xs
xsm
sm
md
lg

คำสารภาพของ "ปีเตอร์ ชาน" กับการครวญหนังรักเพื่อคนจีน!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"เฮ้อ.. ทำไมต้องทำหนังเพลง ผมไม่ชอบหนังเพลงเลย!"

นี่คือบทพูดที่ถูกตัดออกไปจากหนังรักฟอร์มอลังการเรื่อง Perhaps Love รู้ได้อย่างไรว่าถูกตัด? เพราะผู้กำกับบอกเองว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกของผู้กำกับในเรื่อง แต่มันเป็นความรู้สึกของเขาเองต่างหาก!!

คอหนังส่วนใหญ่รู้จักชื่อของ "ปีเตอร์ ชาน" หรือ "ชานโฮซุน" ในฐานะผู้กำกับหนังรักไร้บทสรุป ผู้ทำให้ "จางมั่นอี้ว์" กวาดทุกรางวัลที่เข้าชิงจากเรื่อง "เถียนมีมี่" ส่งหนังเรื่องนี้คว้าตุ๊กตาทองฮ่องกง 9 ตัวจากการเข้าชิง 11 สาขา และยังพาหนังไปคว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยมเทศกาลหนังนานาชาติที่เมืองซีแอตเทิล ขณะที่ตัวเขาเองก็ได้ไปกำกับหนังฮอลลีวูดเรื่อง The Love Letter และยังเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ จันดารา, One Fine Spring Day, The Eye 1-2 รวมทั้งการทำตอน Going Home หนังสั้นที่เด่นที่สุดใน Three อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต เมื่อปี 2002 ด้วย

และหลังจากไปอยู่กับหนังน่ากลัวพักหนึ่ง ชานก็กลับมาสู่ความคุ้นเคยกับการทำหนังรักขนาดยาวที่ห่างหายไปเกือบสิบปีด้วยหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป ที่เห็นได้ชัดคือโปรดักชันที่สุดอลังการกับการใส่ความเป็นมิวสิคัลจนต่างชาติมิวายสงสัยว่า เหมือนกับ Chicago มาก สบโอกาสเจ้าตัวมาเปิดหนังจึงได้ถามไถ่และผู้กำกับลูกครึ่งไทย-จีนผู้นี้ก็ร่ายยาวกับสื่อมวลชนอย่างละเอียด

Chicago เป็นหนังเพลง แต่ Perhaps Love คือหนังรักและดรามา
"ตอนมีรอบสื่อที่เวนิสก็มีคนถามนะ ทีแรกผมไม่เข้าใจเพราะทุกอย่างมันไม่เหมือนกัน ตอนนั้นผมยังไม่ยอมรับเพราะว่าผมเพิ่งตัดหนังเสร็จใหม่ๆ พอคนมาถามแบบนี้ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นในหัวของผมไม่มี Chicago เลยสักนิดหนึ่ง แต่ตอนหลังนี่ ก็ครึ่งปีมาแล้วก็มาดูๆๆ ก็เอ๊! บางอย่างเหมือนเหมือนกันนะ คือบบางทีบางอย่างมันก็ไม่ได้มาจากหัวของผมคนเดียว ก็มาจากหัวของอาร์ตไดเร็กเตอร์ (ผู้กำกับศิลป์) หรือตากล้องก็ได้"

"ที่ผมคิดอยู่อย่างหนึ่งคือในการเล่าเรื่องมันเป็นคนละเรื่องกัน Chicago มันเป็นหนังเพลง เรื่องนี้มันเป็นหนังชีวิต เราพยายามเอาเพลงเข้าไปเพื่อที่จะให้เป็นอะไรบางอย่างที่เป็นแรงผลักดันให้อารมณ์มันสูงขึ้น แต่มันไม่ใช่หนังเพลงเลย ถ้าคิดในแนวนี้ผมว่ามันไม่เหมาะที่จะเอาไปเปรียบกับ Chicago แต่บางเรื่องอาจจะเพราะว่าแบ็คกราวน์มันเป็นแฟนตาซี แบ็คกราวน์ในหนังมันมีฉากบินไปบินมาแบบพวกกายกรรม มีเสื้อมีอะไร อาจจะบางอย่างมีอิทธิพลมาจาก Chicago ซึ่งในทีมงานก็อาจจะมีบ้าง"

