ชีวิตที่ร่านทุรนทนทุรายด้วยมายาภาพที่ตัวเองสร้างขึ้น ภายใต้พรสวรรค์ในฐานะเอ็มซีส์หรือแร็ปเปอร์ตัวยงของฝั่งอีสต์ โคสต์ ที่มีฐานอยู่ที่บรูคลิน มหานครนิวยอร์ค ของ The Notorious B.I.G. ทำให้เขาต้องฝ่ามรสุมด้วยตัวตนที่อุปโลกน์ขึ้นมาจากความเป็นแก๊งสเตอร์หรือมาเฟียที่พัวพันกับยาเสพติดและการฆ่าฟัน แต่ก็หนีไม่พ้นเมื่อความตายเข้ามาเยือน
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 แก๊งสเตอร์ แร็ป หรือกร่อนคำแบบแร็ปว่า แก๊งสตา แร็ป (Gangsta Rap) เป็นสไตล์ดนตรีที่พัฒนาขึ้นมาในปลายยุคทศวรรษที่ 80 ซึ่งก่อร่างแผ่แยกมามาจากฮาร์ดคอร์ แร็ป (hardcore rap) นั้น เป็นที่นิยมกันอย่างมาก
วิถีชีวิตแบบมาเฟียในวงการดนตรีแร็ปได้กลายเป็นกระแสหลัก มีการต่อสู้ฟาดฟันระหว่างกลุ่มทางชายฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นแร็ปดั้งเดิมที่ก่อกำเนิดในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเรียกรวมว่า อีสต์โคสต์ แร็ป (Eastcoast Rap) กับกลุ่มแร็ปคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงจากแคลิฟอร์เนีย ที่ถูกเรียกว่า เวสต์โคสต์ แร็ป (Westcoast Rap)
แก๊งสตา แร็ป (gangsta rap) จะมีเอกลักษณ์ของการแร็ปที่มีความหงุดหงิดงุ่นง่าน เสียงที่ดังอึกทึก คำร้องที่ร่าเริงแต่มีความคมคาย โดยที่คนร้องแร็ปหรือแร็ปเปอร์จะร้องพ่นพล่ามสบถหยาบคายที่เป็นเรื่องราวความเถื่อนถ่อยที่เกิดขึ้นข้างถนนเกี่ยวกับอาชญากรรมในเมืองใหญ่
บางครั้งคำร้องและเนื้อเป็นภาพฉายสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม แต่บางทีก็โวอวดโอ่เกินความเป็นจริงจนฟังดูกลายเป็นเรื่องราวในหนังสือการ์ตูนไปก็มี แต่ทั้งสองแบบก็ประสบความสำเร็จทางการขายด้วยรูปแบบของฮิพ-ฮอพในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 80 และต้นยุคทศวรรษที่ 90
ในกระบวนการการโต้เถียงถึงมูลเหตุที่สำคัญของสไตล์ดนตรีแก๊งสตา แร็ป (gangsta rap) ในสังคมนั้น องค์กรจารีตนิยมและพวกหัวอนุรักษ์นิยมพยายามที่จะสั่งห้ามหรือแบนอัลบั้มเหล่านี้ โดยพยายามเคลื่อนไหวให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายโดยให้ถอดออกไปจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ แต่เหล่าศิลปินก็ยังทำงานออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการเซ็นเซอร์หรือตรวจพิจารณา
‘The Notorious B.I.G.’ มีชื่อจริงว่า Christopher Wallace เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษาคม ปี 1972 (2515) เสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนปี 1997 (2540) เขาทำงานดนตรีในสไตล์แก๊งสตา แร็ป, จี-ฟังค์, ฮาร์ดคอร์ แร็ป, ป็อป-แร็ป
