เป็นอีกโอกาสอันดีสำหรับแฟนหนังเกาหลีที่จะได้สัมผัสดาราคนโปรดกันอย่างใกล้ชิด เมื่อล่าสุดมีการแถลงข่าวเปิดตัว "Daisy (ล่า...หัวใจ ยัยตัวร้าย)" หนังร่วมทุนสร้างครั้งยิ่งใหญ่ของเกาหลีและฮ่องกง ผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับฮ่องกงที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถอย่าง "แอนดรูว์ เลา" แห่ง Infernal Affairs ทั้งสามภาค โดยเรื่องนี้ถือเป็นการกำกับหนังเกาหลีเรื่องแรกของเขาอีกด้วย
และถึงแม้ตัวผู้กำกับจะไม่ได้มาเอง แต่แค่ผู้ที่มาเชื่อแน่ว่าแฟนหนังเกาหลีทุกคนจะต้องรู้จักเธอ กับผู้ที่ทำให้คำว่า "ยัยตัวร้าย" ติดปากผู้คนไปทั้งบ้านทั้งเมือง เธอก็คือดาราสาวน่ารัก "จวน จี ฮุน" ซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของเกาหลีที่ขโมยหัวใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่บ้านเราไปตั้งแต่ My Sassy Girl เข้ามาร้ายกันที่เมืองไทย ล่าสุดบินด่วนมาอีกครั้งพร้อม "ลี ซุง แจ" นักแสดงรุ่นพี่ที่เล่นนำด้วยกันมาเปิดใจถึงที่เมืองไทยอีกด้วย ซึ่งทั้งสองให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงที่มาของหนังเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นกันเอง
จวน จี ฮุน "ยัยตัวร้าย" ที่อยู่ในใจใครหลายคน
หลังจากแจ้งเกิดในบ้านเราด้วยมาดสาวสุดซ่าแต่น่ารักใน My Sassy Girl แล้ว ชื่อของ "จวน จี ฮุน" ก็ดูจะเป็นที่ติดหูในเรื่องของความน่ารักสดใส แต่กับบทบาทใหม่ จีฮุนได้แสดงให้เห็นแล้วว่า นอกจากความน่ารักสดใสจะเพิ่มขึ้นแล้ว ความสามารถทางการแสดงก็เป็นสิ่งที่นับวันจะพัฒนาขึ้นเป็นเงาตามตัวอีกด้วย โดยการร่วมงานกับผู้กำกับชั้นอ๋องอย่างแอนดรูว์ เลา ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในการพัฒนาทักษะด้านการแสดงของเธอไปอีกขั้นหนึ่ง
Q บทบาทในเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
A ในเรื่องนี้ฉันต้องเล่นเป็นคนรักของผู้ชายทั้งสองคนค่ะ ซึ่งมีบุคลิกที่แตกต่างกันมาก การแสดงจึงต้องใช้เทคนิคที่สูงกว่าเรื่องที่ผ่านมา
Q รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังจากฮ่องกงอย่างแอนดรูว์ เลา
A ครั้งแรกก็กังวลเหมือนกันค่ะ เพราะเคยเห็นผลงานที่แล้วๆ มาล้วนแต่เป็นงานที่ค่อนข้างเครียดทั้งสิ้น จึงไม่มั่นใจว่าจะออกมาดีไหม แต่พอร่วมงานกันแล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่นค่ะ เขาเป็นผู้กำกับที่ไม่เหมือนคนอื่น เวลาถ่ายทำเขาจะเช็กที่สายตาของนักแสดงมากกว่าจะดูแค่ที่มอนิเตอร์
Q เรื่องนี้ได้ กว๊าก แจ-ยัง มาเขียนบทให้ด้วย
