xs
xsm
sm
md
lg

"สุพรรณหงส์" กับมาตรฐานแบบไทย?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แทนที่จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือชื่อเสียงด้านดีให้กับชาวบ้านเบียง ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จากการโดนคลื่นยักษ์สึนามิเข้าเล่นงานตั้งแต่เมื่อปลายปี 2547 กลับกลายเป็นว่าการยกเอาเวทีการประกาศผลสำหรับคนทำหนัง "รางวัลสุพรรณหงส์ครั้งที่ 15" ไปจัดที่นั่นกลับเต็มไปด้วยเรื่องที่ชวนให้วิพากษ์วิจารณ์อยู่หลายเรื่องหลายราวกระทั่งส่งให้เกิดผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม

นอกเหนือไปจากการแต่งตัวที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมกับสถานที่ที่ซึ่งหลายพันชีวิตต้องมาจากไปในสายตาของชาวบ้านในท้องถิ่นของเหล่าดาราหญิงที่สวนใหญ่อยู่ในชุดหวือหวาตั้งใจโชว์เนินอกอะร้าอะหร่ามกระทั่งบางคนถึงกับเกิดการผิดพลาดชุดหลุดโชว์หน้าอกหน้าใจอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องของการตัดสินบนเวทีที่ออกมาก็ค่อนข้างจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่พอสมควร

เฉพาะอย่างยิ่งการก้าวขึ้นรับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมของนักแสดงวัย 9 ขวบ "เกรซ นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ" ซึ่งนอกจากจะโดนเพ่งเล็งอย่างช่วยไม่ได้ด้วยเหตุผลที่เป็นลูกสาวของผู้บริหารค่ายสหมงคลฟิล์มฯ "เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ" ที่อีกขาหนึ่งยืนอยู่ในฐานะของนายกสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งประเทศไทยและเป็นคนจัดงานนี้ขึ้นมาแล้ว หากจะว่ากันถึง "คุณภาพ" ทางด้านการแสดงและฝีไม้ลายมือของเธอเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ต้องบอกว่าไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นไปจากสาว "นุ่น วรนุช" ใน "เฉิ่ม", ดารามากความสามารถ "อ้อม พิยดา" จาก "คนระลึกชาติ", "เจเน็ต เขียว" จาก "แหยม ยโสธร" หรือแม้กระทั่งสาว "นุ่น ศิรพันธุ์" จากเรื่อง "เพื่อนสนิท" แม้แต่นิดเดียว

ไม่นับรวมถึงกรณีการถอนตัวของนักแสดงสาว "มะหมี่ นภคประภา นาคประสิทธิ์" จากภาพยนตร์เรื่อง "ลองของ" ด้วยความไม่พอใจ หลังบริษัทไฟว์สตาร์ส่งชื่อเข้าประกวดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมหากแต่เจ้าตัวกลับไปมีชื่อในรางวัลนักแสดงสมทบหญิงแทน

ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ที่โดนจับตามากที่สุดคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากการทำงานของบรรดาคณะกรรมการตัดสินทั้งหลาย อย่างไรก็ตามเมื่อสอบถามไปยัง "ผศ.ดร.กฤษดา เกิดดี" หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินรางวัลสุพรรณหงส์ครั้งที่ 15 ได้แสดงความคิดเห็นว่า ส่วนตัวแล้วตนเชื่อว่าทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นไปอย่างเหมาะสมแล้วก็น่าจะยุติธรรมที่สุดแล้ว

"ไปมองว่ามันไม่โปร่งใสก็คงไม่ใช่ เพราะเราก็ทำงานกันไปตามหน้าที่โดยในกระบวนการทำงานแล้วไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลย กระบวนการตัดสินก็ทำไปโดยขั้นตอน ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าใครจะยังไง”

“ผมก็ประชุมกันเสร็จไม่ได้ทราบข้อมูลล่วงหน้ารู้ผลวันนั้นเหมือนกัน แต่เรื่องของมะหมี่น่ะเราคุยกันและสรุปกันมาตามนั้น คือที่มะหมี่ไม่ได้เนี่ยเพราะน้ำหนักของบทไม่ใช่ตัวดำเนินเรื่อง ในส่วนของการดำเนินเรื่องเป็นส่วนของนางเอก บทนำก็พอได้แต่จะเป็นบทนำที่ไม่ค่อยนำ นำแบบน้อยๆ แต่ก็ยอมรับว่าเค้าเล่นได้ดีแต่กรรมการก็ได้พิจารณาแล้ว”

