คู่รักคนบันเทิง "เกริก ชิลเลอร์" จูงมือภรรยา "อ้อม ศานันทินี" ชี้แจงกรณีถูก 6 เพื่อน(ดารา)หุ้นส่วนบริษัทออร์แกไนซ์ยื่นเรื่องฟ้องร้องโกงบริษัทตนเองตั้งแต่ปีที่แล้ว เผยอยากให้หันหน้ามาคุยกันโดยไม่ผ่านตัวแทน วอนอย่าเพิ่งตัดสินใครถูก - ผิดเพราะเรื่องยังอยู่ที่ศาล ด้าน "อ้อม" น้ำตาไหลพรากถูกชี้หน้าด่า "อีขี้โกง"!!
ยังคงวุ่นวายไม่จบสำหรับกรณีที่ 6 ใน 10 ของหุ้นส่วนบริษัทออร์แกไนเซอร์ "มาสเตอร์พีซ ครีเอชั่น" ที่ประกอบไปด้วยดาราดังอาทิ "ป๋อ ณัฐวุฒิ", "คริสติน่า อากีลาร์" "แป๊บ ณพสิทธิ์ เที่ยงธรรม" "กีต้าร์ ศิริพิชญ์" "อั๋น ภูวนาท" และ "พุทธพจน์ จิตสมบูรณ์" ได้รวมตัวกันยื่นฟ้องเพื่อนร่วมทุน "อ้อม ศานันทินี" ภรรยาของ "เกริก ชิลเลอร์" รวมถึงนายประดิษฐ์ ดังสมเจตต์ กรรมการผู้จัดการของบริษัทและผู้จัดการส่วนตัวของดาราสาวในข้อหาโกงเงินบริษัทโดยเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2548 ในขณะที่ศาลได้เตรียมจะพิจารณาเรื่องทั้งหมดในวันที่ 20 มี.ค.2549 ที่จะถึง
หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบมานาน ในช่วงบ่ายของวันนี้ (9 มี.ค.) ทั้ง "เกริก" และ "อ้อม" จึงได้จัดให้มีการแถลงข่าวเปิดเผยถึงความรู้สึกต่างๆ ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยทั้งคู่ยืนยันเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดและอยากให้ต่างฝ่ายหันหน้ามาคุยกันโดยไม่ต้องผ่านตัวแทน ในขณะที่ฝ่ายหญิงสะอื้นโทษเวรกรรมหลังโดนชี้หน้าด่าขี้โกง วอนอย่าเพิ่งตัดสินตนเองเพราะเรื่องทุกอย่างยังอยู่ที่ศาล
"อ้อมขอบคุณพี่ๆ ที่ให้ความสนใจกับข่าวนี้นะคะ แล้วก็...(เสียงเครือ) จริงๆ อ้อมก็ไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่าการที่เราอยู่วงการเดียวกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน เราต้องเจอกันแล้วก็ต้องพูดกัน เราก็ไม่อยากจะมาทำลายกัน ผลกระทบมันก็ไม่ได้เกิดกับอ้อมคนเดียว มันไปกระทบกับพี่แจ็คด้วย เพราะว่าพี่แจ็คเค้ากำลังมีงาน ทำงานเยอะทุกวัน ไม่อยากให้ใครมามองพี่แจ๊คในทางที่ไม่ดี ก็ต้องกราบขอโทษพี่ๆ นักข่าวด้วยที่ไม่ได้ให้ข่าวอะไรเยอะแยะมากมาย เพราะอ้อมคิดว่ามันน่าจะอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลมากกว่า"
เผยได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะดูเหมือนว่าตนได้กลายเป็นคนผิดไปแล้วก่อนจะปฏิเสธถึงเรื่องทั้งหมดและยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง ในขณะที่ฝ่ายสามี "เกริก ชิลเลอร์" บอกว่ารู้สึกไม่สบายใจมากๆ ต่อเรื่องทั้งหมด พร้อมวอนให้เพื่อนดาราที่มีปัญหามาพูดคุยกันโดยตรงไม่ต้องผ่านตัวแทน