A ใช่ค่ะ เคยร่วมงานกับเขามา 2 ครั้งแล้ว (My Sassy Girl และ Windstruck) ในเรื่องนี้กว๊าก แจ-ยัง และแอนดรูว์ เลา ได้พูดคุยกันว่าควรจะให้ใครมารับบทเฮยองดี สุดท้ายพวกเขาก็เลือกฉัน ซึ่งฉันก็รับบทนี้เพราะมันมีเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยมค่ะ การได้สองคนนี้มาร่วมงานกันนับเป็นข้อดีอย่างมาก เป็นการประสานระหว่างความสนุกแบบเกาหลี และความเฉียบขาดในการเล่าเรื่องแบบฮ่องกงอีกด้วยค่ะ
Q เรื่องนี้ถ่ายทำที่กรุงอัมสเตอร์ดัมทั้งเรื่อง มีปัญหาบ้างหรือเปล่า
A สนุกดีค่ะ ไม่มีอุปสรรคใดๆ เลย ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยค่ะ แต่ที่แตกต่างจากการทำงานในเกาหลีก็คือเรื่องเวลา เพราะที่นี่กว่าอาทิตย์จะตกดินก็ประมาณ 4 ทุ่ม ทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องกินเวลาไหน(ฮา) มันเป็นช่วงเวลาที่กลางวันยาวกว่ากลางคืนมากค่ะ แต่ก็มีข้อดีคือมีเวลาให้เราทำงานกันเยอะมาก สุดท้ายก็สามารถปิดกล้องได้ก่อนกำหนดถึง 1 สัปดาห์เลยทีเดียว
Q รู้สึกอย่างไรบ้างที่เรื่องนี้ได้เล่นกับพระเอกถึงสองคน มีความแตกต่างกันบ้างไหม
A จุง วู ซุง นี่เคยร่วมงานกันมาบ่อยเลยค่ะ เคยถ่ายโฆษณาด้วยกันก็บ่อย เขาเหมือนกับพี่ชายของฉันเลยค่ะ เป็นคนที่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด ตอนอยู่ในกองถ่ายจะหยอกล้อกันตลอด จนเดี๋ยวนี้จะกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว
ส่วนลี ซุง แจ นี่เป็นครั้งแรกที่เราร่วมงานด้วยกัน ตอนแรกก็ไม่ค่อยสนิท เพราะเขาดูเป็นคนจริงจังไม่ค่อยเฮฮาเท่าไหร่ แต่พอร่วมงานด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร พูดคุยหยอกล้อกันได้ตามปกติ ด้วยที่เขาอายุมากกว่าฉันถึง 10 ปีและยังเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย Dong Kook ของฉันอีกด้วย เขาจึงมักจะให้คำปรึกษาเรื่องการแสดงกันฉันอยู่เสมอๆ เป็นอะไรที่รู้สึกดีมากเลยค่ะ
Q ทีมงานฮ่องกงกับเกาหลีต้องปรับตัวกันมากไหม
A ทีมโปรดักชันของเรื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นคนเกาหลีค่ะ ซึ่งสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวมากที่สุดก็คือเรื่องภาษาค่ะ
Q มาเมืองไทยหลายครั้งแล้ว ประทับใจอะไรในเมืองไทยบ้าง
A ชอบอาหารไทยมากที่สุดค่ะ มาครั้งนี้ทุกมื้อก็เป็นอาหารไทยทั้งหมดเลย และคนไทยก็ใจดีมากเลยค่ะ
สุดท้ายเธอก็อยากจะฝากผลงานเรื่องนี้ให้แฟนหนังชาวไทยติดตามชม เพราะเป็นหนังที่ว่าด้วยความรักในมุมมองที่แตกต่างกว่าทุกเรื่องที่เธอเคยแสดงมานั่นเอง
ลี ซุง แจ "เหลียงเฉาเหว่ย" แห่งแดนโสม
ลี ซุง แจ (Lee Jung-Jae) อาจจะไม่ใช่ชื่อที่คอหนังบ้านเราติดหูกันนัก แต่ถือได้ว่าเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในเกาหลีอย่างมาก เพราะฝากฝีมือเอาไว้ในผลงานละครหลายๆ เรื่อง โดยในหนังเรื่องนี้นับเป็นการกลับมาสู่วงการจอเงินครั้งแรกของเขาในรอบ 8 ปี วันนี้เจ้าตัวเปิดใจด้วยท่าทางที่เป็นกันเอง พร้อมกับหยอดมุขไปตลอดการสัมภาษณ์