“ปัญหามันอยู่ที่ว่า มันอยู่ที่ว่ามีโอกาสจะคัดค้านกับสายตาคน เหมือนกับการตัดสินหลายๆ รางวัลที่มันไม่ตรงกับมหาชน ก็เป็นไปได้ที่การตัดสินไม่ตรงกับแมส เป็นธรรมชาติของการตัดสินคณะกรรมการผมว่าปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือสาธารณะชนไม่เข้าใจในวิธีการตัดสินของคณะกรรมการ”
เอ๋อเหรอ
โต้ข่าวลือไม่เป็นความจริง กรณีเปลี่ยนกติกาเอื้อน้องเกรซ ยันปัญหาที่คนมองไม่โปร่งใสเพราะทางสมาพันธ์ฯ ยังขาดการชี้แจงบอกหลักเกณฑ์แก่สาธารณะจึงเป็นเหตุให้เกิดข้อครหาบ่อยครั้ง
“ไม่มีในระเบียบนะครับว่าเด็กจะเข้ารับรางวัลไม่ได้ แล้วแต่คณะกรรมการว่าจะตัดสินใครแนวไหน ดูที่ความเหมาะสมมากกว่า กฎเกณฑ์เราใช้กันมาตลอดไม่ได้เพิ่มเติมหรือลดอะไร แต่มันมีข้อแม้อยู่ว่าบางคนก็งงว่าทำไมหนังอย่างเด็กโต๋ทำไมไม่ได้ ก็ขอเรียนชี้แจงว่ามันต้องเข้ากฎเกณฑ์ของสมาพันธ์ ปีนี้เราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย อย่างกรรมการเนี่ยถ้าเปลี่ยนหรือปรับมันก็ต้องปรับกันยกชุด”

นอกจากการขึ้นรับรางวัลของลูกสาวตัวเองแล้วอีกหนึ่งข้อครหาที่เสี่ยเจียงโดนเข้าไปเต็มๆ ก็คือกรณีของภาพยนตร์เรื่อง "ซุ้มมือปืน" หนังในสังกัดของสหมงคลฟิล์มฯ ฝีมือการกำกับของ "สนานจิตต์ บางสพาน" ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างมากในช่วงที่หนังออกฉาย ทว่ากลับมีชื่อเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ครั้งที่ 15 นี้ถึง 12 สาขาจากทั้งหมด 16 สาขา(ได้ 2 รางวัล ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม,กำกับภาพยอดเยี่ยม) เล่นเอาหลายต่อหลายคนต้องถามหามาตรฐานและกฏเกณฑ์การตัดสินของคณะกรรมการเป็นการใหญ่

"อย่างเวลาพิจารณาเราจะไม่มามองกันว่าหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้เข้าชิงกี่รางวัลแล้ว ควรจะแบ่งให้เรื่องอื่นไม่เลยนะ ไม่ได้คิดกันแบบนั้น เรื่องไหนคุณสมบัติได้เราก็พิจารณากันไปตามนั้น"...ผศ.ดร.กฤษดา อธิบายต่อ

"อย่างซุ้มมือปืนเค้าก็มีหลายอย่างที่มันโอเค ก็เข้าชิงมากตามคุณสมบัติ แต่ก็ใช่ที่หนังแต่ละเรื่องจะเพอร์เฟ็กต์มันต้องมีที่ไม่ดีบ้าง อย่างเรื่องที่ได้เหมืองแร่ก็มีส่วนที่ไม่ดีอยู่บ้าง แต่เมื่อเราพิจารณาร่วมกันแล้วมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ได้มองว่าหนังของใครหรือพิจารณาจากอย่างอื่นนอกเหนือจากระบวนการที่เราเคยทำมา”

ด้าน "สนานจิตต์" ในฐานะของผู้กำกับฯ แสดงความคิดเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดมันตามสไตล์ว่า...
"ผมได้มา 2 รางวัลเค้าให้ผมเท่านั้นผมก็โอเค ไม่เป็นไร ผมเมา 3 วันเลย...(หัวเราะ) มันต้องถามว่าเราเชื่อใจในตัวกรรมการไหม ถ้าเราเชื่อใจกรรมการเราก็ต้องเชื่อว่ามันโปร่งใส และบอกไว้ก่อนว่ากรรมการทุกคนที่เข้ามาพิจารณารางวัลเค้าได้รับการเชิญมาทั้งนั้น ไม่มีใครเข้าเสนอตัวเองเข้ามา เค้าให้เกียรติหนังผม ผมก็โอเคได้มา 2 รางวัลก็ถือว่าโอเคแล้ว”

ว่ากันว่าได้มาเพราะความเกรงใจ?
“ใครเค้าจะมาเกรงใจผม บ้ารึเปล่า เพราะผมน่ะบริสุทธิ์ สะอาดมาก ปีนี้หนังผมมีโอกาสเข้าชิงรางวัล ผมก็ขอถอนตัวออกจากทุกตำแหน่งที่ผมต้องเป็นกรรมการ ถ้าใครลองมาว่าผมซิ สื่อไหนลองเขียนพาดพิงผมซิ ผมเอาตายเลย เพราะผมลาออกจากตำแหน่งที่จะเกี่ยวข้องหมดแล้ว ผมถือว่ามันเป็นมารยาท อย่างปีก่อนพี่ดุล(อดุลย์ ดุลยรัตน์) เค้ามีชื่อเค้าลุ้นใช่ไหม เค้าก็ยังขอออกจากตำแหน่งกรรมการ เพราะเค้าถือว่าเออ เค้ามีลุ้น ไม่อยากให้เกิดข้อครหา ผมก็คิดแบบนั้น”