เพราะเกลียดหนังเพลง เลยขอทำหนังรักใส่เพลง
"ผมไม่ได้ทำหนังมาเกือบ 10 ปี ส่วนมากใช้เวลาไปกับการปรับปรุง..อย่างน้อยก็งานของผมเองเพราะรู้สึกว่า สถานการณ์ที่ฮ่องกงกำลังแย่มาก ตลาดก็ไม่ดี คนลงทุนการลงทุนก็ไม่ดี ก็ไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ สุดท้ายพอคิดว่าจะกลับมากำกับก็เลยคิดว่า.."

"ผมชอบทำหนังรัก แต่จะทำยังไงให้มันมีอะไรที่กระตุ้นคนดูได้ มันต้องเปลี่ยนอะไรบ้างไม่อย่างนั้นก็จะเหมือนกับคนอื่น ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นว่า ผู้กำกับควรจะไปกองถ่ายโดยที่มีความกังวลสักหน่อย ผมเชื่อว่า insecurity (ความไม่มั่นคงไม่แน่นอน) เป็นหลักที่สำคัญมากกับการคิดอะไรที่มันสร้างสรรค์ ผมก็เลยพยายามหาอะไรที่ไกลตัวจากผมที่สุด มันก็คือมิวสิคัล"

"ผมเป็นคนที่ชอบเพลงมาก และชอบดรามามาก แต่ผมไม่ค่อยชอบหนังมิวสิคัล เพราะมิวสิคัลทุกอันมันจะเอาความเป็นดรามามาผสมกับเพลงได้ยาก แล้วเวลาที่ผสมกันได้ อย่างในฮอลลีวูดสมัยก่อน เขาก็จะผสมกันแบบเร้าความรู้สึกมากๆ ถึงขั้นที่ว่าพยายามทำให้คนดูร้องไห้ได้ง่ายที่สุด มันต้องเป็นเรื่องที่ธรรมดาๆ ที่สุด แล้วอีกอย่าง มันจะเป็นหนังที่ถ้าไม่ร้องไห้มันก็จะแฮปปี้ไปเลย ซึ่งหนังผมเป็นหนังที่ไม่ค่อยแฮปปี้ และเป็นหนังที่เหมือนชีวิตจริงมากกว่าขณะที่มิวสิคัลมันแฟนตาซี การจะทำสองอย่างนี้ให้เข้ากันมันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง"

ต้องทำฟอร์มใหญ่เพราะสถานการณ์บังคับ!
"สถานการ์ณหนังที่ฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่มีความเปลี่ยนแปลงมาก ที่ฮ่องกงตั้งแต่ 10 ปีก่อน ตลาดเริ่มน้อยลง คนทำหนังยุคก่อนเริ่มแก่ขึ้น คนยุคใหม่ก็ไม่ค่อยมีมา ซึ่งที่ไม่ค่อยมีเพราะพอตลาดมันไม่ดีเท่าไหร่ คนยุคใหม่ก็ไม่ค่อยกล้าออก ปัญหานี้พอแก้ได้เพราะตอนนี้ที่จีนแผ่นดินใหญ่เริ่มเป็นตลาดใหญ่พอสมควรและเริ่มมีหนังบล็อกบัสเตอร์ขึ้นมาบ้างแล้ว"

"แต่ปัญหาต่อก็คือตลาดที่จีนพอมันโตแล้วมันโตแบบไม่มั่นคงเลย ปีนึงคนเลือกไปดูหนังแค่ 5-6 เรื่อง และทุกเรื่องก็จะเป็นหนังที่แบบใหญ่มหาศาล ดีไม่ดีไม่เป็นไรแต่ขอให้ใหญ่ไว้ก่อน ส่วนหนังดีจะดูที่บ้าน เค้าก็มีปัญหาเรื่องหนังเถื่อน เพราะของเถื่อนมันไม่มีเซ็นเซอร์คนก็เลยชอบดู อย่างหนังสังคมมืดมันฉายไม่ได้แบบนี้ก็ดูอยู่ที่บ้านได้ ทุกคนรู้ว่าดีวีดีเถื่อนมันหาดูง่าย"