ในช่วงสั้นๆ ของปีสุดท้าย the Notorious B.I.G. กลายเป็นโศกนาฏกรรม เหยื่อวัฒนธรรมความรุนแรงที่เขาทำให้เห็นจริงผ่านการบันทึกเสียงของเขา ถนนบรู๊คลิน ที่ซึ่งเป็นถิ่นฐานของเหล่าอีสต์โคสต์ ฮิพ-ฮอพ เขาถูกฆาตกรรมหลังจากการยิง Tupac Shakur แก๊งสตา แร็ประดับดาราอีกคนก่อนหน้านั้นเพียง 6 เดือน
ความตายของ the Notorious B.I.G. ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม Biggie Smalls ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโง่บ้าของความรุนแรง ได้เป็นสิ่งที่ระบาดในเมืองใหญ่ของอเมริกาในศตวรรษที่ 20 เกิดจากการปะทะกันทางความคิดและวัฒนธรรมของอีสต์ โคสต์ กับเวสต์ โคสต์ ฮิพ-ฮอพ
The Notorious B.I.G. เติบโตในแถบบรู๊คลิน เขาเข้าใจในวัฒนแร็ปตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น โดยร่วมแสดงกับศิลปินในแถบนั้น อย่าง the Old Gold Brothers และ the Techniques ต่อมาก็ได้บันทึกเสียงในสตูดิโอ โดยที่เขาใช้ชื่อว่า Biggie Smalls ซึ่งเหมาะสมกับรูปร่างร่างและหุ่นของเขา เพราะสูงมากกว่า 6 ฟุต และหนักเกือบ 400 ปอนด์
แม้ว่าเขาจะเป็นนักเรียนที่ดี แต่เขาก็ออกจากโรงเรียนมัธยมปลายหรือไฮสคูลเมื่ออายุ 17 ปี หันมาใช้ชีวิตข้างถนน ด้วยการเป็นพ่อค้าขายยารายย่อยในพื้นที่แถวนั้น และไปติดคุกอยู่ 9 เดือนที่นอร์ท โคโรไลน่า และออกมาทำเดโมบันทึกเสียงกับเพื่อนแบบ 4 แทร็ค เมื่อถูกชมในทางบวกจากนิตยสารฮิพ-ฮอพ จากการที่ได้พบกับโปรดิวเซอร์ Sean "Puffy" Combs เขาได้เซ็นสัญญาในทันที
เมื่อได้ขึ้นเวทีแสดงเป็นครั้งแรกเขาก็เปลี่ยนชื่อเป็น the Notorious B.I.G. เขาได้ร่วมทำงานกับ Mary J. Blige ทั้งในงานซิงเกิลและงานรีมิกซ์ แล้วได้ออกงานเดี่ยวอัลบั้มแรกที่ชื่อ “Ready to Die” ในเดือนกันยายน ปี 1994 (2537อาวุธของบรรดาแก๊งสตา แร็ปในฟากเวสต์โคสต์ กับอีสต์ โคสต์ ยังดำรงอยู่มาถึงปัจจุบันนี้) ซิงเกิล "Juicy" ได้รับแผ่นเสียงทองคำ และมีเพลงสุดฮิตคือ "Big Poppa" ที่ประสบความสำเร็จทั้งยอดขายและอันดับเพลงในชาร์ตเพลงป็อปและอาร์แอนด์บี
ภายใต้ความยุ่งเหยิงของการทะเลาะและลอบทำร้ายกันของเหล่าแก๊งสตา แร็ป ซึ่งคำๆ นี้ได้รู้จักกันโดยทั่วไปภายหลังการตายของ Tupac Shakur ซึ่งความวุ่นวายตรงนี้ก็มาถึงจุดที่ the Notorious B.I.G. ถูกสังหารก่อนที่จะออกอัลบั้มชุดที่ 2 “Life After Death” ได้ไม่นาน โดยก่อนหน้านั้นก็ถูกจับในข้อหามีกัญชาและอาวุธไว้ในครอบครองที่บ้านมาแล้ว
โดยที่การต่อสู้ทางความคิด การผลิตงานเพลง และอาวุธของบรรดาแก๊งสตา แร็ปในฟากเวสต์โคสต์ กับอีสต์ โคสต์ ยังดำรงอยู่มาถึงปัจจุบันนี้
