xs
xsm
sm
md
lg

The Descent : ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล/ธีปนันท์

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


เพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ มาก่อนเลย ผมจึงดู The Descent ได้สนุกสนานเต็มที่ มานั่งนึกดูแล้ว ถ้าผมพอจะทราบมาก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง-ตอนไหน อรรถรสจากการชมคงจะพร่องไปเยอะ ที่ต้องการจะบอกก็คือ หากใครคิดจะไปดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี ก็ควรจะหยุดอ่านสิ่งที่ผมจะเล่าในย่อหน้าถัดๆ ไปทันที

The Descent เป็นหนังในตระกูลสยองขวัญจากประเทศอังกฤษ เงียบเชียบพอดูเมื่อเทียบกับหนังไม่เอาอ่าวจากฮอลลีวูดหลายเรื่อง อันที่จริงตัวหนังก็ไม่ได้มีคุณค่าสูงส่งอะไร (สัปดาห์ที่แล้วผมเขียนไปว่า "เราจะคาดหวังอะไรกับหนังสยองขวัญสักเรื่องหนึ่ง") มันเพียงแต่เป็นงานที่ทำได้ดีเท่าที่ขนบและกรอบของมันได้วางไว้

เคยมีคนกลั่นแบบแผนของหนังตื่นเต้นระทึกขวัญ (รวมถึงหนังสยองขวัญ) อยู่เหมือนกัน องค์ประกอบ 4 อย่างที่ขาดไม่ได้เลยในหนังลักษณะนี้ คือ ช่วงเวลาลุ้นระทึก, ตัวละครที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้, สถานการณ์ติดกับ และคำอธิบายหรือเหตุผลทางจิตวิทยา

ไม่ได้หมายความว่าหนังสยองขวัญต้องมีครบทั้ง 4 อย่างนี้ หรือว่ามีครบแล้วจะกลายเป็นหนังที่ดี (แต่มันทำซ้ำจนเกิดพิมพ์เขียวขึ้นมาคร่าวๆ ในตัวของมันเอง) มันขึ้นอยู่กับจังหวะการเชื่อมต่อของคนทำหนังอยู่เหมือนกัน ว่าวางสัดส่วนไว้ได้ดีขนาดไหน

ผมชอบ The Descent ด้วยเหตุผล 2-3 อย่าง ประการแรกมันเป็นหนังที่ทำให้เกิดความระทึกขวัญได้จริงๆ บรรยากาศอันน่าอึดอัดไม่ไว้วางใจลอยอบอวลอ้อยอิ่งอยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อคนดูไม่ทันได้ตั้งตัว หนังก็จู่โจมอย่างไม่ยั้งมือ และนับตั้งแต่นั้นก็ไม่มีช่วงไหนเลยที่หนังจะปล่อยให้คนดูถอนหายใจอย่างโล่งอก

มันเลยโยงมาถึงเหตุผลที่ชอบในประการถัดมา คือ นีล มาร์แชลล์ ผู้กำกับปล่อยความกรุณาปรานีฝังไว้ในดินตรงไหนสักแห่ง และคงไม่พกติดตัวมาด้วย แม้จะไม่ทำลายความคาดหวังของเราลงอย่างสิ้นเชิง แต่หนังก็ไม่พยายามหยิบยื่นความหวังอย่างลมๆ แล้งๆ มาร์แชลล์ปล่อยเรื่องให้ดำเนินไปตามครรลองของมันเอง ซึ่งถ้าคนดูนึกถึงแง่ความเป็นจริงอยู่บ้าง บทสรุปในหนังก็คงไม่สร้างความประหลาดใจสักเท่าไหร่

การดูหนังมากๆ เข้าทำให้เราเกิดนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ เราละเลยที่จะมองทุกอย่างด้วยเหตุผล ปฏิเสธความจริง และหันเหเข้าสู่โลกในความฝันที่ทุกอย่างมักจบลงหรือคลี่คลายไปในทางที่ดี หรืออย่างน้อยๆ ก็ยังพอมีความหวัง รู้ทั้งรู้ว่าในโลกแห่งความจริงแล้ว มันไม่ใช่

The Descent พยายามที่จะให้ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างมีที่มา ฉากนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากฉากโน้น และสิ่งนี้ก็เป็นผลมาจากการกระทำของตัวละครคนนี้

ในขณะที่ให้เหตุผลกับการกระทำต่างๆ ของตัวละคร หนังก็กล้าพอที่จะไม่อธิบายอะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับ "ตัวประหลาด" ในเรื่อง คนดูถูกบีบให้มีขอบเขตการรับรู้เท่ากับตัวละคร คนอื่นเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่การได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่อธิบายไม่ได้นั้น - สำหรับผมมันเป็นความสยองขวัญระดับสุดยอด

แต่ที่ถือว่านีล มาร์แชลล์ ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องที่เขาไม่ทรยศต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ไม่ได้ลากตัวละครให้เดินหรือคิดอย่างหุ่นเชิด พวกเขาดูมีเลือดเนื้อและชีวิตจริงๆ หนังไม่ได้ให้ความเห็นอกเห็นใจแก่พวกเขาเป็นพิเศษ ทุกอย่างจึงออกมาหนักแน่นน่าเชื่อถือ

