดู ถึงการจัดการกับชีวิตที่แขวนอยู่บนโชคชะตาที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ จริงอยู่ ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้เลยว่าเหตุบังเอิญนั้นเป็นเพราะพระเจ้าหรืออะไรกัน และเราสามารถมีอำนาจต่อรองกับชีวิตของตัวเองได้หรือไม่

โดยรวมแล้วผลงานของเดนิส ทาโนวิคเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูสนุกมาก เทคนิคที่ดูแพรวพราวและเหมือนจะล้น แต่เอาเข้าจริง ทุกอย่างก็กลมกลืนกันไป ไม่มีอะไรประดักประเดิดออกมา มันไม่ใช่งานที่เหมือนคิชลอฟสกีมาทำเอง แต่ทาโนวิคกำลังทำการบ้านที่เอาใจครูของตนเองเป็นพิเศษ

นักแสดงก็ทำหน้าที่ได้อย่างประทับใจ ทั้งสามสาวอย่าง เบอาร์ต, วิอาร์ และจีแลง ไปจนถึงรุ่นใหญ่ๆ อย่างคารอล บูเกต์ หรือฌากส์ แพร์แรง

ฌอง รอชฟอร์ ที่น่าจะเป็นคนที่อาวุโสที่สุดในบรรดานักแสดงในเรื่อง มาเล่นในบทรับเชิญเป็น หลุยส์ ชายชราในสถานสงเคราะห์ ที่ตอนแรกก็ราวกับจะไม่ได้มีบทเด่นอะไร แต่เขาก็ได้พูดประโยคเด็ดตบท้าย ตอนที่ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เพราะหัวใจวาย - ตาแก่หลุยส์บอกกับเซลีนอย่างขำๆ ว่า I’m too emotional, my heart’s giving up

บทสรุปง่ายๆ อาจอยู่ที่ตรงนี้ - - เพราะเราเอาอารมณ์มาตัดสินทุกอย่างมากเกินไป หัวใจเราเลยทุกข์เหมือนตกนรก



กำลังโหลดความคิดเห็น