"จากข่าวที่ออกมาทำให้ไม่สบายใจเอามากๆ เรื่องมันเกิดขึ้นได้ประมาณปีกว่าเกือบ 2 ปี จำไม่ค่อยได้ มันทำให้หลับไม่สนิทเลยหลับไปก็คิดครับ เมียมีคดีแล้วจะยังไง ตื่นขึ้นมาก็ยังต้องคิดอยู่ ถึงแม่ว่าออกไปข้างนอกหน้าตาจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ แต่ข้างในก็ยังกังวลอยู่ตลอด ผมคิดว่าเรื่องนี้ใครก็ไม่อยากให้เกิด ไม่ว่าฝ่ายผมหรือฝ่ายเค้าเพราะมันเกิดขึ้นมันก็มีผลกระทบทั้งสองฝ่าย"
"ผมคิดว่าเรื่องของเรื่องจริงๆ มันน่าจะเกิดจากการเข้าใจผิดกันมากกว่า เข้าใจผิดกันตั้งแต่แต่แรก มันเหมือนมีกำแพงกั้นอยู่มันไม่สามารถเปิดอกคุยกันได้ ณ วันนี้เนี่ยเราก็ยังหวังอยู่ว่าเราจะอยากให้มีการเจรจาพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ยังอยู่ในวงการเดียวกัน ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า คนที่เป็นศิลปิน นักแสดง ไม่ใช่เป็นคนที่ใจร้าย แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดจากการเข้าใจผิด ที่พูดต่อๆกันไปบ้างผมจึงอยากจะขอว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ไม่มีใครผิดใครถูก เพราะคนที่ตัดสินได้คือดุลยพินิจของศาล อย่าเพิ่งมาตัดสินว่าใครผิด"
สำหรับกรณีที่ว่าบริษัทที่เปิดขึ้นมาสามารถทำกำไรถึงร้อยล้านบาทแต่หุ้นส่วนบางคนกลับไม่ได้รับผลตอบแทนและเป็นที่มาของการฟ้องร้องนั้น "ประดิษฐ์ สมดังเจตน์" กรรมการผู้จัดการบริษัทมาสเตอร์พีซ พรีครีเอชั่น และผู้จัดการส่วนตัวของ "เกริก-อ้อม" ยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียดโดยอ้างว่าต้องรอฟังจากศาล ส่วนกรณีการฟ้องกลับนั้น เป็นเพียงการปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง ย้ำไม่ใช่ศัตรูยังรอการเจรจาพร้อมหน้ากับหุ้นส่วนอีกครั้ง
"เราไม่ได้แจ้งจับแต่เราฟ้องกลับ สิ่งที่เราทำคือปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วท้ายที่สุดเราก็ไม่ได้อยากฟ้องใครหรอกครับ"
"คดีแรกที่เราฟ้องร้องกัน มีการพูดคุยกัน แต่ทางฝ่ายเราอยากพูดคุยกับหุ้นส่วนทุกๆ คน แต่เนื่องด้วยว่าดาราที่อยู่ในธุรกิจก็เป็นดาราดังๆ มีภารกิจที่ไม่อาจมาเจอกันได้ เราก็ได้คุยกับตัวแทน เราเลยพูดกันโดยตรงไม่ได้ เราอยากคุยกันหาข้อยุติที่คุยกันมากกว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ติดต่อกลับไปแต่หลังจากนี้คงจะต้องคุยกัน"
ต่อคำถามที่ว่าโอกาสที่ทั้งหมดจะกลับมาทำธุรกิจร่วมกันอีกครั้งมั้ย เกริก บอกว่าต้องให้ทั้งหมดมาคุยกันก่อนโดยที่ไม่ต้องผ่านตัวแทนเหมือนที่ผ่านๆ มาแต่อย่างไร ในขณะที่นายประดิษฐ์บอกว่าที่ผ่านมาได้มีโอกาสคุยกันไปบ้างแล้วเมื่อครั้งเกิดเรื่องใหม่ๆ ซึ่งตนยืนยันว่าได้ชี้แจงไปตามเป็นจริงทุกอย่าง
