การทำเพลงฮิตให้เหมาะสมกับสถานที่ และเวลา ล้วนเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับวงดนตรีร็อกวงหนึ่งพึงกระทำ สถานการณ์ของความนิยมในตลาดเพลง รวมถึงรสนิยมทางดนตรีนั้น ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องเงื่อนของเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปตามวาระ ผนวกด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดเพลงของบรรดาค่ายเพลงต่างๆ ว่าจะไหลไปทางไหน
ว่าไปแล้ว วงบอง โจวี (Bon Jovi) ได้ก้าวขึ้นมาอยู่นอกเหนือเงื่อนไขแรงขับดังกล่าว
กว่า 20 ปีที่ผาดโผนอยู่ในวงการเพลงโลก พวกเขาได้สร้างบุคลิกเพลงที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และสามารถยืนระยะได้อยู่ยงยาวนาน แม้วงร่วมรุ่นซึ่งมีขนบแห่งเสียงในแนวดนตรีแบบแฮร์เมทัล และป็อปเมทัลจะล้มหายตายจากไปแทบจะไม่เหลือให้เห็นแล้วก็ตาม
อัลบั้ม ‘Have A Nice Day’ เป็นตัวชี้ชัดและตอกย้ำลงไปได้อย่างแจ่มแจ้ง แม้อัลบั้มก่อนหน้านี้หลายอัลบั้มจะทรงๆ ตัวอยู่ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญ พวกเขาสามารถสร้างเพลงฮิตให้เข้าหูคนฟังได้ชะงัด ด้วยสไตล์การทำเพลงแบบพาวเวอร์ บัลลาด อันกินใจและทรงพลัง วัดได้จากการที่บทเพลงฮิตในหลายบทเพลงถูกนำไปใช้เป็นเพลงหลักในการประกอบโฆษณา รวมถึงอันดับในบิลบอร์ดชาร์ตที่ต้องอยู่ในอันดับสูงๆ งานในอัลบั้มชุดนี้ก็ขึ้นถึงอันดับ 2 ในบิลบอร์ด และอันดับ 1 ในแคนาเดียน ชาร์ต ถือเป็นบทพิสูจน์ในการทำเพลงถูกหูตลาดของพวกเขา
และในทุกอัลบั้มของบอง โจวี ต้องมีเพลงฮิตอย่างน้อย 2-3 เพลงอยู่เสมอ
สัมผัสพิเศษทางการตลาด ในการทำงานดนตรีและผลิตบทเพลงขึ้นมาในแต่ละอัลบั้มไม่ใช่เรื่องที่มีอยู่กับทุกวงดนตรี รวมถึงการรู้จังหวะในการผลิตงานออกมาในวาระที่เหมาะสม ทว่า วงบอง โจวี มีคุณสมบัติในส่วนนี้กอปรอยู่ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมากทีเดียว หลายครั้งก็ถูกค่อนขอดว่า ทำงานแบบเดิมๆ ไม่หนีตัวเองหรือทดลองทำงานที่แปลกหู สร้างความประหลาดใจให้กับคนฟัง
12 เพลงในอัลบั้มชุดใหม่ของบอง โจวี แม้จะไม่หนีไปจากกรอบและกฎเกณฑ์เดิมๆ แต่อีกด้านหนึ่งพวกเขาขยับตัวทำงานเพลงและดนตรีในสไตล์ที่พวกเขาถนัดและเชี่ยวชำนาญออกมาได้หนักแน่น และทรงพลังในระดับที่น่าชื่นใจ
4 เพลง ที่เป็นทางเพลงในแบบฉบับของบอง โจวี ฟังผาดแรก ใช่เลย...ตัวตนของพวกเขาที่ไม่มีใครสามรถกระชากออกหรือปฏิเสธได้ว่า เป็นไม้ตายที่มีลักษณะพิเศษของบทเพลงที่แน่นหนักด้วยความเป็นทีมเวิร์คของเชิงชั้นดนตรีที่ลงตัว และสามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในหูคนฟังอย่างสะดวกโยธิน