อัลบั้ม ‘Duets : The Final Chapter’ ประดุจการตอกย้ำถึงการปิดฉากและการรำลึกถึง The Notorious B.I.G. กันอีกหน ถือเป็นอัลบั้มรวมมิตรที่ช่วยเหลือกัน เพื่อหารายได้ให้ครบครัวของเขา ที่ยังมีลูกเมียอยู่ข้างหลัง
ด้วยพรสวรรค์ตั้งแต่มีชีวิตอยู่ของ The Nororious B.I.G. แม้มีรูปร่างอ้วนดำแต่เขาได้งานในรูปแบบที่มีรูปแบบการแร็ปที่พ่นพล่ามแสดงถึงความก้าวร้าว โหดดิบ สะท้อนภาพชีวิตข้างถนน ความโสมมสกปรกของชีวิตใต้ดินที่อยู่ข้างถนนออกมาได้อย่างมีพลัง ถือเป็นหัวหอกแร็ปเปอร์ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในสายแก๊งสตาแร็ป
22 บทเพลง ในอัลบั้มชุดนี้ ไม่ได้แสดงถึงตัวตนที่จริงแท้ของเขาออกมาเท่าไหร่นัก เพราะเป็นการนำงานที่ร่วมทำงานกับเพื่อนฝูงในวงการแร็ปและฮิพ-ฮอพซึ่งมีชื่อเสียงมากมายจนละลานตา ทำให้มีความแตกกระจายไปตามความถนัดของผู้มาร่วมงานในแต่ละคน ไม่ว่า Diddy, Eminem, Obie Trice, Jay-Z, Snoop Dogg, Faith Evans, Nelly, 2PAC, Mary J.Blige, Missy Elliot, R.Kelly ฯลฯ มีทั้งสไตล์ฮิพ-ฮอพ, อีสค์โคลสต์ แร็ป, แก๊งสตา แร็ป, ป็อปแร็ป และฮาร์ดคอร์แร็ป ที่ถูกนำเสนอออกมา
แต่ความโดดเด่นของอัลบั้มชุดนี้ กลับไปตกอยู่ที่บทเพลง ‘Hold Ya Head’ ที่ร้องร่วมกับเสียงผู้จากไปในระดับตำนานเร็กเก้แห่งจาไมก้า Bob Marley ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่นำมาเชื่อมต่อกันได้อย่างทรงพลัง ได้แสดงถึงความแตกต่างของดนตรีที่อยู่ในระนาบเดียวกัน มีรากเหง้าที่ใกล้เคียงกัน สามารถสมานเป็นเนื้อเดียวกันอย่างน่าขนลุก
อีกเพลงคือ ‘Wake Up’ กับวงนู เมทัลอย่าง Korn ซึ่งสามารถร่วมทำงานกันในทิศทางและสีสันของความแร็ปเมทัลที่กลืนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในช่วงอินเทอร์ลูด (ดนตรีหรือบทเพลงสั้น) คั่นระหว่างเพลงในอัลบั้มช่วงต่างๆ ได้แสดงถึงอารมณ์แห่งความผูกพันของครอบครัวลูกเมียของ The Notorious B.I.G. ออกมาอย่างเต็มที่ คล้ายเป็นอัลบั้มส่วนตัวเพื่อรำลึกถึงโดยเฉพาะ
หากว่าไปแล้วงานชุดนี้ ก็ไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก เป็นการรำลึกถึงเพื่อแสดงให้เห็นว่า ความตายของ The Notorious B.I.G. แม้ผ่านไป 9 ปีแล้ว แต่จิตวิญญาณยังหลงเหลือให้กู่ก้องอยู่ และสามารถมูลค่าเพิ่มในตัวงานให้ครอบครัวได้ใช้จ่าย
หรือมองอีกมุมก็เป็นกรณีศึกษาสะท้อนย้อนหลังกลับไปของแร็ปเปอร์ผู้ด่าวดิ้นซึ่งเกิดมาจากมายาคติของตัวเองที่สร้างโลกของมาเฟียและสิ่งใต้ดินผิดกฎหมายให้ปนเปื้อนกับวงการดนตรีในความเป็นจริง ภายใต้กงกรรมกงเกวียนในสงครามแห่งศักดิ์ศรีของแร็ปเปอร์ที่ไม่มีผู้ใดชนะ
..........