"และสองตั๋วหนังแพงกว่าฮ่องกง ค่าครองชีพต่ำนะ เงินเดือนแค่หนึ่งในสี่ของฮ่องกง แต่ค่าตั๋วแพงกว่าเกือบสองเท่าของฮ่องกงหรือสี่เท่าของไทย ไปดูหนังก็เหมือนไปดูคอนเสิร์ตปีนึงไปดูครั้งสองครั้ง เลยไปดูแต่หนังใหญ่ อย่าง Hero ของจางอี้โหมว หรือ Promise อะไรแบบนั้น เลยทำให้ทุกคนแบบ ถ้าจะเจาะตลาดจีนก็ต้องทำหนังใหญ่ แต่หนังผมมันก็หนังเล็กๆ จะทำยังไงให้มันใหญ่ขึ้นเลยทำรำทำเพลงทำให้รู้สึกว่าคุ้มในการไปดูที่โรงหนังน่ะ"

"ผมว่าฮ่องกงเป็นตลาดที่น่าสงสารมากเพราะว่ามันเป็นตลาดที่เล็กมาก หมายความว่าตลอด 4-50 ปีเราต้องทำหนังที่ไปนอกได้ การไปนอกสำหรับเมืองไทยมันเหมือนเป็นเกรดเป็นความภาคภูมิใจที่เราไปได้แต่สำหรับฮ่องกงมันเป็นสิ่งจำเป็น หนังฮ่องกงจะทำหนังอะไรก็ได้ขอให้ไปนอกได้ ถ้าไปไม่ได้ก็ไม่ต้องทำเพราะไม่มีใครให้ทำ"

"ตอนยุค 80-90 แรกๆ หนังฮ่องกงยังไปเอเชียได้มันก็เหมือนกับไม่ได้ไปนอก ไปตลาดกลางของเราเองแต่หลังจากผมทำเถียนมีมี่ กลางปี 90 มันมีปัญหาใหญ่แล้ว มันเริ่มตก ผมว่าตลาดเล็กเนี่ยผู้กำกับจะโดนบังคับมากทีเดียว เรามีแค่คนดูน้อยมาก น้อยมากจนเค้าชอบอะไรไม่ชอบอะไรเค้าจะตัดสินใจทีเดียว"

"หมายความว่าหนังจะมีเมนสตรีม (mainstream-สายหลักแนวโน้มที่เป็นหลัก) อย่างเดียว และขนาดเมนสตรีมของเรายังใหญ่สู้ Independent (หนังอิสระ) ของอเมริกาไม่ได้ ของเค้าอาจจะมีแค่หนึ่งส่วนร้อย แต่ส่วนนั้นมันอาจจะมากกว่าคนฮ่องกงเสียอีก หมายความว่าทำจนหนังทุกอย่างมันไปแนวเดียวกัน ผู้กำกับเหมือนโดนคนดู คนจำหน่ายและเจ้าของบังคับจนผู้กำกับทุกคนติดมุม ผมก็เลยเลือกทำจุดสูงสุดของอาชีพในตอนนั้นคือไปอเมริกาเพื่อเปิดอีกประตูหนึ่ง"

"แต่ไปอเมริกาที่นั่นเค้าก็มีบังคับของเค้า ผมก็กลับมาทำต่อที่ฮ่องกงแต่ก็ทำเหมือนเลือกมากไม่ได้ ลองทำหนังโคกับเมืองไทยกับเกาหลี มันก็เป็นอีกประตู ส่วนตลาดจีนนี่เป็นเรื่องแรกของผม สองปีที่ผ่านมาตลาดที่นี่มันเริ่มเปิดจริงๆ จังๆ แต่ปัญหามันก็อยู่ที่บล็อกบัสเตอร์ ผมก็เลยต้องทำให้มันใหญ่"

