(Spoiler: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง)
เมื่อมีคนถามผมว่า Brokeback Mountain เป็นอย่างไร ผมจะตอบไปว่า มันเป็นหนังที่เศร้ามาก ถ้าหากได้อ่านเรื่องสั้นของแอนนี พรูลซ์มาก่อนด้วยแล้ว หลังจากดูจบ อาจเกิดอาการซึมเศร้าไปหลายวัน
บางทีนั่นอาจเป็นความรู้สึกของผมคนเดียว บ่อยครั้งการดูหนังแล้วได้หันมาย้อนดูความผิดพลาดของตนเอง อารมณ์ติดค้างจึงแนบแน่นยากเกินจะถอดถอน อย่างไรก็ตาม ตัดความรู้สึกส่วนตัวออกไปให้หมด มันยังคงเป็นหนังที่โดดเด่นมากเรื่องหนึ่งของปีนี้
งานชิ้นใหม่ของผู้กำกับ อังลี เรื่องนี้ ไม่ได้พูดประเด็น “ความเป็นเกย์” โดยตรง แม้ตัวละครหลักสองตัวในเรื่องจะเป็นเกย์ รวมๆ แล้วมันพูดถึงคนสองคนที่มีนิสัย –อีกทั้งทัศนคติบางอย่าง- ไม่ค่อยจะลงรอยกัน และทำให้ความสัมพันธ์ไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง - - บังเอิญที่เขาทั้งคู่เป็นผู้ชาย และโชคร้ายที่พวกเขาอยู่ในโลกที่ความรักแบบนี้ – ไม่เป็นที่ยอมรับ
อุปสรรคเรื่องกรอบเกณฑ์ของสังคมที่ขัดแย้งกับความปรารถนาในส่วนลึก ใส่เข้ามาเพื่อทำหน้าที่ “กำแพง” ที่ขวางกั้นตัวละครอย่างแน่นหนา เพราะ Brokeback Mountain เป็นหนังที่ว่าด้วยมนุษย์ที่ติดอยู่ในกรอบความเชื่อที่สังคมสร้างขึ้น และถือมั่นอย่างเป็นตุเป็นตะ จนทนทรมานแทบปางตาย
อังลีเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยบรรยากาศอ้อยสร้อยราบเรียบ ไม่เร่งเร้าหรือฟูมฟาย ปล่อยให้คนดูได้เฝ้าสังเกตตัวละครอย่างเต็มที่ หนังไม่มีฉากเรียกน้ำตาจริงๆ จังๆ แต่ทุกครั้งที่ได้มองเข้าไปในดวงตาของใครก็ตามในเรื่อง ก็อดจะรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ ไม่ได้
เรื่องเริ่มต้นในฤดูร้อนของปี 1963 เอนนิส เดลมาร์ (ฮีธ เลดเจอร์) และแจ๊ก ทวิสต์ (เจค จิลเลนฮอล) เข้ามารับงานพิเศษค่าจ้างถูกๆ ของโจ แอกีร์ (แรนดี เควด) เจ้าของฟาร์มหน้าเลือด ที่ต้องการให้เด็กหนุ่มทั้งสองพาฝูงแกะของเขา เข้าไปเลี้ยงในเขตทุ่งหญ้าสงวนบนภูเขาโบร๊กแบ๊ก
มันไม่ใช่งานสบายๆ หลังจากต้อนแกะขึ้นเขาได้แล้ว คนหนึ่งต้องพาแกะขึ้นไปบนเนิน กลางคืนต้องนอนเฝ้าเพื่อกันหมาป่าหิวโหยออกมาล่าเหยื่อ ส่วนอีกคนรออยู่ที่ตีนเขา คอยตระเตรียมเสบียง และเป็นหูเป็นตาสอดส่องว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะโผล่มาเมื่อไหร่
ทีแรกทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรกันนัก เอนนิสเป็นคนเงียบ ส่วนแจ๊กนั้น การขึ้นลงเขาในแต่ละวันอาจทำให้เขาไม่มีแรงจะพล่ามอะไรนอกจากบ่นกระปอดกระแปดถึงงานหนัก กระทั่งวันหนึ่งแจ๊คคุยโม้เรื่องการแข่งโรดิโอของตัวเอง เอนนิสเลยขยับปากพูดบ้าง
ชีวิตของเอนนิสไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอย่างของคู่สนทนาเลย เขาโตมากับพี่ๆ ที่ฟาร์มจนๆ แห่งหนึ่งหลังจากพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เขาต้องเลิกเรียนหนังสือกลางคัน เพื่อมาทำงานในฟาร์ม พอพี่ๆ แต่งงานออกเรือนกันไป เหลือเขาตัวคนเดียวที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เอนนิสบอกว่า เขาไม่เคยหัดแข่งขี่วัวพยศ พ่อเคยสอนแค่บ่วงบาศเท่านั้นเอง แถมยังบอกด้วยว่า เขาเห็นโรดิโอเป็นเรื่องงี่เง่า
เพียงเท่านี้คนดูก็เห็นข้อแตกต่างของทั้งคู่ในระดับหนึ่งแล้ว ในขณะที่แจ๊กฝันเฟื่องถึงการผจญภัยเหมือนเด็กๆ เอนนิสกลับไปไม่มีด้านนั้น เขาข่มขื่นกับชีวิตเกินกว่าจะคาดหวังอะไร ชีวิตของเขามีแค่วันนี้ ส่วนพรุ่งนี้หรือไกลกว่านั้น - ไม่กล้าคิด
นั่นเป็นเหตุให้หลังจากที่เผลอตัวและเผลอใจมีความสัมพันธ์แบบต้องห้ามกันอย่างปุบปับบนภูเขาโบร๊กแบ๊ก เอนนิสจึงเป็นฝ่ายที่ต่อต้านกับเรื่องนี้มากกว่าแจ๊ก
หนังเปิดเผยข้อมูลสำคัญบางอย่างในช่วงกลางๆ เรื่องว่า เอนนิสรู้สึกผิดบาปกับความรักของเขาที่มีต่อแจ๊กเพราะมีภาพฝังใจในวัยเด็ก พ่อเขาเคยเล่าเรื่องของเอิร์ลกับริช คาวบอยสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน และไม่มีใครชอบใจที่เป็นอย่างนั้น วันหนึ่งมีคนพบศพเอิร์ลตายอย่างน่าสมเพชในท้องร่องระหว่างหุบเขา “ใบหน้าถูกเหล็กตีเสียเละ ไอ้จู๋เหวอะเพราะพวกนั้นใช้เชือกมัดและดึง ฉันเห็นศพเอิร์ลกับตา ตอนนั้นฉัน 9 ขวบ” เอนนิสเล่า
ซัมเมอร์ผ่านไปอย่างไม่สวยนัก แจ๊กถามเอนนิสว่า ปีหน้าจะมาอีกหรือไม่ อีกฝ่ายรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่หรอก อย่างที่บอกว่าฉันกับอัลมาร์จะแต่งงานกันเดือนธันวานี้แล้ว กะว่าจะเก็บเงินซื้อไร่สักผืน ลงหลักปักฐาน”
แจ๊กขับรถจากไปอย่างโหยหา อังลีให้เขามองเอนนิสผ่านกระจกรถบานจิ๋ว กรอบวงกลมของกระจกล้อมรอบตัวเด็กหนุ่มอยู่ ในใจของเอนนิสก็เป็นแบบนั้น เขาติดอยู่ในเกราะหรือกำแพงตลอดเวลา และกลัวที่จะปีนป่ายออกมา
ระหว่างเดินกลับอยู่บนถนนและรอให้แจ๊กขับรถไปไกลพอแล้ว เอนนิสหลบตัวเองตรงตรอกแคบๆ อังลีจัดองค์ประกอบภาพให้ดูอึดอัดทับทึมอีกครั้งหนึ่ง คนดูมองเห็นเอนนิสร้องไห้เงียบๆ อยู่คนเดียวในมุมมืด และไม่ต้องการให้ใครมารับรู้ด้วย
ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป เอนนิส เดลมาร์ ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ชีวิตคู่ของเขาไปได้ไม่สวยนัก เพราะไม่ได้มีงานการที่มั่นคงทำ ครั้งหนึ่งอัลมาร์ (มิเชล วิลเลียมส์) ผู้เป็นเมีย เคยบอกกับเขาว่าโรงไฟฟ้ากำลังรับสมัครพนักงาน น่าจะลองไปดู “ไม่เหมาะกับผมหรอก ซุ่มซ่ามอย่างนี้ มีหวังไฟช็อตผมตาย” เขาว่า