ตัวละครหลักทั้งหมดในเรื่องมีด้วยกัน 6 คน ผู้หญิงทั้งกลุ่มเป็นเพื่อนสนิทที่มารวมตัวกันออกผจญภัยในช่วงวันหยุด เป้าหมายของทริปคือการสำรวจถ้ำแห่งหนึ่ง ซาร่า, จูโน่, เบธ, รีเบกกา, แซม และฮอลลี มีบุคลิกแตกต่างกันออกไป แต่คนที่เป็นตัวยืนของเรื่องคือ ซาร่าและจูโน่

หนังใช้เวลาปูพื้นความสัมพันธ์ของทั้งสองในช่วงต้นอย่างไม่เยิ่นเย้อ ซาร่าสูญเสียคนรักและลูกสาวตัวน้อย ระหว่างเดินทางกลับจากการผจญภัยเมื่อปีกลาย ตอนนั้นแทนที่จะอยู่ปลอบใจเพื่อน จูโน่ขอปลีกตัวกลับไปก่อน เพราะสาเหตุบางอย่าง

ถึงไม่ต้องใช้ความสังเกตมากนัก คนดูก็พอจะมองออกว่าจูโน่มีความสัมพันธ์ลับๆ กับสามีของเพื่อน อาจเพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจและยังทำใจไม่ได้ เธอเลยเป็นฝ่ายเดินหนีออกมา

การผจญภัยหนใหม่นี้เธอเลยถือโอกาสเป็นตัวตั้งตัวตี ลึกๆ แล้วจูโน่คงพยายามจะไถ่บาปที่เคยก่อไว้ และอยากให้ระหว่างเธอกับซาร่าไม่มีอุปสรรคบางๆ กั้นอยู่อีก

ความมุ่งหวังที่หนังฝากไว้กับคนดูคือ เมื่อหนังจบและทุกอย่างคลี่คลายแล้ว จูโน่คงล้างบาปของตนเองได้สำเร็จ รวมทั้งซาร่าก็อาจจะต้องทำใจลืมอดีตอันปวดร้าวให้ได้เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า เธอทั้งคู่อาจได้เข้าใจกันมากขึ้น และมิตรภาพจะอยู่เหนือทุกสิ่ง

ทว่านั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนหวังอยากจะให้เกิด มันอาจจะลงเอยอย่างนั้นในหนังเรื่องอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่กับเรื่องนี้ นีล มาร์แชลล์ปล่อยให้ตัวละครประจันหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียดอีกครั้ง และผลสรุปสุดท้ายก็คือ พวกเธอไปไม่ถึงฝั่งฝัน

ฉากที่น่าตกใจมากที่สุด รองลงมาจากการต้องต่อกรกับเหล่าตัวประหลาดในถ้ำลึกลับ เป็นฉากที่จูโน่พลั้งมือทำร้ายเบธ เพราะเข้าใจว่าเธอเป็นศัตรู เบธร้องขอชีวิต และสิ่งที่จูโน่ควรทำคือการรีบเข้าไปช่วยเหลือ

แต่ดูเหมือนเธอก็ยังทิ้งนิสัยเดิมไม่ได้ จูโน่จึงเลือกที่จะเดินหนีปัญหาอย่างที่เธอเคยทำ และปล่อยให้เพื่อนเผชิญหน้ากับความตายเพียงลำพัง

กรณีของซาร่าก็เช่นเดียวกัน เมื่อได้รู้ว่าจูโน่มีอะไรกับสามีของเธอ แทนที่จะปลงและยอมรับสภาพ ด้วยความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง เธอก็รู้สึกโมโหเป็น และในยามที่ไม่มีสติมากพอที่จะไตร่ตรองอะไรได้ เธอเลยเลือกสะสางปัญหาด้วยวิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน

หนังจบลงด้วยฝันร้ายและไม่จรรโลงใจเลยสักนิด ซาร่าพยายามหนีออกมาจากถ้ำร้างนั้นได้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน ในชีวิตจริงเธอยังคงติดกับอยู่ในถ้ำแห่งนั้น เธอเกิดภาพหลอนว่าลูกสาวผู้ล่วงลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ความหวังของคนดูริบหรี่ลงทุกที แล้วหนังก็จบลง

ไม่มีใครรู้ว่าซาร่าจะพบกับบทสรุปเช่นไร เป็นไปได้ว่าเธออาจรอดหรือตายอยู่ในความมืดนั้น แต่ที่แน่ๆ คือ ทริปนี้จบลงอย่างผิดวัตถุประสงค์ทุกอย่าง

The Descent เป็นหนังที่เครียดเอาการ แต่ก็ยังถือว่าให้ความบันเทิงในระดับพอๆ กัน มันออกจะรันทดเมื่อพบว่าสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ แล้วคือจิตใจของคนเราเอง

มันชวนให้ผมนึกถึงประโยคที่ฟังดูลึกลับประโยคหนึ่ง แต่ก็เป็นเหมือนกุญแจไขทุกสิ่ง ในนิยายเรื่อง Heart of Darkness; โจเซฟ คอนราดเขียนไว้ว่า We penetrated deeper and deeper in to the heart of darkness


กำลังโหลดความคิดเห็น