xs
xsm
sm
md
lg

Dominion: Prequel to the Exorcist กำเนิดหมอผี

เผยแพร่:   โดย: ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี


พอล ชเรเดอร์ เป็นที่รู้จักในฐานะมือเขียนบทคู่บุญของผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี แม้จะไม่ใช่ถึงขนาดทุกเรื่อง แต่งานเด่นๆ ของสกอร์เซซีก็มีชื่อของชเรเดอร์ปรากฎอยู่ทั้งนั้น ตั้งแต่ Taxi Driver, Raging Bull หรือ The Last Temptation of Christ

มันเป็นการเข้าขากันอย่างสอดคล้อง สกอร์เซซีมักหลงใหลในตัวละครที่พยายามไถ่ถอนบาปบางอย่างออกจากใจของตนเอง ชเรเดอร์ก็ดูเหมือนจะถนัดกับงานลักษณะที่ว่านี้ กระทั่งตอนที่เขียนบทให้กับงานที่ตัวเองกำกับ ก็ไม่ได้หนีไปจากนี้มากนัก

ตัวละครในงานของพอล ชเรเดอร์ เป็นพวกจมจ่อมอยู่กับความผิดบาปชนิดถอนตัวไม่ขึ้น เหมือนคนที่มีก้อนหินถ่วงตัวอยู่ตลอดเวลา พยายามสลัดไปก็ไม่พ้น และมีทางเลือกไม่มากนอกจากทำใจยอมรับเพื่อที่จะอยู่กับความผิดนั้น หรือไม่ก็เลือกที่จะตายไปกับมัน

ในทางการละครแล้วตัวเอกในหนังของชเรเดอร์จะมีสิ่งที่เรียกว่า Tragic Flaw ค่อนข้างชัดเจน กล่าวคือมีพื้นเสียเดิม และจะต้องสะดุดหกล้มกับข้อบกพร่องนั้นของตนเอง

Dominion: Prequel to the Exorcist เป็นงานชิ้นล่าสุดของพอล ชเรเดอร์ที่มีปัญหาพอสมควร เดิมมันเป็นโปรเจ็กต์เพื่อต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายให้กับบริษัท มอร์แกน ครีก โปรดักชั่น ของผู้อำนวยการสร้าง เจมส์ จี.โรบินสัน และวางตัว จอห์น แฟรงเกนไฮเมอร์ ให้มากำกับ

แฟรงเกนไฮเมอร์ถอนตัวไปกะทันหัน และเสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้น ชเรเดอร์ถูกเรียกตัวมาสานต่อหนังที่ว่าด้วยที่มาที่ไปของหมอผีชื่อดังในโลกภาพยนตร์เรื่องนี้

เดิม The Exorcist ประสบความสำเร็จเพราะมันนำเสนอสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะเห็นในเวลานั้น (หนังออกฉายในปี 1973) นับจาก Rosemary’s Baby ของโรมัน โปลันสกี หนังเรื่องนี้เป็นการตอกย้ำกับผู้ชมว่า ซาตานอยู่รอบๆ ตัวเรา มันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ คนข้างบ้านหรือกระทั่งลูกสาวเราเอง ฉากที่หนูน้อยเรแกน (ลินดา แบลร์) พ่นคำหยาบใส่บาทหลวงก่อนจะสำรอกอาเจียนสีมรกตออกมานั้น ยังเป็นภาพที่ติดตาของคนดูได้ดี

หลวงพ่อเมอร์รินในภาคก่อนๆ (รับบทโดย แม็กซ์ วอน ซีโดว์) ไม่ได้รับการอรรถาธิบายถึงปูมหลังมากนัก นอกเสียจากว่าครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นมิชชันนารีอยู่ที่แอฟริกา และเคยเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายมาแล้ว

หนังฉบับใหม่นี้เลยยกกองถ่ายทำไปยังแอฟริกาจริงๆ และใช้เวลาทำงานอยู่ร่วมหลายเดือน แต่ทันทีที่ชเรเดอร์ตัดต่อหนังของตัวเองเสร็จ โปรดิวเซอร์ในมอร์แกน ครีกก็รู้สึกไม่พอใจ บทถูกแก้จากเดิมไปมากกว่าที่ตกลงในตอนแรก ที่คิดว่าจะออกมาเป็นหนังสยองขวัญ ชเรเดอร์กลับทำออกมาเป็นหนังที่เน้นเรื่องราวจิตวิทยามากเกินไป พูดกันประสาชาวบ้านคือ มันอ่อนด้อยความบันเทิงไปเยอะ

การตัดต่อครั้งใหม่ผลออกมายังเป็นเหมือนเดิม มอร์แกน ครีกจึงสั่งยกเครื่องใหม่ทั้งหมด โดยเชิญชเรเดอร์ออกจากโปรเจ็กต์ และเรียกตัวเรนนี ฮาร์ลินมารับหน้าที่ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่

งานของฮาร์ลินทำเสร็จในเวลาไม่นานนัก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นการใช้ฟุตเตจที่มีอยู่เดิมมารวมกับการถ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย เวอร์ชั่นนี้เป็นที่พออกพอใจของผู้อำนวยการสร้าง มันเต็มไปด้วยฉากระทึกขวัญและเรื่องราวรกรุงรังเกี่ยวกับปมทางจิตถูกยกออกไปก้อนใหญ่

