บินเดี่ยวมาโปรโมตหนังถึงที่กรุงเทพฯ สำหรับพระเอกมาดเข้มสุดฮอตจากฝั่งเกาหลีนาม "แจงดองกัน" งานนี้เจ้าตัวเผย ได้เข้ากองถ่ายนานาชาติ "คนม้าบิน" ของผู้กำกับแผ่นดินใหญ่ "เฉินข่ายเกอ" แล้วสนุกแบบสุดเหนื่อย หยอก ภาษาจีนพูดยากแต่ภาษาไทยยากกว่าเยอะ พร้อมหยอด นอกจากเมืองจะน่าเที่ยวแล้วคนไทยยังหัวใจอบอุ่นมากๆ อีกด้วย
มาแบบไร้เงาสาวข้างกายในเรื่องอย่าง "จางป๋อจือ" และหนุ่มปลาดิบที่ร่วมเล่นด้วยกันอย่าง "ฮิโรยูกิ ซานาดะ" สำหรับ "แจงดองกัน" พระเอกแดนกิมจิวัย 33 ปีที่แฟนชาวไทยรู้จักกันดีทั้งจากซีรีส์เรื่อง All About Eve หรือ หนัง TaeGukGi หลังจากมาถ่ายหนัง Typhoon ที่เมืองไทยร่วมสองเดือน หนนี้กลับมาโปรโมตหนังใหม่ที่ตัวเองเล่นนำอย่าง The Promise การร่วมทุนระหว่างเกาหลีใต้ จีน และอเมริกา ที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์หนังจีนถึง 340 ล้านหยวนหรือราว 1,400 ล้านบาท ซึ่งเจ้าตัวเปิดเผยถึงที่มาในการร่วมเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ว่า
"แรกเริ่มเลยทางผู้กำกับเฉินข่ายเกอเขาเห็นผมจากเรื่อง Friends ก็เลยไปติดต่อมา ในนั้นผมจะเล่นเป็นพวกอันธพาลนะ จะดูเข้มแข็งมากๆ ตอนแรกที่ติดต่อไปเขาก็คัดบทอื่นไว้ให้ผมเล่นนะแต่พอได้คุยกันแล้วมันเหมือนกับว่าผมเหมาะกับบทอื่นมากกว่า การทำงานกับเขาก็ไม่ถือว่าต่างจากผู้กำกับเกาหลีนะ เพราะขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าอย่างเฉินข่ายเกอเขาจะชอบคุยกับนักแสดงนานๆ แล้วก็จะให้เราคิดว่าควรจะเล่นยังไงถึงจะดีที่สุด ก็จะเป็นลักษณะของแต่ละคนไป
การได้มาร่วมงานกับเขา ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทักษะด้านไหนดีขึ้นหรือพัฒนาตรงไหนบ้างนะ แต่ยังไงเวลาถ่ายหนังก็ได้ประสบการณ์ที่ดีมาเยอะ ถ้าจะได้เล่นหนังคล้ายๆ กับอันนี้อีกก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้ เหมือนกับว่ามันเป็นทักษะที่สะสมไว้ในตัวครับ
ในเรื่องนี้ บทผมจะเล่นเป็นทาส ก็น่าสนใจนะ ผมเองไม่เคยเป็นทาสก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้กันไป คาแร็กเตอร์แต่ละตัวก็จะเป็นตัวแทนความรู้สึกของคนเรานี่ล่ะ อย่างคุนหลุน (บทที่ได้รับ) ก็เป็นตัวแทนของความรัก ความบริสุทธิ์ หนังก็เป็นเรื่องของความรู้สึก ก็อยากให้ทุกคนเห็นว่าแต่ละคนต่างก็มีความรู้สึกอย่างที่แต่ละตัวแสดงเป็นได้เหมือนกัน พอถ่ายหนังเรื่องนี้เสร็จผมก็เข้าใจเลยว่า ความรักเนี่ยไม่ต้องเก็บเอาไว้กับตัวเองก็ได้ ความรักมันไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอด ไม่ต้องเปิดเผยก็ได้ อันนี้มันก็เป็นเรื่องการรักษาสัญญากับตัวเองมากกว่าด้วยล่ะ
ตอนเด็กๆ สัก ม.ต้น ผมก็เคยไปรักครูที่สอนภาษาเกาหลีนะ (หัวเราะ) อย่างจริงจังมาก แต่โตแล้วก็ยังไม่เคยรักใครน่ะ"
ก่อนเดินทางมาเมืองไทย หนุ่มกิมจิผู้นี้ก็เดินทางไปโปรโมตหนังในเอเชียมาหลายที่ แต่บอก เมืองไทยน่าเที่ยวสุด ประทับใจคนไทยใจดี