Q อะไรที่ทำให้ตัดสินใจเล่นเรื่องนี้
A แรกเลยเพราะมีบทที่ดี ผู้กำกับที่ยอดเยี่ยม และได้เล่นร่วมกับดาราดังอย่างจวน จี ฮุนครับ
Q ได้ข่าวว่าเป็นรุ่นพี่ในมหาลัยของจวน จี ฮุนด้วย
A ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นร่วมงานครั้งแรกของเราอีกด้วย ในฐานะรุ่นพี่ก็อยากจะช่วยเหลือเขาให้มากที่สุด
Q รู้สึกอย่างไรกับผู้กำกับแอนดรูว์ เลา
A เคยเห็นผลงานของเขาใน Infernal Affairs แล้วถูกใจผมมาก ที่ผมรับเล่นเรื่องนี้ก็เพราะเขาเลยล่ะ
Q ทำงานกับทีมงานฮ่องกงมีความแตกต่างบ้างไหม
A ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ทีมงานของฮ่องกงสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว การทำงานจึงไม่มีปัญหา แต่ที่โดดเด่นเห็นจะได้แก่คุณแอนดรูว์ เลานั่นล่ะ เพราะเขาจะกำกับภาพอยู่หลังกล้องในระหว่างการถ่ายทำไปด้วย ซึ่งที่เกาหลีเค้าไม่ทำกันแบบนี้ ผมคิดว่าเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากเลย
Q รู้สึกอย่างไรที่ช่วงนี้กระแสการร่วมมือกันสร้างภาพยนตร์ในเอเชียกำลังตื่นตัวกันอย่างมาก
A ผมคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดีมากๆ เลยนะ เป็นการที่เราจะได้ไม่เป็นกบในกะลา ได้สร้างเสริมประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเรียนรู้การสร้างภาพยนตร์ในประเทศต่าง ๆ วันหนึ่งผมอาจจะได้ร่วมงานกับทีมงานของฮอลลีวูดหรือของเมืองไทยก็เป็นได้ ใครจะรู้วันหนึ่งโทนี จาอาจจะไปเล่นหนังเกาหลีก็ได้น่ะครับ(ฮา)
Q ในเรื่องนี้ชอบฉากไหนมากที่สุด
A ชอบฉากที่ทั้งสามได้มาเจอกันที่ห้องของเฮยอง เป็นการแสดงที่บีบคั้นอารมณ์มากๆ หลังจากเล่นเสร็จผมก็รีบมาดูที่มอนิเตอร์ ซึ่งภาพที่ออกมาก็ได้ตามอารมณ์ที่เล่นกันเอาไว้ทุกประการ
Q รู้สึกอย่างไรที่ได้ฉายาว่า "เหลียงเฉาเหว่ยแห่งเกาหลี"
A เหรอครับ นึกว่าเขาคือลี ซุง แจของฮ่องกงซะอีก(ฮา) ล้อเล่นน่ะครับ โดยส่วนตัวแล้วผมชื่นชมการแสดงของโทนี เหลียงมากๆ เลย หวังว่าวันหนึ่งเราจะได้มีโอกาสร่วมงานกัน
Q กรณีที่มีการลดโควต้าภาพยนตร์เกาหลีในประเทศ จนมีผู้คนในวงการบันเทิงไปประท้วงครั้งนั้น คุณมีส่วนร่วมด้วยหรือเปล่า
A ใช่ครับ ผมไปร่วมกับเขาด้วย แม้มันจะไม่เกี่ยวกับตัวผมโดยตรงก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้คนในวงการต้องช่วยกัน สุดท้ายแล้วผมหวังว่าจะมีทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย
Q แล้วการลดโควต้าครั้งนี้จะทำให้ความนิยมหนังเกาหลีในภูมิภาคเอเชียลดลงด้วยหรือเปล่า
A ผมคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันน่ะครับ
