xs
xsm
sm
md
lg

ไม่มุ่งโกยเงิน “ยุวดี” โอ่ ! ตั้ง “เอเชีย เทเลฯ” เพื่อสังคม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยุวดี บุญครอง” และ “โฆษิต สุวินิจจิต” เดินออกจากบ้านตัวเอง “มีเดีย ออฟ มีเดียส์” แบบไร้คำอธิบายที่ชัดเจน ปล่อยให้ผู้ที่เข้ามาบริหารแทนอย่าง “ชาลอต โทณวณิก” แย่งชี้แจงแบบหมดเปลือกว่าทีมบริหารชุดเดิมทำรายการเจ๊งไม่เป็นท่า มีเดียชุดใหม่เลยต้องรื้อโครงสร้างกันใหม่หมด

ล่าสุดถึงคราว ”ยุวดี” เปิดปากบ้างโดยพูดถึงการตั้งบริษัทใหม่ “เอเชีย เทเลวิชั่น แอนด์ มีเดีย จำกัด” ว่าเป็นเพราะอยากทำอะไรเพื่อสังคมมากกว่ามุ่งคิดแต่เรื่องเม็ดเงินเหมือนบริษัทที่เข้าตลาดหุ้นทั้งหลาย ส่วนทางด้าน “โฆษิต” แยกไปดูแลบริษัทในเครือ ” B plus Publishing Co.,Ltd.” แทน

“ตอนนี้พี่ยังมีหุ้นกับมีเดีย คือถ้าปีนี้เขากำไรดี บริหารดีๆ พี่ก็ได้ปันผลไง ถ้าเขามีธุรกิจดีๆ อาจจะมีขายละครได้เพิ่มมากขึ้นก็กำไรดี ก็อยู่เฉยๆ พี่ก็อยู่ได้ แหม! พี่ก็มีลูกคนเดียว กินก็น้อย วันหนึ่งไม่ได้กินเลยมัวแต่ทำงาน”

"เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ในการออกมาทำธุรกิจสำหรับพี่นะคะแต่พี่มองว่าถ้าเราทำสื่อแล้วสื่อนั้นมีโอกาสช่วยสังคมนั่นคือสิ่งที่พวกเราอยากทำ อย่างปีที่แล้วสถานีช่อง 5 ตัดเวลาพี่ไปเสียดายมากเลยเพราะเรามีสิ่งที่เราอยากทำอีกตั้งเยอะ อย่าง 60 ล้านความดีเพื่อพ่อเนี่ยเราจะทำไปรษณียบัตร 60 ล้านใบเลย ใบละ 5 บาทเขียนมาคุณอยากทำอะไรเพื่อพระเจ้าอยู่หัวบ้าง แล้วรายได้ทั้งหมดทางมีเดียจะทูลเกล้าถวาย ใจอยากได้สัก 250 ล้านจากราษฎรทั้งประเทศมอบให้ท่านเลยวันที่ 5 ธันวาน่ะ นี่คือสิ่งที่พี่อยากทำแต่ถ้าพี่ไม่มีสื่อพี่ทำไม่ได้”

“ถ้ามีสื่อพี่ก็ลุกขึ้นมาทำเลย เราอยากให้สื่อเป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวมน่ะ พี่เชื่อว่าคนก็อยากจะทำความดีกันน่ะเหมือนตอนที่พี่เปิดมูลนิธิน้ำใจไทย ถามว่าพี่ทำได้ไงให้คนบริจาคเป็นร้อยๆ ล้านน่ะ เพราะเขาอยากทำบุญแต่เขาไม่รู้จะทำบุญกับใคร”

“อย่างลูกน้องเก่าที่ลาออกมาอยู่กับพี่เนี่ยถ้าพี่ไม่ทำบริษัทแล้วมันจะไปอยู่ไหนล่ะ มันบอกบริษัทอื่นทำแต่บันเทิงก็มีบริษัทพี่บริษัทเดียวที่ทำเพื่อสังคม เด็กๆ พวกนี้ถูกหลอมเป็นแบบนี้หมดแล้วน่ะ เราทำเพื่อสังคมซะส่วนใหญ่ พี่ว่ามันทำให้น้องๆ นักครีเอทีฟได้มีโอกาสสร้างงานในแบบที่เขาอยากทำนะ”

ความแตกต่างระหว่างของเก่ากับของใหม่?
“ถามว่านโยบายใหม่ของพี่จะแตกต่างจากที่เคยบริหารที่มีเดียยังไงเหรอ ก็เวลาเป็นบริษัทตลาดหลักทรัพย์เนี่ยมุ่งกำไรเป็นหลักอยู่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ถ้าไม่คิดถึงกำไรเนี่ยมันยาก แต่ว่าการอยู่นอกตลาดคุณทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ เงินคุณเองไงมันอิสระในแง่ไม่ต้องมาดูแลในเรื่องอื่นๆ เราจะให้โบนัสลูกน้องเรา 10เดือนก็เป็นเรื่องของเรา อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มันต้องมีเหตุผลน่ะนะ อยู่อย่างนี้ก็อิสระดี”

“ส่วนคุณโฆษิตจะดูเรื่องหนังสือในบี พลัส ของเราจะขยายเพิ่มมากขึ้น เราจะเอาหัวหนังสือนอกมาแปลพ็อกเก็ตบุ๊คนะคะเพราะพี่มองว่าตลาดนี้ยังโตได้เยอะในเมืองไทยค่ะ”