Music Guide
The Greatest / Ian Brown
บริติชป็อป และอินดี้ร็อกในแบบแมนเชสเตอร์ซาวด์ ซึ่งนำดนตรีเต้นรำมาผนวกกับดนตรีร็อกก้าวขึ้นมานำสมัยสุดๆ ในทศวรรษที่ 80 จนกลายเป็นความคลั่งไคล้บนเกาะอังกฤษในนามวง The Stone Roses การออกมาทำงานเดี่ยวของตัวเอง เขาก็ยังคงคุณลักษณ์ดนตรีที่เท่ไว้ดังเดิม แต่เสนอแนวคิดที่แหวกออกไปได้อย่างกลมกลืน งานรวมเพลงชุดนี้มีหลากหลายอารมณ์ ทั้งในแบบอัลบั้มเวอร์ชั่น รีมิกซ์ และเวอร์ชั่นที่ทำขึ้นมาใหม่เพื่อมารวมในชุดนี้โดยเฉพาะ ถ้าอยากรู้จักดนตรีอังกฤษเท่ๆ ใช่เลย
.....
Anthology / Bryan Adams
แม้จะออกงานรวมฮิตในอัลบั้ม ‘So Far So Good’ มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ในช่วงสูงสุดของความเป็นแคเนเดียนร็อคสตาร์ที่มีอิทธิพลต่อโลกดนตรีร็อกมากที่สุดคนหนึ่ง มีความยอดเยี่ยมแล้ว แต่อัลบั้มซีดีคู่ชุดนี้ที่รวมเพลงของเขาตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานมาถึงยุคปัจจุบันไว้ถึง 36 เพลง มีความเจ๋งเป้งกว่า ถือเป็นงานที่รวมเพลงฮิตที่เรียงให้เห็นพัฒนาการในการทำงานของเขาอย่างเต็มที่ ใครชอบงานป็อปร็อกหวานหนักแน่นไม่ควรพลาด
.....
The Essential / Michael Bolton
บทเพลงอันแสนหวานโรแมนติกของหนุ่มสำอางผมยาวคนนี้ ครองใจคนฟังเพลงมาตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 70 เสน่ห์ในงานเพลงสำหรับผู้ใหญ่ฟัง (Adult Contemporary) โดยเฉพาะในในแบบซอฟท์ร็อกบัลลาด สำเนียงการร้องเพลงของเขามีกลิ่นอายของคนดำอยู่ในอัตราที่เหมาะสม ซีดีคู่บรรจุ 32 เพลง ฟังกันหวานจนมดขึ้นหู ทำให้รู้ว่า 30 ปีผ่านไป ทำไมจึงครองใจคนฟังเพลงอย่างไม่เสื่อมคลาย
.....
Gold / Kiss
วงแกลมร็อกที่เคยโด่งดังคับโลก ด้วยลีลาการแต่งหน้าและแต่งกายแบบแฟนซีดุจดูคณะละครสัตว์แสดงดนตรีฮาร์ดร็อก กับเฮฟวี่ร็อกที่ดุเดือดจัดจ้าน กลายเป็นแฟชั่นและขวัญใจคนฟังเพลงในยุคทศวรรษที่ 70 อัลบั้มชุดนี้เป็นการรวม 40 เพลง ในยุคทองที่รุ่งเรืองที่สุดของพวกเขา ถือว่าบทเพลงและการแต่งตัวของพวกเขาอารมณ์แบบเดียวกับบรรดาซูเปอร์สตาร์มวยปล้ำในยุคนี้เลยทีเดียว