Exorcist: The Beginning ออกฉายไปเมื่อปีที่แล้ว ผมค่อนข้างสนุกสนานกับหนังพอสมควร ถึงจะรู้สึกว่าฉากไคลแม็กซ์ตอนท้ายเป็นการ "เล่น" อย่างไม่ค่อยมีรสนิยมมากไปหน่อย แต่ก็ทดแทนได้ด้วยการถ่ายภาพอันสวยสดงดงามของ วิตตอริโอ สตอราโร ผู้กำกับภาพชื่อดังชาวอิตาเลียน

คงมีคนไม่น้อยที่อยากจะรู้ว่าฉบับที่ถูกระงับของพอล ชเรเดอร์เป็นอย่างไร โชคดีที่ทางวอร์เนอร์ บราเธอร์ส สตูดิโอจัดจำหน่ายได้นำหนังออกฉายในวงจำกัดเมื่อไม่กี่เดือนก่อนในชื่อ Dominion: Prequel to the Exorcist แล้วก็ออกวางขายเป็นดีวีดีทันที

เป็นไปตามคาดว่า Dominion: Prequel to the Exorcist มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างที่ฉบับของเรนนี ฮาร์ลินไม่มี และก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า ถ้าตัวหนังได้ออกฉายจริงๆ มันก็มีสิทธิ์จะล้มคว่ำบนตารางบ็อกซ์ ออฟฟิศอย่างที่มอร์แกน ครีกคาดการณ์เอาไว้

โดยรวมแล้วชเรเดอร์ทำออกมาหย่อนความบันเทิงตามแบบฉบับของหนังสยองขวัญควรจะเป็น ฉากขายความน่าขยะแขยงมีน้อยกว่า หนังไปให้ความสำคัญกับอดีตอันเจ็บปวดของหลวงพ่อเมอร์รินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มากกว่าจะไปเน้นการประจันหน้าระหว่างตัวหมอผีและปิศาจร้าย

ชเรเดอร์เปิดเรื่องด้วยการเจรจาของหลวงพ่อแลงคาสเตอร์ เมอร์ริน (สเตนแลน สการ์สการ์ด) กับนายทหารนาซีเรื่องขอให้ไว้ชีวิตผู้บริสุทธิ์ชาวยิว เหตุการณ์จบลงด้วยโศกนาฏกรรม จนกลายเป็นแผลลึกในใจของเมอร์รินว่าความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้

หลังสงครามสงบเมอร์รินจึงอัปเปหิตนเองออกจากยุโรป ขอคณะคาร์ดินัลไปทำงานด้านโบราณคดีที่เคนย่า เพื่อศึกษาสถาปัตยกรรมโบราณที่เพิ่งขุดพบ และที่นั่นเองเขาก็ได้พบกับความชั่วร้ายที่แท้จริง

ชเรเดอร์แสดงภาพ "ซาตาน" ออกมาเป็น 2 ลักษณะ อย่างแรกเกี่ยวกับวิญญาณร้ายที่มาสิงสู่ในตัวคนจริงๆ กับอย่างที่สอง คือ คนเป็นๆ นี่แหละ แต่พฤติกรรมช่างป่าเถื่อนและควบคุมสติตนเองไม่ได้จนไม่ต่างอะไรกับผีร้าย

ตัวละครฝั่งตรงข้ามกับเมอร์รินคือ นายทหารชาวอังกฤษที่คุมพื้นที่ในเคนย่าอยู่ และกำลังขัดแย้งกับชนพื้นเมือง ถึงขั้นจะมีการฆ่าแกงกัน เป็นฉากเดิมๆ ที่เวียนมาซ้ำอีกครั้งในชีวิตของเมอร์ริน เพื่อให้เขาได้กลับมาศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

ความสนุกของหนังในเวอร์ชั่นนี้อยู่ตรงความตึงเครียดของสถานการณ์ที่ตัวละครหลักจำเป็นต้องเลือกจัดการ ชเรเดอร์สร้างความกระอักกระอ่วนใจมากกว่าที่จะให้ผู้ชมตกตะลึงเพราะภาพสยองขวัญ มันดูหนักแน่นจริงจัง แน่นอน - ดูมีวุฒิภาวะกว่าของเรนนี ฮาร์ลินเยอะ

แต่คำถามก็คือ ถ้าคนดูจะดูหนังสยองขวัญสักเรื่อง พวกเขาคาดหวังอะไร การที่คนจะซื้อไอศกรีมกินสักแท่ง ก็คงไม่มานั่งนึกว่าจะมีเบต้าแคโรทีนผสมอยู่หรือเปล่า

ผมชอบฉบับของชเรเดอร์มากกว่าก็จริง แต่ก็รู้สึกว่า หนังใช้จินตนาการน้อยไป เอาจริงเอาจังมากไปหน่อย รวมถึงประเด็นการกู้ศรัทธากลับคืนจะว่าไปมันก็ค่อนข้างเชยแล้ว

ในบรรดาหนังชุดหมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ ส่วนตัวผมเองคิดว่าภาคแรกของวิลเลียม ฟรีดกิน น่ากลัวที่สุด แต่ที่ผมชอบมากกลับเป็นภาคที่เละเทะไปกันใหญ่กว่าใครเพื่อน คือ Exorcist II: The Heretic ของผู้กำกับ จอห์น บัวร์แมน

คุณค่าอาจจะด้อย แต่รสชาตินั้นจัดจ้านครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น