xs
xsm
sm
md
lg

‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ ทางเบี่ยงที่ไม่ต้องเสี่ยงล้มเหลว (1) / พอล เฮง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ความงดงามลงตัวของการทำงานร่วมกัน ระหว่างนักร้องกับกลุ่มนักดนตรีซึ่งต่างตัวตน ต่างความคิด ต่างที่มา โดยเติบโตมาคนละสายจากคนละแนวทางนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะโดยมากแล้ว เมื่อมารวมกันจะออกทะเล กู่ไม่กลับกันทุกที

แม้ว่าในกรอบของการสร้างสรรค์งานศิลปะจะมีอยู่แค่โครงหลวมๆ ก็ตาม แต่การสมานกันและกันของอารมณ์ความรู้สึกของคนสร้างงานที่อยู่คนละสาขา ย่อมมีเรื่องของวิธีคิด การลดอัตตา และมีการหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแนบแน่น

ที่สำคัญที่สุด ก็คือธุรกิจหรือผลประโยชน์ที่ต้องสานกันลงตัว โดยสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากตัวตนของแต่ละคนที่มีอยู่เดิมได้ สามารถข้ามสายสร้างกลุ่มแฟนเพลงที่อยู่คนละทิศละทางให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันได้

อัลบั้ม ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ ตอบโจทย์นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และทะลุปรุโปร่ง

ในชีวิตที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเพลงมายาวนาน เคี่ยวกรำตัวเองจนเรียกว่า เป็นเซียนที่เขี้ยวลากดินคนหนึ่ง สำหรับนักร้อง / นักแต่งเพลงเพื่อชีวิตที่มีงานอัลบั้มออกมามากที่สุดในเมืองไทยชั่วโมงนี้ "แอ๊ด คาราบาว" หรือ "ยืนยง โอภากุล" สามารถหยัดยืนให้ทรงตัวอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่แปรโฉมหน้าไปได้อย่างน่าดูชม โดยเฉพาะภาพของนักธุรกิจและพรีเซ็นเตอร์เครื่องดื่มชูกำลังของตัวเอง ภาพนายกสมาคมไก่ชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเข้ามาแทนที่ภาพลักษณ์ของนักเพลงเพื่อชีวิตที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของสังคมอย่างเฉกเช่นอดีต

คราวนี้เขานำทีมวงดนตรีคาราบาวรุ่นปัจจุบัน มาทำงานกับนักร้องสาว "ปาน-ธนพร แวกประยูร" ซึ่งเป็นนักร้องที่เป็นไข่ในหินของอาร์เอส. เพราะมีแนวทางการร้องที่มีคุณภาพในเสียงร้องเป็นที่ยอมรับในพลังเสียงว่า โดดเด่นเกินนักร้องรุ่นเดียวกัน รวมถึงการจัดวางให้ ปาน เป็นปากเสียงของผู้หญิงยุคใหม่ที่ไม่หงอหรือให้ฝ่ายชายข่มเหงแต่ฝ่ายเดียว อาจจะบอกได้ว่า เธอพยายามเป็นนักร้องในสายเฟมินิสต์ ที่อดประหวัดไปถึงการเลียนหรือรับอิทธิพลมาจากอลานิส มอริสเซตต์ (Alanis Morissette) นักร้องเฟมินิสต์ชาวแคนาเดี้ยนไปไม่ได้ ในการแสดงจุดยืนผ่านบทเพลง

เมื่อมาประกบกันระหว่างคาราบาว กับปาน จึงเป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง

ประเด็นแรกที่น่าพูดถึงก็คือ วิธีการเขียนเนื้อร้องหรือคำร้องในเพลงทั้งอัลบั้ม

ต้องยอมรับว่า การที่คาราบาวได้แบ่งการทำงานเพลงในส่วนนี้คนละครึ่งกับทีมทำเพลงอะบอริจินส์ของอาร์เอส. ทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในวิธีการเขียนเพลงที่เดินตามรอยทางคาราบาว

สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา ซึ่งเขียนเนื้อเพลงให้อัลบั้มชุดนี้ 4 เพลง ซึ่งเป็นโควต้าของสัดส่วนการร่วมกันทำเพลงฝ่ายละ 5 เพลงของอัลบั้มชุดนี้ จากทั้งหมด 10 เพลง เขาสามารถตีโจทย์การเขียนเพลงในแบบแอ๊ด คาราบาว อันเป็นหัวใจหลักของอัลบั้มชุดนี้ได้อย่างแตกฉาน สามารถยกระดับให้วัตถุดิบเดิมในวิธีคิดแบบคาราบาวพัฒนาขึ้นมาให้มีความร่วมสมัยในสถานการณ์สังคมปัจจุบันขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง

ถือได้ว่า เป็นความยอดเยี่ยมของคนเขียนเพลงที่สามารถนำลีลาความเป็นอัตลักษณ์หรือบุคลิกของบทเพลงหัวควายให้คงอยู่อย่างเต็มที่ และสามารถสื่อสารกับคนยุคนี้ โดยเฉพาะแฟนเพลงที่อยู่ในระดับฐานของคนฟังเพลงคาราบาวที่เป็นกลุ่มชนชั้นแรงงาน ชนชั้นกลางระดับปากกัดตีนถีบ และวัยรุ่นตจว.ขาเฮ้วได้มีความรู้สึกร่วมอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

‘บัวผัน’ (ถึกควายทุยภาคพิเศษ) เป็นบทเพลงที่มีการเขียนเนื้อร้องที่เรียกว่า ‘สุดยอดจังหวะฝีมือ’ เอามากๆ สามารถรับโจทย์เพลง ‘บัวลอย’ ซึ่งเป็นบทเพลงอมตะนิรันดร์กาลของคาราบาวมาขยายต่อทำให้มีชีวิตร่วมยุคร่วมสมัยอีกครั้ง โดยสร้างตัวละครคือ เมียและลูกของบัวลอยขึ้นมา

สุทธิพงษ์มีความเจนจัดตรงที่เป็นนักเล่าเรื่อง และสามารถหยิบฉายภาพความเคลื่อนไหวความเป็นไปของสังคมในยุคปัจจุบันออกมาได้อย่างลึกซึ้งคมคาย ผ่านฉากชีวิตของตัวละครในบทเพลง ซึ่งอารมณ์การเขียนเพลงอย่างนี้ เป็นทางที่แอ๊ด คาราบาวเคยถนัดมาก่อน แต่ปัจจุบันได้ลดถอยไปบ้างพอสมควร เมื่อได้มุมมองใหม่ของคนแต่งเพลงที่ตอบโจทย์ของคาราบาวได้อย่างนี้ คิดว่าเขาคงอุ่นใจ

และคิดว่า สุทธิพงษ์น่าจะเป็นมือเขียนเพลงให้คาราบาวคนต่อไป เพราะเขาสามารถเขียนเพลงในอารมณ์ของคาราบาวสื่อสารกับคนรุ่นที่ชื่นชอบคาราบาวในอดีตได้ฟังเพลงแบบนี้อย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง รวมถึงสามารถสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเติบโตมาอย่างไม่เคอะเขิน

บทเพลงที่ถือเป็นหัวใจของอัลบั้มชุดนี้ และใช้เป็นชื่ออัลบั้มด้วย ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ สุทธิพงษ์ได้เขียนเพลงนี้ออกมาอย่างตีแตกละเอียด เข้าใจวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของคนฟังเพลงเพื่อชีวิตยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี สามารถเล่าเรื่องและสร้างตัวละครให้มีมิติของชีวิตขึ้นมาโลดแล่นผ่านถ้อยคำ โดยสื่อสารผ่านเสียงร้องในแนวเพลงคู่เพื่อชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม โดยนำพล็อตความคิดของบทเพลงเก่าๆ ของคาราบาวมาผูกรวมและต่อยอดได้อย่างแยบยล
จินตนาการในการสร้างเรื่องของเขาอย่างมีความลึกผ่านปูมหลังของตัวละครในเพลง สามารถบอกเล่าถึงความเหงาเศร้าของหนุ่มสาวที่อยู่ในระดับปากกัดตีนถีบ และแหล่งพบปะเจอกันของคนในชนชั้นหรือกลุ่มนี้ที่วัดกันด้วยฐานะทางเศรษฐกิจก็ไม่พ้นโรงเบียร์หรือผับเพื่อชีวิต