เอนนิสเชื่อว่าเขาเหมาะกับการรับจ้างทำฟาร์ม หนังตั้งข้อสังเกตให้คนดูว่า มันคงไม่ใช่ความเชื่อทั้งหมด แต่เขากลัวที่จะไปทำอย่างอื่น มันปลอดภัยกว่ากันเยอะถ้าจะอยู่ในที่เดิมๆ และไม่ต้องไปเริ่มต้นกับอะไรใหม่
ความคิดแบบนี้ทำร้ายคนรอบข้างทุกคนอย่างที่เอนนิสเองก็ไม่รู้ตัว ตอนที่เจ็บปวดอย่างเหลือเกินคือคราวที่เอนนิสตัดสินใจไม่มีเซ็กซ์กับอัลมาร์ เพราะฝ่ายหลังบอกว่าเธอไม่อยากมีลูกอีกแล้ว เพราะรับภาระไม่ไหว อังลีตัดฉากต่อมา ด้วยการหย่าร้างของทั้งคู่ เอนนิสไม่ประนีประนอม และอัลมาร์ก็ไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว
อีกคนหนึ่งที่เจ็บปวดไม่แพ้กันกับนิสัยเห็นแก่ตัวเองของเอนนิส คือ แคสซีย์ (ลินดา คาร์เดลลินี) สาวเสิร์ฟที่มาติดพันเขาอยู่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่เอนนิสจะหนีไป ปล่อยให้เธอรออยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ “บางทีผมไม่ได้เป็นคนเฮฮาอย่างที่คุณเข้าใจหรอกนะ” เขาว่า / “ผู้หญิงก็ไม่ได้หลงรักใครสักคนเพราะเขาเฮฮาเหมือนกัน” แคสซีย์ตอบอย่างรวดร้าว
แน่นอนว่าคนที่รับความระทมอย่างเต็มที่กับการกระทำของเอนนิสหนีไม่พ้นแจ๊ก ลำพังการมีรักแบบหลบๆ ซ่อนๆ ก็สาหัสพออยู่แล้ว แต่การดิ้นรนเพียงลำพังของแจ๊กโดยที่อีกฝ่ายไม่พยายามจะทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย ก็คล้ายๆ กับการถูกหักหลัง
ฉากที่สะเทือนใจมากเป็นตอนที่แจ๊กขับรถไปไกลถึงเม็กซิโก และซื้อบริการจากเด็กข้างถนน เพราะน้อยอกน้อยใจคนรักที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาหาแล้วถูกปฏิเสธ แจ๊กยิ่งหัวใจสลายเมื่อเขาเผลอสารภาพเรื่องนี้ในภายหลังแล้วเอนนิสโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โดยไม่พยายามทำความเข้าใจ
ชีวิตของเอนนิส เดลมาร์ จบลงไม่ต่างจากบทละครโศกนาฏกรรม เขาได้รับบทเรียนจากนิสัยของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตัวหนังไม่บีบเค้นและพยายามลากเส้นให้เรื่องมาจบอย่างจงใจ แต่คนดูจะเห็นพ้องเองอัตโนมัติว่า เอนนิสได้รับผลกรรมอย่างสมควรแก่เหตุแล้ว
การตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตนเองควรจะทำ เกือบๆ จะเป็นเรื่องที่สายเกินไป อังลีสรุปประเด็นตอนจบไม่ต่างจากในเรื่องสั้นนัก ในที่สุดคนดูก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเอนนิส เขาพูดเปรยๆ ถึงคำสัญญาของแจ๊ก และยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำให้ได้ - - หลังจากที่มองเห็นแต่ตัวเองมาตลอดชีวิต เพราะความหวาดกลัว ถึงเวลาแล้วที่เอนนิสจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง