xs
xsm
sm
md
lg

A Side, B Side, Seaside : ความฝันกลางฤดูร้อน

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


บอกไม่ถูกเหมือนกันนะครับว่าทำไมผมถึงชอบดูหนังวัยรุ่นเหลือเกิน เมื่อตอนต้นปีที่ต้องส่งรายชื่อหนัง 10 เรื่องที่ชอบในปี 2005 ที่ผ่านมาให้กับนิตยสาร PULP ผมก็จับหนังวัยรุ่นใสๆ จากญี่ปุ่นเรื่อง Way of Blue Sky มารวมอยู่ด้วย

แม้แต่หนังไทยที่ดูไม่ค่อยจะมีอะไรอย่าง แค่เพื่อน...ค่ะพ่อ ผมก็ยังชอบมากมาย ยิ่งกว่าหนังไทยหลายเรื่องที่โดยคุณภาพงานสร้างแล้ว ทำได้ดีกว่านี้เสียอีก

เวลาไปดูหนังสั้น ถ้าได้ดูหนังของน้องๆ มัธยมหรือระดับอุดมศึกษาก็จะถูกใจมากทีเดียว รู้ทั้งรู้ว่าแม้จะมีอะไรหลายๆ อย่าง ดูจะยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักก็ตามที

มุมมองใสๆ ของเด็กๆ ไม่ค่อยมีให้เห็นกันบนจอหนังนัก คนทำหนังส่วนใหญ่เมื่อโตขึ้นก็จะทิ้งส่วนนี้กันไปหมดแล้ว คล้ายๆ กับดอกไม้ที่จะเบ่งบานอย่างบริสุทธิ์แค่หนเดียว ก่อนจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา

ในสายตาของคนอื่น หนังวัยรุ่นเป็นหนังที่บางเบาทั้งเนื้อหาและสาระ เป็นความบันเทิงที่มักตื้นเขิน ยุคหนึ่งของหนังวัยรุ่นไทยก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็น่าเสียดายถ้าจะตีขลุมเสียว่า หนังวัยรุ่นจะเป็นอย่างที่ว่าไปเสียหมด

ส่วนตัวผมเองนั้นคิดว่าช่วงชีวิตที่น่าค้นหาที่สุดก็คือช่วงเวลานี้ วัยรุ่นมีระดับอารมณ์ความนึกคิดที่ซับซ้อน การทำงานในสมองยังไม่เป็นระบบ หรืออีกแง่หนึ่งยังไม่ถูกกรอบอะไรมาบีบบังคับ เป็นวัยที่พร้อมจะฝันอย่างฟุ้งเฟ้อ พร้อมๆ กับที่จะรู้สึกหวาดกลัวอย่างมหาศาลต่อสิ่งที่ตนเองคาดเดาไม่ได้

A Side, B Side, Seaside โดยผู้กำกับ เฉินอิ่งชิ่ว เป็นหนังวัยรุ่นทุนต่ำจากฮ่องกงที่ไม่ได้โด่งดังอะไรนัก แต่หนังก็นำเสนอในส่วนที่ผมว่ามาได้งดงามดี ตัวละครในเรื่องไม่ได้ทำอะไรที่มีแก่นสารเลย พวกเขาและเธอปล่อยชีวิตไปวันๆ กับการพักผ่อนริมหาดฉางโจว พูดคุยถึงความฝัน และระแวดระวังกับอนาคตอันน่ากลัวที่กำลังตั้งท่ารอพวกเขาอยู่

งานสร้างออกมาธรรมดาๆ หลายส่วนค่อนข้างดิบ และที่ดูสมจริงไปอีกแบบอยู่ตรงที่นักแสดงซึ่งใช้หน้าใหม่ทั้งหมด รูปร่างหน้าตาเด็กทุกคนในเรื่องนั้น “บ้านๆ” เหมือนที่สามารถพบเห็นได้ตามถนนหนทางทั่วไป ไม่ได้น่ารักน่าชัง เหมือนวง Twins หรือ Boyz

ที่มาของชื่อเรื่อง A Side, B Side, Seaside เกิดจากความคึกคะนองของเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะฉลองเรียนจบชั้นมัธยม ด้วยการไปทริปส่วนตัวที่ชายทะเล และความคิดพิเรนทร์ๆ ตามประสาเด็กๆ ก็คือ พวกเธอน่าจะซื้อหนังโป๊ไปดูกันด้วย

เฉินเทียน ตัวละครหลักของเรื่องต้องรับเคราะห์เป็นคนเดินเข้าไปซื้อหนังในร้านขายวีซีดี เนื่องจากความอับอาย หลังจากเลือกหนังไปแบบส่งๆ แล้วรีบจ่ายเงิน เธอพบว่า 1 ใน 3 เรื่องที่ซื้อมาไม่ใช่หนังโป๊ แต่เป็นหนังญี่ปุ่นน่ารักๆ เรื่องหนึ่ง (A Scene at the Sea ของทาเคชิ คิตาโน) ที่ดันมีอยู่แผ่นเดียว ส่วนแผ่น B หายไปไหนก็ไม่รู้

เฉินเทียนเป็นคนเดียวที่ดูจะมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว เธอถูกครอบครัวส่งไปเรียนต่อที่ปักกิ่ง ในขณะที่เพื่อนๆ ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง เพื่อนทอมบอยคนหนึ่งบอกว่า ถึงยังไม่แน่ใจว่าตนเองจะทำอะไรต่อไปดี แต่การได้เรียนจบคือความสุขสุดยอดแล้ว เพราะนั่นหมายถึงเธอไม่ต้องใส่กระโปรงน่าเกลียดๆ อีก

เพื่อนอีกคนบอกว่าอยากแต่งงานเลย ที่ไหนได้ เธอกลับพบว่าชายหนุ่มที่ตนหลงคิดไปเองว่าเป็นคู่รักนั้น แท้จริงเขามีแฟนอยู่แล้ว ทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่เธอคิดไปเองฝ่ายเดียว

หนังไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรอย่างอื่นนอกจากการเก็บภาพกิจกรรมสนุกๆ ของพวกเธอ ตั้งแต่เล่นน้ำทะเล การส่งสายตาให้กับชายหนุ่มแล้วหยอกล้อกันพอเป็นพิธี และบรรดาเรื่องไร้สาระอื่นๆ อีกมาก ตอนหนึ่งหนังใช้เวลาไปกับการจับภาพเด็กสาวยืนบิดตัวเหยียดแข้งขา ระหว่างคุยโทรศัพท์กับแฟนหนุ่มอยู่นาน หรืออีกฉากหนึ่งที่น่าขำพอกัน คือตอนที่เพื่อนคนหนึ่งพยายามเอาชุดนักเรียนไปโยนทิ้งทะเล แต่เพื่อนๆ ที่เหลือก็ว่ายน้ำไปเอาชุดกลับคืนมา

จบตอน A Side หนังก็ตัดไปเล่าถึงตัวละครกลุ่มใหม่ แต่ฉากหลังและเวลายังเป็นเหมือนเดิม อาเหม่ย เด็กสาวที่ไปทำงานในฮ่องกง กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดที่ฉางโจว ที่นี่เธอได้เจอกับเด็กหนุ่ม 2 คนที่เคยเรียนมัธยมมาด้วยกัน และชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้คืบหน้าไปไหน ยังคงทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่ที่บ้านเกิดนี่เอง

อาเหม่ยก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก เธอออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนชายทั้ง 2 คน และเฝ้ามองรูปเก่าๆ สมัยยังเป็นนักเรียนอย่างโหยหา หนหนึ่งเพื่อนถามเธอว่า ไปอยู่ฮ่องกงเป็นอย่างไรบ้าง อาเหม่ยไม่ได้รีบร้อนเล่าอย่างที่เราคาดเดากัน เธอทำหน้าเศร้าๆ ราวกับว่า มันไม่ใช่สวรรค์อย่างที่เธอคิดไว้ในตอนแรก