"ก็มีไปโปรโมตที่เมืองจีน ปักกิ่ง ฮ่องกง สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ แล้วก็มาเมืองไทย แต่ที่ปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้อากาศจะหนาวมากๆ หนาวจนไปไหนไม่ได้เลย แต่ตอนเวลาถ่ายคนม้าบินก็ต้องไปอยู่ที่นั่นมา 6 เดือน ก็เลยค่อนข้างชินน่ะ ส่วนสิงคโปร์เมืองเขาสะอาดมาก แล้วก็อบอุ่นดีด้วย ฮ่องกงเคยไปมาเมื่อสี่ปีที่แล้วเพื่อโปรโมตเรื่อง Friends ไปอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิมเป็นเมืองที่วุ่นวายตลอด แต่อย่างว่านะ ไปที่ไหนก็ไปวันเดียว ได้ไปแป๊บเดียวเอง ไม่มีเวลาไปสนุกกับบรรยากาศแต่ละที่เท่าไหร่
ปีนี้มาเมืองไทยก็มาอยู่ได้สองเดือนแล้วครับ มาถ่ายหนังเรื่อง Typhoon ก็อยู่ทั้ง กรุงเทพ กระบี่ แล้วก็สัตหีบ ถ้าไม่มีถ่ายทำก็มีไปเที่ยวบ้าง แต่มาที่นี่เหมือนมาเที่ยวมากกว่า ชอบวิวนะ วิวสวย ทะเลสวยดี ตอนนี้ก็ชินกับอากาศเมืองไทยแล้ว อย่างปัจจุบันนี้เลยอากาศที่เกาหลีหนาวมากๆ แต่เมืองไทยอบอุ่นมากๆ อากาศดีด้วย เมืองไทยเป็นประเทศที่น่าเที่ยวที่สุดในเอเชียแล้ว เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ จริงๆ ก็มีที่น่าเที่ยวเยอะนะ แต่ที่ประทับใจคือคนไทยใจดีมากกว่า รู้สึกว่าใจของคนไทยอบอุ่นมากๆ เลยครับ"
การทำงานกับเพื่อนนักแสดงที่มาจากต่างถิ่นกันนั้น แจงดองกันบอกว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคและเป็นเรื่องสนุกในเวลาเดียวกันก็คือภาษา เนื่องจากในเรื่องจะต้องพูดภาษาจีนตลอด พร้อมบอกเรียนภาษาจีนยากมากแต่ที่ยากกว่านั้นคือ ภาษาไทย
"เวลาถ่ายหนังเรื่องนี้ที่ยากสุดและสนุกสุดก็คือภาษา คือบรรยากาศการถ่ายทำมันก็ดูหนักหน่อยนะ ก็ดูจริงจังกันมาก แต่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นเขาจะหนักกันขนาดไหน เพราะไม่เข้าใจอะไรเลย ก็ไม่มีอุปสรรคสำหรับตัวเองสักเท่าไหร่ และที่ยากที่สุดก็คือภาษาจีนนี่ล่ะ เพราะผมเองก็ไม่เคยเรียนภาษาจีนมาก่อน อาจจะออกสำเนียงได้ไม่เหมือนด้วยก็เลยใช้วิธีการแสดงสีหน้าแทน อย่างน้อยๆ ก็ให้คนอื่นเขาเข้าใจได้ แต่ยังไงผมก็พยายามเต็มที่แหละครับ อีกอย่างที่หนักก็คือผมต้องวิ่งตลอดเลย เหนื่อยมากๆ บางทีวิ่งจนแทบจะคลานเลยล่ะ ก็มีบาดเจ็บบ้างนะ บ่อยเลยล่ะ แต่ไม่ถึงกับสาหัสครับ
แต่ที่สนุกก็คือเวลาตอนอยู่ในฉากเดียวกัน แล้วมีนักแสดงต่างประเทศมาอยู่ด้วยกัน ผู้กำกับเค้าก็จะมาเล่าให้ฟังว่าต้องทำยังไงๆ ล่ามแต่ละประเทศก็จะมายืนด้วย ล่ามเกาหลีก็พูดภาษาเกาหลี ล่ามญี่ปุ่นก็จะพูดญี่ปุ่น มันน่าวุ่นวายมากและก็น่าสนุกมาก ก็ตลกดีน่ะ
อันที่จริง แต่ละภาษามันยากเหมือนกัน แต่คิดว่าภาษาไทยยากที่สุดเพราะอย่างตอนเรียนในภาษาจีนมันก็มีเสียงวรรณยุกต์สี่เสียง แต่ภาษาไทยมันจะเพิ่มมาอีกเสียงหนึ่งเป็นห้าเสียง แล้วก็รู้สึกไม่ชินกับตัวเองมากเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่ามันยากที่สุด (พูดภาษาไทยให้ฟัง) 'คงถึงวันนั้นแล้วสินะ' สงสัยจะไม่มีใครเข้าใจเพราะเห็นทำหน้างงๆ กัน (หัวเราะก่อนจะพูดประโยคเดิมอีกครั้ง) ก็เป็นบทพูดในเรื่อง Typhoon น่ะ"