ภาพของแฟนเพลงคาราบาวที่ถูกสร้างขึ้นมาก็คือ หนุ่มห้าวชนชั้นแรงงานทั่วไป ซึ่งส่วนมากเป็นคนต่างจังหวัด และจะมีการศึกษาไม่เกินปริญญาตรี มีเห็นอยู่ดาษดื่น ส่วนแฟนเพลงของสาวปานก็คือหญิงสาวสาวผู้ร้างไร้ทางออกอาชีพขายบริการ เขาและเธอต่างผ่านความร้าวรานของชีวิตคู่ในรูปแบบสำเร็จรูปของสังคมยุคนี้ มาพานพบกันเพื่อสร้างตำนานรักทรหด

สุทธิพงษ์รักษาวิญญาณของบทเพลงแบบคาราบาวไว้ได้อย่างครบถ้วน และพาขยับก้าวเดินมาอีกก้าวหนึ่งให้ผ่านอุโมงค์ของกาลเวลามาสู่ยุคสมัยปี 2548 นี้อย่างแท้จริง

โจทย์ที่เขาตอบอีกอย่างก็คือ ความเข้าใจอารมณ์ของนักเพลงเพื่อชีวิตรุ่นใหญ่ที่มีอายุขึ้นหลักเลข 5 นำหน้า รวมถึงแฟนเพลงของคาราบาวที่ส่วนมากก็ผ่านร้อนผ่านหนาวกับบทเพลงของคาราบาวมาเกือบระยะเวลา 30 ปีเข้าไปแล้ว บทเพลง ‘รุ่นใหญ่’ สามารถถอดหัวใจหนุ่มใหญ่วัยกลางคนออกมาจัดวางได้อย่างสมวัย การเขียนคำที่บ่งชี้ลึกเข้าไปในอารมณ์ความรู้สึกในก้นบึ้งของคนโสดแต่ไม่สดที่ผ่านกาลเวลามาในระดับที่โชกโชนช่ำชอง ลดความห้าวมีความนิ่ง แต่หัวใจยังสวิงสวาย ซึ่งจำเป็นต้องเก็บไว้เงียบๆ

นี่เป็นวิธีคิดที่สามารถเขียนบทเพลงที่มีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยให้กับแอ๊ด คาราบาวร้องอย่างแท้จริง และสามารถเชื่อมโยงกับความโรแมนติฏวัยหนุ่มหัวใจซื่อตรงได้หลายๆ เพลงของคาราบาว อาทิ ‘หนุ่มสุพรรณ 1-2’ มาสู่ความโรแมนติฏของคนวัยเลี่ยมทองได้อย่างมีเสน่ห์

บทเพลงที่สุทธิพงษ์ เขียนขึ้นมา ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ และเหนือความคาดหมายอย่างมาก เพราะเขาตอบโจทย์ และสามารถเขียนเพลงได้ดีมากในสไตล์แบบคาราบาว ที่สำคัญคือ วิธีคิดนำภาพของสังคมร่วมสมัยที่ดำเนินอยู่มาสวมใส่ในบทเพลงอย่างมีชีวิตและวิญญาณ ซึ่งจุดนี้เป็นส่วนขาดของงานเพลงคาราบาวในยุคหลังที่ไม่สามารถเกาะกุมหัวใจส่วนนี้ไว้ได้

46.11 นาที ในอัลบั้มชุด ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ มีให้แตกแยกย่อยอีกหลายประเด็น นี่แค่ผ่านประเด็นแรกแค่การเขียนคำร้องหรือเนื้อเพลงยังไม่จบ และยังไม่ได้เข้าไปสู่วิธีการร้องเพลงของนักร้องในอัลบั้ม ดนตรีที่ทำออกมา การบันทึกเสียง รวมทั้งการนำเสนอภาพลักษณ์ในการเชื่อมแฟนเพลงทั้งสองกลุ่มเข้าด้วยกัน

มีอีกเยอะทีเดียว ที่คาราบาว และปาน ทำให้เห็นว่า พวกเขาทำเพลงออกมาได้ถูกจริตของกลุ่มคนฟังในตลาดมวลชนฐานกว้างของเมืองไทย และถือเป็นการยืดอายุวงดนตรีเพื่อชีวิตอย่างคาราบาวให้มีสีสันของงานเพลงฟื้นกลับมาทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
..........
paulheng_2000@yahoo.com
กำลังโหลดความคิดเห็น