อาเหม่ยแตกต่างกับกลุ่มของเฉินเทียนตรงที่เธอแทบไม่เหลือความฝันฟุ้งๆ ถึงอนาคตอีกแล้ว วัยเยาว์ของเธออาจจบสิ้นลง ณ ที่ใดที่หนึ่งในฮ่องกง สายตาที่มองโลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่แปลกเลยที่เธอจะเฝ้าแต่มองรูปถ่ายเก่าๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฉากจบของตอน Seaside ให้อารมณ์เศร้าๆ สุดท้ายอาเหม่ยก็ต้องกลับไปดำเนินชีวิตที่เหลือต่อที่ฮ่องกง ทั้งๆ ที่เพื่อนชายคนหนึ่งของเธอบอกว่า กลับมาอยู่ฉางโจวอย่างเดิมก็น่าจะดี อาเหม่ยร่ำลาเพื่อน 2 คนอยู่บนเรือ ในขณะที่เด็กหนุ่ม 2 คนเชิดสิงโตอำลาอยู่บนฝั่ง

ตอน B Side ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของเรื่อง เป็นการตามหาแผ่นจบของหนังเรื่องนั้น เฉินเทียนกลับไปยังร้านวีซีดีร้านเดิม แต่พบว่าพนักงานคนเดิมไม่อยู่เสียแล้ว คนดูเข้าใจดีว่า ส่วนหนึ่งเฉินเทียนอยากดูตอนจบของหนังจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วเธออยากจะมาพบเหอขู่ เด็กหนุ่มร้านวีซีดีคนนั้นมากกว่า

เธอบังเอิญไปเจอะกับเหอขู่ก่อนหน้านี้ที่ฉางโจว เฉินเทียนแอบมองเด็กหนุ่มพยายามเล่นวินด์เซิร์ฟเพียงลำพัง และก็ล้มคว่ำไม่เป็นท่าเป็นสิบๆ รอบ ดูอย่างไรก็เห็นทีจะไม่มีทางแล่นเรือได้สำเร็จ ทั้งสองได้คุยกันในช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เปี่ยมล้นไปด้วยความหมายสำหรับเด็กสาวอย่างเฉินเทียน

เหอขู่จากไปแล้ว เขาฝากแผ่น B ไว้ให้กับเธอ แต่มันไม่ใช่ตอนต่อของหนังญี่ปุ่นเรื่องนั้น เมื่อเฉินเทียนเปิดดูมันกลับกลายเป็นภาพจากกล้องวิดีโอเน่าๆ ที่เหอขู่ตั้งไว้ถ่ายตัวเองกำลังเริ่มต้นกับความพยายามหนใหม่ ในการเล่นวินด์เซิร์ฟ หนนี้เขาแล่นจากท่าเรือในฮ่องกง และตั้งปณิธานไว้ว่า จะไปให้ถึงสิงคโปร์ให้ได้

ตอนแรกนั้นเฉินเทียนหวาดหวั่นกับการต้องไปเรียนต่อที่ปักกิ่งมากทีเดียว ถึงตอนนี้เธอก็ยังกลัวอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเหอขู่ยังทำอะไรบ้าๆ เพื่อความฝันของตัวเองได้ ทำไมเธอจะต้องกังวลกับแค่การไปเรียนต่อด้วย

ถึงที่สุดแล้วเฉินเทียนก็ต้องเติบโต เธออาจต้องเจอกับบาดแผลและความเจ็บปวด เหมือนที่เด็กสาวอย่างอาเหม่ยเคยประสบมาแล้ว และวันหนึ่งมุมมองของเธอต่อโลก ก็ต้องเปลี่ยนไป

อย่างไรก็ดี วันนั้นมันยังมาไม่ถึง และคงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปตีตนล่วงหน้า สำหรับเฉินเทียนแล้ว อนาคตจะมีหน้าตาแบบไหนเธอไม่ทราบ ได้แต่หวังว่ามันจะงดงามและสดใส เหมือนฤดูร้อนปีนั้นที่ฉางโจว


กำลังโหลดความคิดเห็น