"ผมเป็นทุกบทยกเว้นนางเอก และนิสัยงาบเด็กตัวเอง"
"ผมเป็นทุกตัวนอกจากผู้หญิง ทุกคนอาจจะคิดว่าเป็น จางเซียะโหย่ว ใช่ไหม เพราะว่าเค้าเล่นเป็นผู้กำกับ ก็จริง ผมเองก็เป็นผู้กำกับและเค้าก็เป็นผู้กำกับที่.. หากได้ดูกันแล้วคงรู้ว่าเวลาที่เค้าไปทำหนังเพลงเนี่ยเค้าจะไม่ค่อยมั่นใจ อันนั้นเหมือน จริงๆ เรื่องราวของเค้าจะเป็นเหมือนผู้กำกับจีนแผ่นดินใหญ่ที่สุดเพราะทุกคนต้องทำหนังใหญ่"

"คือสำหรับผมยังดีหน่อยเพราะการเปลี่ยนแปลงของผมไม่มาก แม้จะทำหนังใหญ่แต่ก็เป็นหนังแนวที่ผมทำตลอด แต่ผู้กำกับจีนอย่าง จางอี้โหมว หรือเฉินข่ายเกอ เค้าทำหนังอาร์ต ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวมาก อยู่ดีๆ ต้องมาทำหนังตลาดฟอร์มยักษ์เหมือนแบบแฮร์รี พอตเตอร์ การเปลี่ยนแปลงสำหรับเขามันเลยใหญ่มาก"

"แต่ความสัมพันธ์กับนางเอกนี่..ไม่มีเพราะผมไม่เคยออกเดตกับนางเอกของผมเองและก็ไม่เคยอยู่กับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าผมเท่านึง เพราะที่แผ่นดินใหญ่ผู้กำกับส่วนใหญ่จะมีภรรยาอายุน้อยกว่าตัวเองเท่านึง แล้วก็เป็นนางเอกของตัวเองเกือบทุกคนเลย"

"ทาเคชิ" ดวงตา ท่าทีและอายุ ใช่เลย!
"ทาเคชิ เป็นนักแสดงคนนึงที่ผมชอบมาตั้งแต่เค้าเพิ่งออกมา แต่เป็นเพราะผมไม่ได้ทำหนังวัยรุ่นแล้วเค้าก็อายุน้อย เลยหาโอกาสร่วมงานกันลำบาก เมื่อห้าปีก่อนก็เคยคุยกัน แต่หาเรื่องที่เหมาะไม่ได้ แต่สองสามปีนี้เห็นเค้าเริ่มมีอายุและมีเสน่ห์แบบแมน แทนที่จะเป็นบอย แล้วก็คิดเรื่องนี้"

"ทีแรกยังไม่ได้คิดว่าเป็นเค้า แต่ตอนเขียนเนี่ยยิ่งเขียนยิ่งเหมือน ไม่ได้เหมือนตัวจริง แต่เหมือนที่ความคิด อีกอย่างก็คือตาของเค้ามีความเศร้ามาก ผมชอบที่สุดคือในซีนที่เค้าโดนนักข่าวรุมถามแล้วมอง ตาแบบนั้นผมชอบมาก ตาแบบนั้นทั้งดุและเศร้าด้วย เลยคิดว่าน่าจะเหมาะกับเขา"

"อีกอย่าง ถ้าเรายังดูหนังฮ่องกง จะเห็นว่าเดี๋ยวนี้ฮ่องกงจะไม่มีดาราอายุเท่านี้ หนังเรื่องนี้ถ้าจะเอาอายุแบบ หลิวเต๋อหัว เหลียงเฉาเหว่ย เล่นมันก็จะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ ดาราฮ่องกงเดี๋ยวนี้สามสิบนี่แทบจะไม่มีเลย สมัยที่ผมทำเถียนมีมี่ ดาราทุกคนก็อายุสามสิบกว่า ตอนนี้ทุกคนสี่สิบ และก็ไม่มีดาราใหม่ที่สามสิบ ก็แทบจะบอกได้ว่าเป็นคนเดียวที่อายุในช่วง 30-31"