"คุยกันไป 2 ปีที่แล้วแล้วยังไม่ได้คุยกับใครอีกเลย จำนวนเงินที่ลงหุ้นกันก็อย่างที่เป็นข่าวครับ 6 หมื่นบาท ตอนนี้ทางบริษัทไม่ได้รับงานก็หยุดไว้ชั่วคราวแต่บริษัทยังอยู่ ประมาณ 2 ปีแล้ว มันก็ไม่ควรจะรับใช่ไหมครับเมื่อบริษัทมีปัญหา เรามาวันนี้เราขอโอกาสได้พูด เราจะพูดวันนี้เรื่องนี้แค่ครั้งเดียว เค้า 2 คนก็เป็นดารา เมื่อมีข่าวว่าเค้าทั้ง 2 คนโกงเค้ามันก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี ซึ่งมันยังตัดสินอะไรไม่ได้ ไม่อยากให้สื่อออกไปแบบนั้น ขอความกรุณาว่าข่าวที่ออกไปเราพูดได้เพียงเท่านี้จริงๆ ผมก็ยังย้ำว่าเราอาจจะมีโอกาสได้คุยกันอีกครั้ง"
เกริก : "วันนี้ก็ได้ชี้แจงแล้วก็วอนว่าจะเสนอข่าวอะไรก็ขอให้คำนึงถึงทั้ง 2 ฝ่ายนะครับ เรื่องนี้ไม่มีใครผิด แต่มีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ ก็อาจจะมาเคลียร์กันได้ เราอยากคุยกับหุ้นส่วนจริงๆ ที่ไม่ใช่ตัวแทน นั่งคุยมองหน้ากัน เพราะฟังจากน้ำเสียงอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องมาคุยกัน"
"ผลกระทบกับงานละคร คือเรื่องนี้มันประมาณ ปี 2 ปีแล้วข่าวมันก็ระแคะระคายมาเรื่อย แต่ทุกคนก็กลัวเสียชื่อเสียงกันหมด แต่ตอนนี้มันเริ่มมีผลกับผมแล้วครับ เรื่องของละคร งานพิธีกรที่มันลดลง ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร"
หลังการแถลงข่าวอ้อมเผยทั้งน้ำตาว่า โดนชี้หน้าด่าขี้โกงต่อหน้าลูก แต่ยังขอใช้สติควบคุมเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมเผยเรื่องทั้งหมดถือเป็นวิบากกรรมที่เคยทำไว้
"มันเหมือนความดีที่ทำมาทั้งชีวิตโนคลื่นพัดไปหมดเหมือนกัน...อ้อมเจอด่าแรงมากๆ เกิดมาก็ไม่เคยยืมเงินใคร ไม่เคยโนใครด่าหรือด่าใครแบบนั้นเลย อยู่ดีๆ ไปส่งลูกที่โรงเรียน เจอคนที่เค้าไม่รู้จักอ้อมเดินเข้ามาด่าว่า อีนี่ไง อีที่โกงเงินเค้า ยอมรับว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย แต่ช่างมันเถอะอ้อมถือว่ามันคือวิบากกรมของอ้อมเอง"
"กับลูกแซมมี่เค้าไม่เข้าใจหรอกว่ามันเป็นคำด่าเพราะอ้อมไม่เคยสอนหรือเค้าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้น แต่เวลาเราโดนด่า 2-3 ครั้ง เค้าเห็นเราร้องไห้ก็จะเข้าใจว่าน้ำลายเราไหลออกทางตา...(หัวเราะทั้งน้ำตา) ไม่ว่าจะยังไงอ้อมไม่เคยพูดไม่ดีกับลูกค่ะ เค้าไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร"
"มีเนี่ยมันคงมีน่ะค่ะ เพราะว่าแม่โดนกล่าวหาขนาดนี้ ถ้าลูกอ้อมโตมาแล้วอ้อมจะเลี้ยงลูกยังไงล่ะค่ะ ที่ร้องไห้เพราะมันรู้สึกน้อยใจน่ะค่ะ น้อยใจมากๆ เออ...ความดีที่เราทำมาทั้งชีวิตมันหมดไปเลยหรือ แต่ก็มาดีใจก็ตรงที่ว่าคนในวงการที่เค้าเข้าใจเราก็มีเป็นกำลังใจให้เยอะ"
"ที่ผ่านมาก็ไม่อยากพูดอะไรให้ใครเสียหาย อ้อมขอรับผลกระทบคนเดียวจะดีกว่า อ้อมไม่ได้พูดเพื่อให้ตัวเองดูดีแต่คิดแบบนั้นจริงๆ เพราะถ้าทำผิดก็คงไม่กล้าอยู่สู้หน้าใครหรอกค่ะ"