‘Have A Nice Day’, ‘I Want To Be Love’, ‘Complicated’ และ ‘Story Of My Life’ ล้วนเป็นบทเพลงที่เรียกกันว่า แนวเพลงแบบโขยกในทางพาวเวอร์คอร์ดที่ลื่นไหลของป็อปเมทัล ท่วงทำนองที่กระแทกกระทั้น กลองและเบสที่คุมน้ำหนักเหมาะเจาะ ริฟฟ์กีตาร์หนักแน่น มีทางเมโลดีที่เนียนหูรองอยู่เบื้องหลัง ท่อนแยกและท่อนฮุแที่คั่นกลางด้วยกีตาร์ลีดที่จัดวางได้พอดิบพอดี แน่นอนที่สุดการร้องย้ำวนในสร้อยของท่อนฮุแที่จำง่ายเป็นส่วนที่ทำให้เพลงเข้าไปอยู่ในหัวของคนฟังได้อย่างไม่ต้องใช้สมาธิในการฟังหรือจดจำมากนัก
ธรรมชาติในตัวเพลงของบอง โจวี หรืออาจจะพูดในเชิงการตลาดว่า เป็นเพลงสูตรที่มีเครื่องทางการค้าของเขานั้น จะเห็นได้ชัดว่า การเขียนเนื้อร้องในตัวเพลงของบอง โจวี นั้น จะมีการขึ้นต้นนำเข้าสู่เนื้อหาของเพลง สลับด้วยท่อนฮุกที่มีพยางค์และประโยคที่ลงคำลงกับทางดนตรีที่ไพเราะ โครงสร้างของจังหวะจะคุมตามอารมณ์ขึ้นลงของเพลงในแต่ละช่วง รวมถึงคีย์บอร์ดที่ปูฉากหลังถมไม่ให้มีช่องว่าง และก็เปิดพื้นที่ให้ริชี แซมโบรา มือกีตาร์ ได้โชว์ฝีมือการโซโลกีตาร์อย่างสวิงสวาย ด้วยอัตราความเร็วและโน้ตที่หวานหรือดุขนาดไหน แล้วแต่อารมณ์ในเพลงนั้นๆ ถือเป็นการแบ่งงานที่ลงตัวเหมาะเจาะ
วงดนตรีร็อกที่สามารถฝ่าวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้นั้น มีปัจจัยหนึ่งที่บอกได้ก็คือ นักร้องนำที่เป็นคนเขียนเพลงต้องมีความสมานฉันท์กับมือกีตาร์อย่างกลมเกลียว ต่างคนต่างมีอัตตาในการโชว์อยู่ในระดับที่กลมกลืนและเดินไปด้วย บอง โจวี กับริชี แซมโบรา สามารถรักษาสมดุลในตรงนี้ได้เป็นอย่างดี
งานเพลงทั้งหมดในอัลบั้มชุดนี้จะจับได้ถึงพลังที่พวยพุ่งมาในเสียงร้องซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบอง โจวี ที่มีการขับเคลื่อนด้วยการร้องเต็มเสียง มีหลากหลายวิธีในการกำหนดเพื่อหนุนเนื่องอารมณ์เพลงให้ไปกับส่วนของดนตรี ไม่ว่า การร้องแบบเต็มเสียงกระชากแผดออกมา การหลบเสียงต่ำทุ้มแต่ยังเค้นเสียงกระด้างเครือไหวให้มากระทบใจ รวมถึงการประสานเสียงจากนักดนตรีในวงที่จัดวางให้เกื้อหนุนเสียงร้องของเขาให้โดดเด่นออกมาอีกระลอก
ส่วนที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ ทางกีตาร์ของริชี แซมโบรา ที่มีแรงทะยานของพลังขับในการวางองค์ประกอบของตัวเพลงที่ครอบคลุมไปกับทางเพลงทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของโซโล่ในแต่ละเพลงเป็นไฮไลต์ที่สามารถฉายภาพของอารมณ์เพลงในแบบเพลงแฮร์เมทัลยุคทศวรรษที่ 80 ให้กลับมามีชีวิตกรีดใจคนทั้งในรุ่นนั้นและรุ่นใหม่ได้อย่างหวาบหวามสั่นเข้าไปในใจ ในบางบทเพลงก็มีกลุ่มเครื่องสายเข้ามาประสานเพื่อรองรับอารมณ์ให้อ้อยสร้อยซึมลึกอยู่ในทีด้วย