"จีจินฮี" ความบังเอิญที่ลงตัว
"บทของจีจินฮี ตอนแรกเป็นหลิวเต๋อหัว แต่ด้วยเรื่องสัญญามันยุ่งยากมาก เพราะมีโปรดิวเซอร์อเมริกันด้วย ถ้าเป็นหนังจีน บางอย่างที่หลิวเต๋อหัวต้องการเราก็จะให้ได้แต่ว่าฝรั่งเค้าไม่ยอม สุดท้ายสองอาทิตย์ก่อนถ่ายการเจรจามันแตก ก็ไม่รู้จะทำยังไง"

"คือถ้า เลสลี่ (เลสลี่ จาง) ยังอยู่ก็ไม่ต้องคิด อาจจะ แอนนิต้า (แอนนิต้า เหมยเยี่ยนฟาง) ยังอยู่ให้เป็นผู้หญิงเล่นก็ยังได้ จะหาคนที่ร้องได้เต้นได้ แล้วก็ไม่ใช่ตัวนำในหนังแต่ว่ามีน้ำหนักพอที่จะเปิดหนัง คิดดูเปิดมา 10 นาทีแรกก็ยังไม่มีพระเอกนางเอก มันลำบากสำหรับคนดู สุดท้ายก็เลย เออทำไมเราไม่มาหาเพื่อนที่เกาหลีล่ะ ก็เลยโทรไปถามก็มีสามสี่คน"

"รู้สึกว่าเค้าเป็นคนแรกที่ผมเห็นหน้าแล้วน่าจะใช่ ตอนนั้นผมยังไม่ได้ดูแดจังกึม แต่รู้ว่ามีคนนึงในแดจังกึมที่ดังมาก และต้องขอบคุณเค้ามากเพราะแทบจะแค่สองอาทิตย์ก่อนเปิดกล้องผมไปไม่ได้เพราะใกล้จะเปิดกล้องแล้วแต่เค้าบินมาเซี่ยงไฮ้สองวัน มาเจอตัว ก็เลยพูดกับเค้าตามตรงเพราะบทเค้าก็ยังไม่ได้เห็นก็เอางี้เรามาคุยกัน"

"พอเห็นแล้ว เค้ามีหน้าอินโนเซนส์อยู่ คือจริงๆ แล้วเค้าไม่ใช่คนที่ร้องเพลงเก่ง ไม่ใช่คนที่เต้นรำเก่ง มาครั้งแรกก่อนขึ้นเครื่องเค้าบอกว่าผมขอไม่เต้นได้ไหมแต่ผมก็เข้าตาจนจนถึงขั้นผมบอกว่า คุณไม่ต้องเต้นก็ได้ ให้คนอื่นเต้นไปส่วนคุณก็เดินไปมา วิ่งไปวิ่งมาก็ไม่เป็นไร แต่จริงๆ มันไม่ค่อยได้ก็เลยพูดกับเค้า เค้าบอกผมเต้นไม่เป็นจริงๆ จนเค้ามาที่นี่เจอกันแล้วผมว่าหน้าเค้ามีอินโนเซนส์อย่างหนึ่ง"

"ผมว่าถ้าเค้าเป็นเทวดาของความรัก เค้าควรจะเป็นคนที่..พอมาโลกนี้แล้วเหมือนกับทุกอย่างเป็นของใหม่ ดูหน้าเหมือนกับเด็ก แล้วเวลาเต้นรำเนี่ย ซีนแรกออกมาดีมากเลยเพราะพอเค้าเต้นแล้วเหมือนเด็กที่ยังเต้นไม่เป็นแล้วก็เต้นแล้วชอบใจมาก ผมว่าเค้ามีอีกแบบหนึ่งที่ทำให้หนังออกมาอีกแบบหนึ่ง แทนที่เอาดาราใหญ่มาเล่นมันก็ดูเหมือนจะยิ่งกลายเป็นบรอดเวย์กลายเป็นโชว์ไป ตอนนี้ก็ดีเพราะผมไม่คิดจะให้เป็นบรอดเวย์มาก"


กำลังโหลดความคิดเห็น