ถึงเวลานี้ใครต่อใครก็คงทราบผลรางวัลที่โด่งดังที่สุดของโลกภาพยนตร์กันไปแล้ว และนี่คงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผลออสการ์ก่อให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งและรวมถึงคัคด้านเหมือนในบางปีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
สื่อในอเมริกาหลายสำนักถึงกับบอกว่า ต่อแต่นี้ไปคงจะคาดหวังมาตรฐานอันสูงส่งจากเวทีแห่งนี้ไม่ได้อีก และคนดูก็ต้องยอมรับว่า นี่เป็นรางวัลขวัญใจมหาชน มากกว่าจะเป็นรางวัลที่มอบให้งานศิลปะอันสร้างสรรค์อย่างจริงจัง
Crash คงไม่ถึงกับเป็นหนังชั้นเลว จะให้พูดกันตรงๆ มันเป็นหนังที่ไม่น่าเกลียดอะไรด้วยซ้ำ กับการอยู่ในรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผมมองว่าจุดเด่นของงานชิ้นนี้ของพอล แฮกกิส อยู่ตรงการนำเอาปัญหา “อคติระหว่างกัน” มาขยายความได้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากทีเดียว มันเข้าถึงคนหมู่มาก และจุดคำถามบางอย่างในใจของคนดู ให้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม (โดยเฉพาะสังคมอเมริกันเอง)
อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนกันว่า ด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับการเทศนา การเร้าอารมณ์ อีกทั้งการไม่เหลือที่ว่างให้ผู้ชมได้ใช้จินตนาการ (เพราะประเด็นทุกอย่างมันชัดใสเหลือเกิน) นั้น ก็เป็นส่วนด้อยของหนังด้วยเหมือนกัน เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่พูดด้วยกลวิธีที่แยบยลและคมคายกว่า Crash จึงตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
อเมริกาเป็นประเทศแห่งการสร้างภาพ มายาคติอย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากคือ พวกเขาต้องการบอกชาวโลกว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาสังคม ถึงแม้ตนจะตกเป็นประเทศที่มีสถิติอาชญากรรมสูงเป็นลำดับต้นๆ และเป็นจำเลยในปัญหาสงครามตะวันออกกลาง ทว่าชาวอเมริกันก็ยังหลงเหลือความเชื่อเรื่องสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบโดยยอมรับความแตกต่าง
Crash จึงเป็นเครื่องมือและคำตอบสุดท้ายที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด หลังจากได้รับรางวัลใครต่อใครคงพากันเดินเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ หรือเช่าวิดีโอ, ซื้อดีวีดีมาชม และตระหนักถึงนโยบาย “โลกสวยด้วยมือเรา” จากผลิตผลของวงการหนังอเมริกันกันถ้วนทั่ว
ปีนี้ผมได้ดูหนังที่เข้าชิงออสการ์น้อยมาก บางเรื่องซื้อดีวีดีไว้แล้ว แต่ก็ยังหาเวลาดูไม่ได้ บางเรื่องก็ต้องรอต่อไปว่าจะได้มีโอกาสดูหรือไม่ จึงไม่สามารถวิพากษ์ในภาพรวมได้อย่างเต็มที่
ผมตั้งใจเลือกเขียนถึงสาขานักแสดงนำหญิง ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าดูครบแล้ว (หรือดูมากกว่าสาขาอื่น) อันที่จริงได้ดูไปแค่ 2 เรื่องเท่านั้นเอง คือ Transamerica และ Walk the Line
แต่เนื่องด้วยทั้งสองเรื่องเป็นงานที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะในส่วนของนักแสดงนำหญิงนั้น ก็ต้องบอกว่า พวกเธอเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในหนังเลยทีเดียว ลำพังตัวหนังเองนั้นดีในระดับหนึ่ง แต่เพราะบทบาทพวกเธอ ตัวงานเลยสามารถขยับสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ผมไม่ได้เห็นแย้งว่าใครควรจะได้มากกว่ากัน ทั้งรีส วิเธอร์สปูน และ เฟลิซิตี ฮัฟฟ์แมน กินกันไม่ลงอยู่แล้ว เนื่องจากจัดจ้านกันทั้งคู่ เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการแสดงที่น่าศึกษา และเอาเป็นต้นแบบได้ ดูจบแล้วยังนึกว่า ถ้านักแสดงในบ้านเราทำได้ถึงขนาดนี้บ้าง คงจะน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลย
ใน Transamerica เฟลิซิตี ฮัฟฟ์แมน รับบท บรี ออสบอร์น สาวประเภทสองที่กำลังจะแปลงกายขั้นสุดท้าย แต่ติดอยู่ตรงที่ เธอต้องไปจัดการปัญหาเกี่ยวกับลูกชายของตนเอง –ซึ่งเธอเคยพลาดทำผู้หญิงคนหนึ่งตั้งท้องเมื่อนานมาแล้ว
การได้พบกับลูกชายที่ตนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ซ้ำเจ้าลูกชายตัวแสบยังติดยา, ขายตัว และมีปมปัญหาในใจอีก ทำให้บรีต้องรับศึกหนักยิ่งกว่าหนไหนๆ ในชีวิต
ผมชอบหนังเรื่องนี้ตรงที่ผู้กำกับ (ดันแคน ทักเกอร์) ไม่ได้พยายามเสนอแนะทางออกที่เป็นสูตรสำเร็จใดๆ ทั้งนั้น ท้ายที่สุดแล้วปัญหาหลายๆ อย่างยังคงค้างคาอยู่เช่นเดิม แต่ความเปลี่ยนแปลงก็คือ ทั้งแม่ (หรือพ่อ) กับตัวลูกชายต่างยอมรับข้อด้อยของกันและกัน แล้วดำเนินชีวิตไปข้างหน้า โดยไม่เอาความกังวลอะไรมาใส่ใจ
ฮัฟฟ์แมนต้องโอบอุ้มหนังทั้งเรื่องด้วยการรับบทเป็นกระเทยเสียงแหบห้าว ที่ต้องสำรวมทั้งกิริยา วาจา การแสดงออกของเธอกำลังดี กล่าวคือ ในการสงวนท่าที (อันเนื่องด้วยเหตุผลทางสรีระที่ยังไม่ได้เป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์พร้อม) บรียังคงเผยให้เห็นจริตจะก้านแบบผู้หญิงให้เห็นบ้างประปราย เราจึงเห็นเธอเป็นคนที่อ่อนไหวและเปราะบาง ที่พยายามเหลือเกินที่จะยืนอย่างเข้มแข็งให้ได้ ท่ามกลางปัญหารุมเร้า
คนที่เคยติดตามชมซีรีส์ Desperate Housewives อาจตกใจไปเลยที่ฮัฟฟ์แมนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แต่อย่างหนึ่งที่ยังคงแม่นยำเสมอต้นเสมอปลาย คือจังหวะรับส่งบทสนทนาในบทตลก ที่ฮัฟฟ์แมนยังเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ส่วนตัวผมนั้นเชียร์เฟลิซิตี ฮัฟฟ์แมน เพราะไม่บ่อยนักที่นักแสดงชื่อเสียงระดับเธอกลางๆ อย่างเธอ จะมีโอกาสได้บทแบบนี้ ที่สำคัญคือ เธอเป็นหัวใจหรือแกนที่ประคับประคองหนังทั้งเรื่องไว้
สำหรับรีส วิเธอร์สปูนนั้น คอหนังคงทราบกันแล้วว่า เธอเป็นคนเล่นหนังดีมาแต่ไหนแต่ไร คนที่ชื่นชอบเธอมาจาก The Man in the Moon (1991) คงไม่แปลกใจนัก สำหรับรางวัลออสการ์ในปีนี้
ใน Walk the Line วิเธอร์สปูน รับบท จูน คาร์เตอร์ นักร้องสาวที่เป็นคู่ชีวิตของจอห์นนี แคช ราชาเพลงคันทรีของอเมริกา ที่กว่าจะลงเอยกันได้ ก็กินระยะเวลาเป็นสิบปี
จูนนั้นเข้าวงการมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเกิดมาในรอบครัวนักดนตรี กลายเป็นคนที่อยู่ในความสนใจและถูกคาดหวังให้เป็นโน่นเป็นนี่ตลอดเวลา คนดูได้เห็นจูนครั้งแรกพร้อมๆ กับที่พระเอกได้เห็น เธอเป็นสาวเสียงใส ร่าเริง ติดจะขี้เล่น แล้วยังเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ชั้นเยี่ยมบนเวที
ฉากที่ดีมากฉากหนึ่งของรีส วิเธอร์สปูน คือตอนที่จูนสารภาพกับจอห์นนีในบาร์ว่า เธอไม่ได้ดีเด่อะไรเลย เสียงร้องที่ใครๆ ชื่นชอบนั้น จะว่าไปก็ไม่สามารถสู้พี่สาวของเธอได้ เธอเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ผัวทิ้ง มีลูกติด และยังต้องตะลอนๆ ร้องเพลงเพื่อเลี้ยงชีพ
วิเธอร์สปูนสื่อออกมาคล้ายกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่จูนได้พูดอะไรบางอย่างที่เธอไม่เคยเปิดเผยมันให้ใครได้รับรู้ มันช่างเศร้า และเป็นการเยาะเย้ยตัวเองด้วยความเจ็บปวด
อีกฉากต่อมาที่เด่นมาก เป็นตอนที่จูนต้องวิ่งออกจากเวทีกลางคันเพราะทนกับสายตาของผู้ชมคนหนึ่งไม่ได้ ที่กำลังตัดสินเธอเรื่องชีวิตส่วนตัว เธอวิ่งเข้าไปในห้อง และปิดประตูร้องไห้อย่างคนที่แพ้หมดรูป พลางตะโกนบอกจอห์นนี แคชว่า เธออยากอยู่คนเดียว
นี่ผมยังไม่ได้ชมรีส วิเธอร์สปูน เรื่องการพูดสำเนียงใต้ และการร้องเพลงเองในหนังเลย แต่นึกถึงฉากที่ว่านี้ทีไร ก็ต้องทำใจบอกกับเฟลิซิตี ฮัฟฟ์แมนว่า ให้ออสการ์กับรีส วิเธอร์สปูนไปเถอะ