บอง โจวี กับริชี แซมโบรา ได้ทำให้จิตวิญญาณของขนบเพลงร็อกอเมริกันในสายทางป็อปเมทัลลุกโชนมาอีกหนหนึ่งภายใต้ลักษณะเฉพาะดนตรีในแบบของพวกเขาเอง
‘Novocaine’ เป็นบทเพลงที่มีเสน่ห์เอามากๆ สมกับชื่อของเพลง มีความเป็นไซเคเดลิคอยู่ในอารมณ์เพลงร็อกแบบบอง โจวี ถือว่าเป็นการเขียนเพลงและทำดนตรีที่ตีความเนื้อหาได้หมดจด โดยเฉพาะในช่วงท้ายเพลงที่มีเสียงประสานที่สับสนอลหม่านเหมือนหลอนอยู่ในหัว สร้างความรู้สึกคลุมเครือเหมือนหลุดเข้าสู่โลกที่ป่วยไข้ของคนในยุคนี้
บทเพลงบางส่วนในชุดนี้ได้สะท้อนถึงวิธีคิดของคนดนตรีร็อกในยุคทศวรรษที่ 80 ได้ดี ‘Welcome To Wherever You Are’ กับ ‘I Am’ เป็นการนำเสนอแง่มุมของความรัก และความพยายามค้นหาความเป็นตัวของตัวเอง ที่ยืนหยัดเพื่อรับมือกับความกดดัน ความปวดร้าวแห่งยุคสมัย เป็นเสมือนบทเพลงที่ให้กำลังใจให้ลุกขึ้นสู้เพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคง เปี่ยมด้วยความมั่นใจ เป็นแรงกระตุ้นในบทเพลงภายใต้ความหนักแน่นสวยงามของดนตรีร็อคที่หาฟังไม่ได้ง่ายนักในยุคนี้
‘Bell of Freedom’ เป็นอีกเพลงที่ย้อนอารมณ์เก่าๆ ของบทเพลงร็อกในยุคปลายสงครามเย็นที่เห็นได้ในวงเฮฟวีร็อกของเยอรมันอย่าง สกอร์เปียนส์ (Scorpions) ที่เรียกร้องถึงความร่วมมือร่วมใจในการใฝ่หาเสรีภาพ ภายใต้ความกดดันทางสังคม เป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องถึงความโหยหาของคนในยุคนี้ที่อบอวลด้วยความตื้นตัน
บทเพลงที่ฟังแล้วนึกถึงเพลง ‘Boulevard of Broken Dreams’ ของกรีน เดย์ (Green Day) ซึ่งทำงานเพลงบัลลาดพังค์ที่เหงาเศร้าโดดเดี่ยวและร้างไร้ ‘Who Says You Can’t Go Home’ ก็มีทางเพลงแบบเดียวกัน แต่เป็นเอกลักษณ์ของบอง โจวี ให้เห็นถึงความอ้อยสร้อยของคนที่อยู่ในสภาพไปไม่ได้กลับไม่ถึง
อีกหลายบทเพลงที่มีอะไรให้ค้นหาในการสื่อความหมายของบอง โจวี แสดงให้เห็นถึงกระบวนการทำงานที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองที่ดีเยี่ยม รวมถึงโบนัสแทร็ก ‘Dirty Little Secret’ ที่มีกลิ่นร็อกแอนด์โรลจิ๊กโก๋ผสมอยู่
คงต้องสรุปว่า ‘Have A nice Day’ เป็นการดีดดิ้นที่สวยงามในดนตรีป็อปเมทัลของบอง โจวีอีกคำรบหนึ่ง
.....................
paulheng_2000@yahoo.com