Q คิดอย่างไรกับกระแสความนิยมหนังเกาหลีที่เกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างต่อเนื่องอย่างนี้
A ผมในฐานะนักแสดงคนหนึ่งก็รู้สึกดีใจนะครับ เพราะภาพยนตร์นั้นถือเป็นวัฒนธรรมของชาติ การเรียนรู้วัฒนธรรมของแต่ละชนชาติผ่านทางการดูหนังนั้นผมคิดว่าสามารถเข้าถึงผู้คนได้ดีกว่าการเรียนรู้จากห้องเรียนเพียงอย่างเดียวเป็นไหนๆ ส่วนตัวผมก็อยากจะเรียนรู้วัฒนธรรมของพวกคุณผ่านทางภาพยนตร์ดูบ้าง อยากดูว่าจะมีหนังที่สนุกมากกว่าองค์บากอีกหรือเปล่า(ฮา)
Q ร่วมงานกับทีมงานจากฮ่องกงมีปัญหาบ้างไหม
A ตอนแรกก็กังวลเรื่องภาษา ว่าจะคุยกันรู้เรื่องหรือเปล่า แต่ที่สุดแล้วเราก็สามารถสื่อสารกันด้วยภาษาของภาพยนตร์กันได้อย่างดี และทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับทีมงานมากกว่าที่คิด
สุดท้ายหนุ่มลี ซุง แจก็หยอดคำหวานผสมมุขว่าชอบสาวไทยอย่างมาก เพราะดูน่ารักกว่าผู้ชายไทยเป็นไหนๆ (ยกเว้นผู้ชายในห้องนี้) โดยไม่ลืมฝากเชิญชวนแฟนหนังชาวไทยไปให้กำลังใจสำหรับการกลับมารับบทในจอเงินครั้งแรกในรอบ 8 ปีของเขาใน Daisy ด้วย
เรื่องย่อ Daisy ล่าหัวใจ ยัยตัวร้าย
"ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เฮยอง (Jeon Ji-hyun) จิตรกรสาวผู้น่ารัก ได้พบกับรักครั้งแรกของเธอ กับปาร์ค (Jung Woo-Sung) ชายคนหนึ่งซึ่งเธอไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ทุกๆวันเขาจะส่งดอกเดซี่มาให้ โดยที่ไม่ยอมรอพบกับเธอเลย ดังนั้น เพื่อเป็นการขอบคุณเขา เฮยองจึงวาดรูปดอกเดซี่เพื่อเป็นของขวัญให้กับเขา
แต่ในเวลาเดียวกับที่เธอวาดรูปดอกเดซี่ จะมีชายคนหนึ่งมาให้เธอวาดรูปให้ทุกวัน ชองวู (Lee Jung-Jae) นายตำรวจหนุ่มสากล หลังจากที่มาให้เฮยองวาดรูปให้บ่อยๆแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกชอบเธอ เพราะความน่ารักสดใสที่แสดงออกมาของเธอนั่นเอง แต่ชองวูเองก็ไม่สามารถบอกความในใจออกไปได้ เพราะรู้ว่าเฮยองกำลังรอใครคนหนึ่งอยู่ เขากลัวว่า หากเขาได้บอกความรู้สึกออกไป เขาจะไม่ได้เจอกับเฮยองอีก
ในขณะเดียวกันที่ปาร์คไม่สามารถมาพบกับเธอได้ เพราะว่าเขาทำงานเป็นนักฆ่า แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคอยวนเวียนอยู่รอบๆเฮยอง เพื่อที่จะได้คอยเฝ้าดูเธอ และนั่นทำให้เขาได้เห็นเฮยองอยู่กับชองวูบ่อยๆ และเธอก็ดูมีความสุขเสมอ ซึ่งสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นทำให้เขาเสียใจ แต่เขาก็คิดถึงเธออยู่เสมอ เพราะเขารักเธอนั่นเอง แต่วันหนึ่ง ปาร์คได้รับคำสั่งให้จัดการกับเป้าหมายใหม่ ซึ่งก็คือ ชองวู นั่นเอง ปาร์คจะตัดสินใจอย่างไร แล้วชองวูจะรอดพ้นจากเหตุการณ์นี้หรือไม่ แล้วเฮยองจะทำอย่างไรต่อไป"
หมายเหตุ การออกเสียงชื่อของนักแสดงที่เกี่ยวข้อง ใช้ตามที่ปรากฎบนโปสเตอร์ของภาพยนตร์