“ถ้าข้องใจอะไรในการตัดสินต้องไปถามที่กรรมการคนหัวหงอกทั้ง 16 คนนั้นจะตอบได้ ผมเป็นกรรมการมาตั้งแต่ปี 2524 แล้ว ผมน่ะรู้ว่าต้องทำยังไง หนังผมได้เข้าชิงเพื่อมารยาทผมลาออกตำแหน่งปีนี้หมดเลยที่จะเกี่ยวข้อง เดี๋ยวหนังของชมรมวิจารณ์หนังผมก็ได้เข้าชิง ผมก็ต้องสละตำแหน่งกรรมการตรงนั้น”

ชี้แจงให้เคารพและให้เกียรติการตัดสินของกรรมการ พร้อมวอนกรณีของ "น้องเกรซ" อย่าดึงเอาเด็กมาเป็นเครื่องมือ
“ต้องบอกอย่างนี้คือหนังเนี่ยผู้ส่งเข้าประกวดไม่ว่าจะเป็นหนังอะไรก็ตาม คนสาธารณะเนี่ยต้องดูภูมิหลังของกรรมการว่าเค้าเป็นคนยังไง มีความรู้พอไหม ถ้าคนไม่เชื่อในตัวกรรมการ เค้าก็ไม่เชื่อว่ามันโปร่งใส ใช่ไหม แต่ถ้าคนเค้าเชื่อในตัวกรรมการ มันก็โปร่งใสอยู่แล้ว”

“ข้อครหา ข้อร่ำลือเนี่ยมันเกิดขึ้นอยู่แล้ว บางสื่อโทรมาเพื่อจะให้ผมพูดเรื่องลูกสาวเสี่ยเจียงทำไมถึงได้รางวัล สื่อพยายามเอาเด็กมาเกี่ยวข้อง ซึ่งในฐานะที่ผมก็มีลูกสาวผมว่ามันไม่แฟร์นะ ถ้าจะด่าก็ต้องไปด่าไอ้พวกหัวหงอก 16 คนกรรมการนั่นที่เค้าพิจารณาออกมา สรุปออกมาว่าน้องเค้าต้องได้ เด็กมันโตแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์ได้แล้วอย่าเอาเด็กมาเป็นเหยื่อ”

“ผมว่ามันไม่แฟร์กับเด็ก ประเด็นเรื่องล็อกรางวัลมันมากไป มันเกินไปคนโตไม่เป็นไรแต่เด็กซิ ปีที่แล้วก็มีข่าวว่าผลมีใบสั่ง ผมก็เขียนด่าลงในหนังสือว่าใครจะมาสั่ง ก็ไม่เห็นมีใครมาโต้ผม คือผมกำลังจะบอกว่าอย่าไปโยงเรื่องด้วยการเอาเด็กมาเกี่ยวเลย ถ้าเด็กคนนี้นามสกุลบางสพานก็ว่าไปใช่ไหม ดันมานามสกุลเดียวกับเสี่ย ดันมาเป็นลูกสาวเสี่ยเจียงมันเลยกลายเป็นเรื่องใช่ไหม เราต้องไปคุ้ยกับกรรมการถึงจะถูก”

“ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่าเอาเด็กมาเป็นเหยื่อเลย ในมุมผมนะตอนที่ผมประกาศถอนตัวเพราะหนังผมเข้าชิง แต่ถ้าผมเป็นเสี่ยเจียง ถ้าผมรู้ว่าลูกผมได้เข้าชิงผมจะลาออกจากตำแหน่งนายกสมาพันธ์ แต่นี่คือวิธีการคิดของผม ถามว่าเสี่ยเจียงไม่คิดเหมือนผมผิดไหม ก็ไม่ผิด เพราะเค้าก็ไม่ได้มีอำนาจไปตัดสินลูกเค้าเลย เค้าก็ไม่ได้ผิด เพียงแต่ว่าผมก็มีวิธีการคิดของผมซึ่งมันคนละอย่างกัน”

“มาถามผมว่ามันโปร่งใสไหม คงต้องบอกว่าจะวิจารณ์อะไรก็วิจารณ์ไปแต่อย่าเอาเด็กไปเป็นเครื่องมือ แต่ถ้ามาถามผมว่ามันยุติธรรมไหมมันอยู่ที่กรรมการว่าเค้ายังไง ไม่ใช่เด็ก สังคมต้องดูเอาว่าใครผิดใครถูกเค้าก็ออกมาให้เหตุผลกันไปแล้วว่ายังไง ก็ตัดสินกันเอาละกัน ดูเอาที่ตัวกรรมการน่ะ ถ้าไม่ดี ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือก็เขียนด่าไปเลย แค่นั้นเอง”
กำลังโหลดความคิดเห็น