หลังจากเล่นซีรีส์เรื่อง All About Eve แล้วก็ห่างหายหน้าไปจากวงการซีรีส์ค่อนข้างนาน แจงดองกัน บอกว่าถ้ามีโอกาสได้เห็นงานใหม่แน่ แต่ขอเปลี่ยนลุกใหม่บ้าง เพราะโหดจนคนดูเศร้ากันหมดแล้ว
"ตอนแรกๆ ที่เล่นละครส่วนใหญ่ได้แต่บทผู้ชายโรแมนติก อบอุ่นมากๆ หลังๆ ก็ได้แต่บทเข้มแข็ง แมนมาก และโหดๆ ด้วย ตัวจริงผมเองก็ไม่ใช่คนโหดร้ายหรือเศร้าๆ แบบในหนังนะ แต่ส่วนตัวแล้วผมจะชอบเล่นบทแบบนี้มากกว่า เพราะเวลาเล่นคาแร็กเตอร์มันตรงข้ามกับตัวเอง มันมีแอ็คติงมากกว่า ก็เลยชอบ แต่ช่วงนี้คงจะต้องเปลี่ยนแปลงนิดนึง เพราะมีแต่คนดูบอกว่าเวลาจบแล้วมันเศร้า ก็เลยไม่อยากให้คนเขาเศร้าอีก อยากให้คนดูอบอุ่นใจบ้าง ก็อยากได้บทน่ารักๆ กว่าเดิมบ้าง
เมื่อก่อนก็จะร้องเพลงด้วยนะ เป็นนักร้องเป็นนายแบบด้วยแต่ช่วงหลังจะเป็นแต่นักแสดงอย่างเดียวแล้วก็ไม่ได้ไปใส่ใจเรื่องร้องเพลงมากมายเพราะรู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงไม่เก่ง ขอเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นงานอดิเรกดีกว่า ส่วนโครงการต่อไปตอนนี้ก็มีหนังเรื่อง Typhoon ที่เสร็จไปแล้ว และก็เห็นว่าจะได้เข้ามาฉายเมืองไทยด้วย แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่มีอะไรออกมา ก็หวังว่าจะได้บทดีๆ ต่อไปครับ
เรื่องละครยังไงผมไม่คิดจะเลิกเล่นอยู่แล้วล่ะ แต่ขอบเขตของละครมันจะต่างกับหนังมากเลย ละครมันค่อนข้างจะจำกัดหน่อยหากไปเทียบกับหนังนะ ผมก็เลยเลือกที่จะเล่นหนังมากกว่า แต่ถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปเล่นอยู่แล้วล่ะ"
นอกจากนี้ เจ้าตัวยังบอกด้วยว่าสิ่งที่ภูมิใจก็คือการตัดสินใจออกมาเรียนการแสดงโดยไม่รับงานเลยและก็ทำสำเร็จ ส่วนเรื่องที่ไม่อาจทำได้คือการเลิกเป็นสิงห์อมควัน!พร้อมเอ่ยปากขอบคุณแฟนคลับที่ช่วยให้เขาได้ตอบแทนความรักที่แฟนๆ ให้มาได้บ้าง
"ตอนแรกๆ เล่นหนังเล่นละคร ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ทำงานอย่างนี้ตลอดหรือเปล่า พอดีตอนนั้นก็..มันบังเอิญดังน่ะ ทุกคนก็เลยรู้จัก แต่รู้สึกว่ายังไม่พอใจเท่าไหร่ก็เลยไปเข้าโรงเรียน ออกจากวงการไม่ทำอะไรเลยไปเรียนอย่างเดียวสองปี คนอื่นบอกว่าไม่น่าไปเรียนเลย แต่ผมเห็นว่าน่าจะเรียน ตอนที่เรียนก็ตัดสินใจบางอย่างก็รู้สึกภูมิใจตัวเองมากๆ ที่ยังทำที่ตั้งใจไม่ได้คือเลิกบุหรี่ คือตั้งใจมากแต่ก็ยังเลิกไม่ได้
ตอนนี้สิ่งที่ผมได้รับมาก็คือความรักจากทุกคน สิ่งที่เป็นกำไรก็คือทุกคนชอบเรา ดังนั้นยังไงผมก็ต้องทำอะไรตอบแทนสังคมอยู่แล้ว และที่ต้องขอบคุณเลยก็คือ แฟนคลับทุกคนที่พวกเขาช่วยบริจาคเวลามีปัญหา ยังไงผมก็ต้องตอบแทนสังคมอยู่แล้วครับ"