เจ็บหนักจากการเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นมาแล้ว งวดนี้ยุวดีบอกขอทำบริษัทเล็กๆ ให้ดีๆ ไปเรื่อยๆ ก่อน
“ณ วันนี้นะคะที่พี่ไม่คิดเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น ข้างหน้าไม่รู้ถ้าพี่พูดไปแล้วเสียล่ะ แต่ถามว่าพี่อยากเข้าตลาดหลักทรัพย์มั้ยพี่ไม่อยากเข้าเพราะว่ามันมีต้นทุนเยอะ ค่าใช้จ่ายสูงตั้งแต่ผู้ตรวจสอบบัญชี มันเยอะมากเลย ทำให้ต้นทุนแพงโดยใช่เหตุ”

“พี่ไม่อยากมีพนักงาน 700 - 800 คนเหมือนเดิมแล้ว เพราะพนักงานเยอะเนี่ยการใกล้ชิดมันน้อย ในการดูแลงานครีเอทีฟ อย่างนี้เราพาน้องๆ ไปดูงานต่างประเทศได้เราฝึกให้ได้แต่พอเยอะนี่ไม่ไหว แล้วข้อมูลที่ออกจากเรากว่าไปถึงลูกน้องฝ่ายผลิตเนี่ยมันไม่เหมือนว่าออกจากเราไปโดยตรงนะ”

“อย่าลืมว่าการที่เราเป็นบริษัทแบบนี้จะเซฟกว่าเยอะมาก ตอนที่เป็นมีเดียเนี่ยแล้วก็กับรายการที่มีอยู่วันนี้ ต้องมีพนักงานตั้ง 300 กว่าชีวิต แต่เนี่ยพี่ทำรายการมากกว่าเดิมด้วยแต่ใช้คน 120 คนเองกับ 8 รายการน่ะ”

“ผู้จัดคนอื่นเขาไม่เหมือนพี่ไง พี่ไปเจอลูกค้าทุกวัน เราก็รู้อ๋อลูกค้าต้องการแบบนี้ก็เรียกประชุมฝ่ายผลิต รองจากพี่ก็เป็นโปรดิวเซอร์เลย มันก็เลยเป็นทางเดียวกัน สมัยก่อนพี่ไม่ได้ลงมาทำเองพี่ก็ปล่อยฝ่ายขายไปกันเอง แต่ธุรกิจตอนนี้มันไมได้แล้ว ต้องแก้ปัญหาเร็ว ต้องยอมเหนื่อย พี่มีบทเรียนกับตลาดหลักทรัพย์เนี่ยแหละ ต้องรอนั่นรอนี่ ตัดสินปัญหาทันทีไม่ได้”

ออกปากละครไทยไม่ทำแต่รุกรายการทีวีเหมือนเดิม แถมมั่นใจว่าเรตติ้งต้องดีเพราะจุดแข็งบริษัทอยู่ที่มีประสบการณ์การทำงานมากว่า 20 ปี
“ละครเดี่ยวๆ พี่ไม่ทำค่ะ ถ้าทำต้องสามารถขายในเอเชียด้วยกันได้ ถ้าทำจะร่วมกับเอเชีย เกาหลี ญี่ปุ่น ไทยอย่างนี้ได้ถ้ามาทำโทรทัศน์บ้านเราไม่คุ้ม อย่างช่อง 5 ถ้าไปแชร์ตรงนี้มันยากมาก ดูอย่างช่อง 9 ละครดีมากเลยนะ ลงทุนมโหฬารแต่ก็แย่งไม่ได้ ภาพจำของคนดูมันไม่เปลี่ยน”

“ละครเวลามันตรงกันน่ะ ถ้าคุณลงเวลาไม่ตรงกันเนี่ยอาจมีคนดูแต่คนดูไม่สามารถเปิดทีวีพร้อมกัน 3 ช่องเพราะฉะนั้นการทำทีวีเนี่ยมันก็จะมีรายการที่ไม่ตรงกัน ก็วางรายการเราแตกต่างไปก็สามารถแชร์ได้ อย่างพี่ทำไมวาง 6 โมงเย็นเป็นรายการบ้านเลขที่ 5 เพราะบางคนอยากดูรายการสดแล้วเป็นวาไรตี้ ไม่ได้อยากดูข่าว ละคร ซึ่งนั่นไม่ใช่ทาร์เก็ตเรา เราแยกชัดเจน”

“เหตุผลที่พี่ยื่นขอเอารายการเดิมกลับมาอย่างบ้านเลขที่ 5 @ ไทยแลนด์,เวทีไททางช่อง 5 เพราะเรามีแฟนประจำอยู่แล้ว เรตติ้งมันขึ้นทันที สปอนเซอร์เต็ม ทำให้รายการเราติดง่ายขึ้น เรตติ้งได้ง่ายขึ้น จริงๆ มันเรตติ้งดีอยู่แล้วคือทางสถานีไม่ต้องมีการตั้งเงื่อนไขหรอกว่า 3 เดือนต้องได้เรตเท่าไหร่ ตัวเองต้องวัดกับตัวเองเพราะคุณจะขายโฆษณาไม่ได้ ถ้าเรตติ้งไม่ดีคุณก็เจ๊งค่ะ”

“ปีแรกพี่ตั้งเป้าไว้ที่ฝ่ายทีวี 700 ล้านค่ะซึ่งถามว่าจุดแข็งของเราคืออะไร ก็ที่เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์การทำงานในวงการนี้มา 20 ปีน่ะค่ะ"
ยุวดี-โฆษิต
กำลังโหลดความคิดเห็น